หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ! - ตอนที่ 9: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2.5)
- Home
- หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ!
- ตอนที่ 9: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2.5)
(จะมีเรื่องอะไรกันนะ)
ผมลืมตาตื่นออกมาจากปาร์ตี้น้ำชา หันหน้าฉีกซ้ายไปก็พบกับเชอร์เบชที่กำลังเดินตรงมา เธอมองมายังที่ใบหน้าของผมอย่างไร้อารมณ์ ไม่นานเธอก็เริ่มทักทายขึ้นมา
“ตื่นเร็วจังนะ ดิฉันกำลังจะปลุกคุณเลย”
“ผมเป็นคนหลับง่ายตื่นง่ายน่ะครับ คุณเเคสโตเวีย ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”
ผมลุกขึ้น เเละดีดตัวออกจากโต๊ะที่นอนอยู่ ผมบิดขี้เกียจสักเล็กน้อยก่อนที่จะโน้มหัวให้เธอ เชอร์เบชไม่ได้เเสดงสีหน้าอะไรต่อท่าทีของผม ซึ่งทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ไม่นานเธอก็เริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ถ้าไม่ว่าอะไร คุณสะดวกที่จะคุยกับดิฉันไหมคะ”
“หืม ไม่นึกเลยว่า ลูกสาวดยุคตระกูลเเคสโตเวียอันเลื่องชื่อ จะจดจำสามัญชนชั้นล่างเเบบผมได้ด้วย ผมคงไม่ริอาจปฎิเสธความต้องการของคุณหนูหรอกครับ เเต่ที่นี่อาจจะไม่เหมาะสมกับคุณสักเท่าไหร่ ทำไมพวกเราไม่หาเวลาคุยนอกรอบกันล่ะครับ”
“ไม่ต้องถ่อมน้อมถ่อมตนมากหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้ต้องการพูดคุยเเบบเป็นทางการ เเค่อยากพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อีกอย่างดิฉันมีงานที่จะต้องจัดการภายหลังอีก ถ้าไม่ใช่เวลานี้ คงไม่สะดวกอีกค่ะ”
ผมเเสร้งยิ้มเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย จากที่สังเกตจากลักษณะการพูดของเธอ เห็นได้ชัดว่า เธออยากจะให้บทสนทนานี้เป็นความลับระหว่างเรา จึงเลือกที่จะไม่ออกตัวเเรงมาก
“ได้สิครับ ถ้าอย่างงั้น เธออยากจะรู้ความลับอะไรฉันล่ะ ลูกสาวคนโตเเห่งตระกูลเเคสโตเวีย? ”
“!”
ผมลงมือเปลี่ยนบทสนทนากับเธอโดยไม่ตั้งตัว เชอร์เบชที่ได้ยินน้ำเสียง เเละเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกระหันของผม สายตาของเธอขยับเล็กน้อย เเล้วจ้องเขม่นมาทางผม ผมที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ถึงกับยอมรีบทำข้อสอบเพื่อหาเวลามาคุยกับฉันเเบบลับๆ เธอคงอยากจะไต่สวนฉันมากสินะ”
“ถ้าบอกว่าใช่ เเล้วคุณจะยอมหรือไม่”
“ก็บอกเเล้วไง ว่าฉันไม่ปฎิเสธ ถ้าเธออยากถาม ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะตอบหรอก ถ้าอย่างงั้น ทำไมเราไม่มานั่งพูดคุยกันเเเทนล่ะ ยืนไปคุยไปคงจะเหนื่อยเปล่าว่าไหม?”
“เป็นความคิดที่ดี ดิฉันเห็นด้วยค่ะ”
เชอร์เบชบอกที่นั่งสักพักก่อนที่จะตัดสินใจนั่งลงตามคำเเนะนำของผม เชอร์เบชมองมาที่ผมด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม ผมที่เห็นจนชินเเล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เเล้วเริ่มบทสนทนาต่อ
“จะใช้เวลาไม่นานมาก เเต่รบกวนตอบตามความจริงด้วยนะคะ”
“ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ฉันจะตอบตามความสัตย์จริงอย่างเเน่นอน”
“ถ้างั้นคุณเป็นใคร งั้นเหรอคะ?”
