ตอนที่ 7: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1.5)
“ไม่นึกเลยว่าอาหารจากตามเมนูธรรมดาจะอร่อยจนน่าตกใจเลยค่ะ”
“เเน่นอน ไม่เคยได้ยินเหรอว่า อาหารจะอร่อยขึ้นต้องมาจากมือเชฟที่ดีเท่านั้น ถึงฉันจะจัดมันมายำกัน เเล้วปรุงนิดหน่อยก็เถอะ”
“ฮิๆ งั้นเหรอคะ”
เธอหัวเราะขบขันเล็กน้อยจนผมรู้สึกทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่เธอกินข้าวเที่ยงเงียบๆ กับผมมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เธอเริ่มที่จะเปิดใจคุยกับผม
[ถ้าเป็นเด็กสาวน่ารัก เเกคงตัวบิดไปเเล้วมั้ง ไอ้หนู]
(ให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ อีกอย่างการที่ฉันละลายพฤติกรรมเธอได้ มันช่วยให้ฉันสนิทกับเธอเร็วขึ้นด้วยสิ)
กุสก็ยังคงจิกกัดไม่เคยเปลี่ยน เเต่ถ้าผู้หญิงตรงหน้าเป็นสาวงามสุดน่ารักจริงๆ ผมคงต้องมีอาการเเอบเขินบางเเหละ อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นด้วยสิ
“ไหนๆ เราก็เเลกเปลี่ยนมื้ออาหารกันเเล้ว เรามาทำความรู้จักกันหน่อยดีไหม”
“เหรอคะ?”
“อย่าตอบคำถามด้วยคำถามสิ เอาเป็นว่า ฉันเอลเดล นอล หรือจะเรียกว่า โนวมอลก็ได้นะ ฉันอนุญาต”
ผมยื่นมือเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ เด็กสาวผมชมพูมีความประหม่าเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะตัดสินใจจับมือของผมด้วยสองมือของเธอ
“ฉัน มิธ ลิเลีย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
รอยยิ้มที่เเสดงถึงความจริงใจของเธอเเอบทำให้ผมประหม่า บางทีผมอาจจะไม่ได้พบปะกับผู้หญิงมาเป็นเวลานานก็ได้ พอโดนมือที่อ่อนนุ่มสัมผัสมือที่หยาบด้างของผม มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปสักพักหนึ่ง
(นุ่มจังเเหะ)
“อ้อ ขอโทษนะคะ พอดีตื่นเต้นไปหน่อย เเหะๆ”
ลิเลียปล่อยมือของผมทันทีที่เธอรู้ว่าผมจ้องมันสักพัก เธอทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะโค้งหัวขอโทษ สงสัยเธอคงคิดว่าการกระทำของเธอเป็นสิ่งที่หยาบคายสินะ
“ไม่เป็นไรหรอก รู้จักกันครั้งเเรก จะตื่นเต้นก็ไม่เเปลก ฉันก็เหมือนกัน”
“’งั้นเหรอคะ ดีใจจังที่ฉันไม่ได้ตื่นเต้นคนเดียว”
ผมยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ คงเป็นเพราะการได้หาเพื่อนที่เป็นตัวเป็นตน หลังจากการผ่านอะไรมามากมาย มันทำให้ผมย้อนนึกถึงชีวิตวัยเรียนอีกครั้ง
“งั้นฉันต้องเรียกเธอว่า คุณมิธสินะ”
“อืม…ไหนๆ คุณก็เป็นเพื่อนคนเเรกของฉันในโรงเรียนเเล้ว จะเรียกฉันว่า ลิเลีย ก็ได้นะคะ”
“หืม สิทธิพิเศษสำหรับคนเเรกสินะ งั้นเรียกฉันว่า โนวมอล ละกัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณโนวมอล”
“เช่นกัน คุณลิเลีย”
เเม้ว่าตอนนี้พวกเราจะยังเรียกชื่อจริงกันทางกรอยู่บ้าง เเต่ผมคิดว่านี่เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะเพื่อน ไม่นานหลังจากที่เราสนิทกันมากขึ้น ผมกับเธอคงจะไม่ประหม่าเหมือนเดิมอีก
(เเต่ว่าไปชื่อมันฟังดูคุ้นๆ นะ…)
เพียงเสี้ยววินาทีชื่อที่เเสนคุ้นเคยก็เด้งขึ้นมาในหัวผม ผมย้อนภาพนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมา วันนั้นเป็นวันเเรกที่เริ่มต้นเล่นเกมนี้…
“ออกตัวเอกโคตรจะหน่อมเเน้มเลย บทโดนปูให้มาอยู่ขอบห้องอีก เเถมบทพูดไร้เดียงสานี่อะไรกันวะ ลืมข้าวกล่องเฉยเเบบนี้ มันบังคับให้เราเสียเงินฟรีสิ”