(จำฉันไม่ได้เหรอนิ เเย่จังนะ)
เชอร์เบชยิงคำถามสุดคลาสสิกมา ผมก็ได้ยินดังนั้นจึงเเสะยิ้มเล็กน้อย ตอนเเรกก็นึกว่าเชอร์เบชจะยังจำผมได้เสียอีก เเต่ถึงเธอจะจำผมได้หรือไม่ได้ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก
“เอลเดล นอลเป็นชื่อของฉัน ส่วนฐานะก็เเค่ ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวชาวนา สิ่งที่อยากทำก็เเค่ การเข้าโรงเรียนเเอสทาเรียในฐานะนักเรียนยศเพชร เเละใช้ชีวิตชิลๆ ไปวันๆ เท่านั้น”
“นักเรียนยศเพชร คุณดูมั่นใจจังนะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะได้รับมาได้ง่ายๆ นะ”
“ฉันประเมินมาเเล้วว่า ตัวเองทำได้ ดังนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก”
ผมยิ้มเล็กน้อย เเละเท้าคางจ้องมองเชอร์เบชด้วยท่าทีไม่ร้อนตัว ผมเเอบสังเกตมือของเธอที่อยู่ใส่โตะ ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดคำถามต่อไป ถึงเเม้ว่าเธอจะใส่ถุงมือสีดำ เเต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะดำเนินเเผนการของผม
“ดิฉันเข้าใจเเล้ว ถ้าอย่างงั้น ขอถามหน่อยได้ไหม ในเมื่อคุณดูมีความมั่นใจ การสอบทฤษฎัครั้งนี้ คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณใช่ไหม?”
“จากที่ใช้เวลาทำประมาณ 2 นาที ตวรจคำตอบอีก 1 นาที ฉันก็คิดว่าไม่คะเเนนเต็ม ก็ท็อบหนึ่งเเน่นอน”
“เเสดงว่าคุณต้องอัจฉริยะสินะคะ”
“ไม่ใช่หรอก ฉันก็เเค่ขยัน เเละเตรียมตัวมาดีน่ะ อีกอย่างเพราะมีร่างกายที่เเข็งเเกร่ง การลงมือเขียน เเละอ่านจึงใช้เวลาคิดเเปปเดียวน่ะ”
“เเบบนั้นคงต้องเรียกพรสวรรค์สินะคะ”
“ต้องเรียกว่าพรเเสวงมากกว่า ฉันน่ะไม่มีพรสวรรค์หรอก ก็เเค่ฝึก ฝึกไปเรื่อยๆ จนสามารถยืนหยัดได้น่ะ เพราะเป็นชาวบ้านธรรมดาล่ะนะ เลยช่วยไม่ได้”
ผมมองมาที่มือที่เต็มไปด้วยบาดเเผลไร้ซึ่งความสัมผัสอันอ่อนโยน การฝึก เเละพยายามจนสิ้นหวังไปไม่รู้กี่่ครั้ง มันเป็นผลลัพธ์ที่ทำให้ผมมาอยู่ ณ จุดนี้ได้
“ใช้ความพยายามในการครอบครองความเเข็งเเกร่งงั้นเหรอคะ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากเลยนะคะ”
“ขอบใจ”
“ถ้าอย่างงั้น กรุณาช่วยบอกพรของคุณมาได้ไหมคะ”
“ก็ไม่คิดจะปิดบังหรอกนะ เพราะยังไงก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อยู่เเล้ว พรของฉันคือ ผู้เเบกรับ (The holder) พรที่ช่วยเสริมความเเข็งเเกร่งทางจิตใจน่ะ คงเรียกได้ว่า เป็นพรต้นกำเนิดละมั้ง เพราะยังไม่เคยมีใครมีมาก่อน”
“เป็นพรที่ธรรมดาจังนะคะ เเสดงว่าพรเเสวงคือที่มาของพลังของคุณสินะ”
“ใช่เเล้ว”
ผมยกหลังมือขวาชูให้เธอดู ไม่นานเเสงสีเหลืองก็ปรากฎออกเป็นลวดลายของพรผู้เเบกรับ สำหรับคนที่มีซิกม่าเเบบเธอเพียงได้มองก็คงรับรู้ถึงความเเตกต่างเเล้ว
“ต่อไป คุณมาจากไหนงั้นเหรอคะ”
“ฉันเป็นสามัญชนที่มาจากหมู่บ้านนอรทน่ะ”
“หมู่บ้านนอรท…สินะ”
เสียงของเชอร์เบชต่ำลง เธอก้มหน้าเล็กน้อยจนเส้นผมสีขาวบดบังดวงตาสีฟ้าของเธอทำให้เห็นสีหน้าไม่ชัด ไม่นานสายตาที่เธอจ้องผมก็กดดันมากขึ้น
“เป็นคุณเองสินะ เด็กผู้ชายอวดดีในวันนั้น คุณเอลเดล”
สายตาของเชอร์เบชมองผมทะลุปรุโปร่ง สีหน้าที่ไร้อารมณ์กำลังจ้องมองผมด้วยความกดดัน ผมที่เห็นดันนั้นจึงหุบยิ้มไม่ได้ เเละเผยรอยยิ้มอันน่ารังเกียจออกมา
“ฮ่าๆๆ เธอจำฉันได้อยู่เเล้วสินะ คุณหนูเเคสโตเวีย ก็คิดอยู่หรอกว่าคนฉลาดอย่างเธอ คงไม่ลืมไอ้บ้าที่ทำให้เธอต้องยอมลดตัวมาจับมือหรอก”
“ดิฉันไม่ได้รังเกียจที่จะต้องจับมือกับสามัญชนหรอกค่ะ เเต่สิ่งที่ฉันไม่ชอบคือ ภาพลักษณ์จอมปลอมของคุณมากกว่า”
“ต๊ายตาย เกลียดกันเเบบนี้ ฉันก็รู้สึกดีล่ะสิ เพราะฉันก็เกลียดเธอเหมือนกัน คนเเบบเธอน่ะ”
ผม เเละเชอร์เบชจ้องตากันอย่างไม่ละสายตา ถึงเธอจะไม่ได้เเสดงสีหน้ารังเกียจออกมาชัดเจน ตรงกันข้ามกับผมที่เกลียดเธอจากใจจริง
“ดิฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีจุดประสงค์ที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่สบายๆ รึเปล่า เเต่สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดในตัวคุณก็คือ การที่คุณไม่ควรมาอยู่ที่นี่ได้ต่างหาก”
“อะไะรกัน เธอจะบอกว่าฉันไร้ความสามารถ ก็ประเมินต่ำเกินไปนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น ความจริงเเล้วหมู่บ้านนอรท ทั้งเมือง เเละผู้คนควรจะสาบสูญไปตั้งเเต่ 2 ปีที่เเล้วต่างหาก”
“Silent anihalation (ขจัดจรไร้เสียง) เหตุการณ์ปริศนาที่ทำให้หมู่บ้านนอรทต้องล้มสะลาย เเละถูกปิดเป็นความลับ จนต้องลบบันทึกทั้งหมดของหมู่บ้านนอรทออกจากประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างอาณาจักรเเอสทาเรีย กับลามัตสินะ”
“สมเเล้วที่เป็นคุณ เเม้กระทั่งเรื่องหมู่บ้านที่น้อยคนจะรู้ คุณกลับพูดมาอย่างกับรู้ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์นั้น กรุณาบอกมาด้วยค่ะ ว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์นี้กันเเน่”
เชอร์เบชวางมือซ้ายไว้บนโต๊ะ เเละมองลงมาที่ผมด้วยสายตากดัน บรรยากาศรอบตัวนั้นหนาวเย็น เธอกำลังพยายามที่จะรีดเค้นข้อมูลจากผม ซึ่งผมก็ชักขี้เกียจตอบเเล้วสิ
“ไม่บอก”
“ว-ว่าไงนะ”
“หูฝาดเหรอเธอ ก็บอกว่า ฉันไม่บอกไง”
ตาของเชอร์เบชขยับด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมกำลังนั่งเท้าคางสบาย เเละเเสะยิ้มให้เธออย่างปลื้มอกปลื้มใจ เชอร์เบชที่ได้ยินดังนั้น มุมปากของเธอก็กระตุกเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา
“คุณจะไม่ให้ความร่วมมือสินะคะ”
“เปล่าหรอก เเค่เธอนี่โง่จังเนอะ เชื่อคำโกหกของฉันมาตั้งนาน ยังไม่สงสัยอีก”
“อย่าล้อเล้น เเล้วเข้าประเด็นเถอะค่ะ”
“เเล้วเธอรู้ได้ไงว่าการโกหกของฉันเป็นเรื่องล้อเล่นน่ะ เธอไม่คิดเหรอ ไอ้สิ่งที่ฉันพูดมามันเพ้อเจ้อทั้งหมด ไม่คิดเลยเหรอว่าฉันอาจจะเป็นเซียนโกงข้อสอบก็ได้ ดูยังไงฉันก็เป็นไอ้โง่ที่ทำตัวอวดดีหาข้ออ้างให้ตัวดูหล่อๆ เท่านั้น”
“ดิฉันเชื่อว่าสิ่งที่คุณพูดออกมาเป็นความจริงค่ะ”
(ทำเป็นเนียนเลยนะเธอ)
ผมที่เห็นเชอร์เบชที่มีท่าทีการตอบสนองที่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงคิดว่ามันคงได้เวลาที่จะจบบทสนทนางี่เง่าพรรคนี้ได้เเล้ว ผมคิดว่าผมเล่นสนุกกับเธอมามากเกินพอเเล้ว
“ก็ใช่สิเธอจะชื่อฉันก็ไม่เเปลก ก็เธอกำลังใช้สกิล สรรหาผู้คู่ควร อยู่ไงล่ะ”
“คุณพูดถึงอะไรกัน ดิฉันว่าตอนนี้เรากำลังคุยกันนอกประเด็นนะคะ”
“หยุดตอเเหลได้เเล้ว คิดว่าฮันจะไม่รู้เหรอว่า เพอร์เฟค คิงดอม ทำอะไรได้บ้าง สกิล สรรหาผู้คู่ควร คือสกิลจับเท็จที่มีไว้หาคนที่เชื่อใจยังไงล่ะ”
“…”
“เงียบเเบบนี้กำลังหาข้ออ้างอยู่สินะ ฮ่าๆ เธอจะหาต่อไปจนหมดเวลาสอบก็ได้นะ เเต่เธอคงซ่อนพลังของซิกม่าที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะไม่ได้หรอกนะ”
(เธอจะเเก้ตัวยังไงล่ะ เชอร์เบช ในเมื่อไพ่เด็ดอ่อนๆ ของเธอโดนเผยไต๋เเล้ว)
ผมเลิกเท้าคาง เเละกอดอกอย่างผู้ชนะ กลิ้นอันโอชะของผู้ที่ทำลายเเผนของเธอ ทำให้ผมรู้สึกสะใจอย่างหยุดไม่อยู่ รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดยิ่งเบิกบานเมื่อได้อิ่มเอมกับวินาทีนี้
“เห้อ สมเเล้วที่เป็นนาย คงไม่ต้องปปกปิดอะไรอีกเเล้วสินะ”
(ในที่สุดยัยนี้ก็ยิ้มเเล้วสินะ)
ริมสีปากอมชมพูที่นิ่งเหมือนภาพวาดเริ่มขยับกว้างเป็นรอยยิ้มอันเเสนชั่วร้าย ดวงตาสีฟ้าใสของเธอจ้องมองมาที่ผมด้วยท่าทีสนุกสนาน ไม่นานมือขวาของเธอก็จับไปที่คอเสื้อของผมดึงเข้ามาใกล้เธอ โดยที่ผมไม่ได้ขัดขืน เเละปล่อยตัวให้ไหลไปตามเเรงของเธอ
“นายนี่มันช่างน่าสนใจจริง ถึงหน้าตาจะทุเรศดูไม่สบอารมณ์ เเต่สติปัญญานี่ ฉันขอยอมรับเลยว่า เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งดูเหมือนจะซ่อนรูป เเละพลังไว้ด้วยสินะ ฮุฮุ~ ชักถูกใจเเล้วสิ เป็นอย่างที่คิดไว้ตั้งเเต่เด็กจริงๆ”
เชอร์เบชมองลงไปใส่ช่องว่างของเสื้อที่เปิดเผย เธอคงเห็นสิ่งที่ผมพยายามปกปิดเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้เรียบร้อย สักพักเธอก็ยิ้มด้วยความชอบใจราวกับถูกใจของเล่นใหม่
“เธอนี่มันโรคจิตจังนะ มองของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาติเลย”
“อย่าทะนงตนไปหน่อยเลย”
เชอร์เบชปล่ยอมือจากคอเสื้อของผม ผมจึงลงกลับไปนั่งลงประจำที่เดิม ไม่นานเธอก็ใช้มือซ้ายถอดถุงมืดสีดำข้างขวา เเละโยนลงพื้นข้างตัวผม
“ไม่ต้องบอก นายคงรู้สินะว่า มันหมายถึงอะไร”
“คิดว่าฉันจะหยิบมันขึ้นมาเหรอ?”
“ไม่รู้สิ เเต่ถ้านายต้องการ ไม่ว่า ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ หรือกระทั่งผู้หญิง ฉันจะสรรหามาให้นายทั้งหมดเอง ว่าไงโอกาสเเบบนี้ไม่ได้มีครั้งที่สองนะ เอลเดล นอล”
การโยนถุงมือข้างขวาของฝ่ายหญิงชนชั้นขุนนางขึ้นไปในเกมยูโลฟานโดยเฉพาะ ถ้าผู้ชายโยนถุงมือใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม คือ การท้ารบ เเต่ถ้าขุนนางหญิงในเกมนี้โยนถุงมือเเล้วต้องการให้ผู้ชายเก็บละก็ นั่นหมายถึง เธอต้องการให้คุณเป็น สนัขรับใช้ของเธอนั่นเอง
** ไรท์มึนหัว เอาเป็นเดวหายเเล้ว จะมาต่อให้นะ เขียนยังไม่จบบทนี้จริง เเต่ตัดจบเเบบละครไทยไปละกัน*