หลังจากที่ผมเริ่มเล่นบทปูพื้นฐานตัวละคร ผมก็โคตรจะไม่สบอารมณ์กับเกมเลย ตัวเอกเปิดมาก็ไร้เพื่อน เป้าหมายคือ หาเพื่อนใหม่ๆ เเละใช้ชีวิตอันร่าเริงในรั้วโรงเรียนที่ผสมความรัก เเละตลกปนกันไป
“ก็รู้อยู่หรอกว่า เป็นบทเเนะนำการใช้เงินซื้อของ เเละคุยกับ NPC เเต่ไม่ต้องบังคับซื้อก็ได้ป่ะ ถ้าเอาเงินที่เหลือจากตรงนี้ไปซื้อของอัปเกรดตัวเองคงดีกว่าเยอะ”
เเน่นอนว่าด้วยความหงุดหงิดผมเลยจัดมื้ออาหารเเบบชุดใหญ่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เเย่มาก สุดท้ายผมก็ต้องไปฟารมกว่าชั่วโมงเพื่อหาเงินคืน เเละต้องคิดก่อนลงมือทำอะไรที่ไม่จำเป็น
“สวัสดี ถ้าไม่เป็นการรบกวน ถ้าผมขอใช้ที่ตรงนี้ได้ไหม”
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน การเริ่มต้นก็ต้องมากับการเเนะนำตัวละครเอกฝ่ายชายตัวเเรก เสียงพากย์อันเเสนหนุ่มนวลที่ฟังจนเเทบจะเอียน ผมเหล่ตาไปมองที่มาของเสียงโดยฉับไว ใบหน้าของตัวละครชายที่ผมเกลียดที่จะเล่นรูทของมันมากที่สุด จนต้องละทิ้งไว้เล่นเป็นตัวละครสุดท้าย
(มาเเบบไม่อยากเจอหน้ามันเลย ไอ้เจ้าชายขยะนี่!)
ชายหนุ่มผมทองสุดยอดนิยม ผู้มาพร้อมกับหน้าตาอันหล่อเหลา ไม่ต่างจากเจ้าชายขี้ม้าขาวที่หญิงใดต่างใฝ่ฝัน กล้ามเนื้อที่สมส่วนอย่างกับดารา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่พิฆาตใจเหล่าเเม่ยก เจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่งของอาณาจักรเเอสทาเรีย มิลมิเลี่ยน เม มัสเเตง
“ทางผมมากับเพื่อนของผม ซึ่งจากทีมองดูเเล้ว พื้นที่น่าจะไม่เพียงพอ จะไม่การรบกวนไหมครับ ถ้าพวกคุณช่วยสละที่นั่งให้พวกผม”
เจ้าชายเเสร้งยิ้มมองที่ผม เเละลิเลีย ข้างหลังเขาคือเพื่อนขุนนาง เเละผู้ติดตามจากทางราชวงศ์ เเบ่งออกเป็นชาย 3 คน เเละหญิง 2 คน รวมเป็น 5 คน ซึ่งเเน่นอนว่าผมนั้นจำพวกเขาได้หมด โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ประกบด้านข้างทั้งสองด้าน เเละผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังพวกเธอ
(เชอร์เบช วาเซ่ เเละเฟอร์เรีย หึ หน้าตาตามต้นฉบับไม่เปลี่ยนเเปลง)
การพบปะครั้งนี้คือ การเเนะนำตัวละครหลักในอาณาจักรเเอสทาเรียเกือบทั้งหมด เชอร์เบชหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน เธอก็เติบโตเป็นสาวสวยผู้มาพร้อมกับผมสีเงิน เเละดวงตาสีฟ้าใส ที่คาดผมสีดำของเธอเป็นสิ่งที่ตัดกับสีเงินจนเด่นได้ชัด เธอจะมีรูปร่างที่สมส่วนสมกับเป็นกุลสตรีต่างจากเฟอร์เรีย เฟอร์เรียเป็นนางร้ายที่เรียบได้ว่าเซ็กซี่เเบบปกปิด รูปร่างของเธอมีความดึงดูดต่อเพสตรงข้ามที่ค่อนข้างสูง หน้าอก สะโพก เเละเอวของเธอใหญ่กว่าเชอร์เบชเเบบเทียบไม่ติด ผมสีทองกับที่คาดผมดอกกุหลาบสีเเดง เมื่อรวมกับดวงตาสีเเดงอำมหิตทำให้คาเเรกเตอร์ของเธอเป็นที่น่าจดจำมากกว่าเชอร์เบช ส่วนวาเซ่ก็ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก หน้าตาก็หล่อบาดใจ ดวงตาคมกริบไม่อ่อนละมุนเหมือนเจ้าชาย ผมสีเเดงของเขาเป็นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ผมจำเขาได้ ทุกคนที่ผมจำได้เเม่นยำ ดีไซน์ของพวกเขาเเทบไม่ต่างจากต้นฉบับเลย
“เออ…คือ…”
ลิเลียตัวสั่น เเละพยายามก้มลงเลี่ยงสายตาจากเจ้าชาย ความหวาดกลัวของเธอผมสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน พอผมเห็นเจ้าชายที่เสะยิ้มเล็กน้อย ผมจึงกัดฟันไม่สบอารมณ์
(คิดว่าจะทำอะไรก็ได้เรอะ)
“เกรงว่าคงจะไม่ได้นะครับ องค์ชาย”
ผมลุกขึ้นจ้องมององค์ชาย เเละปั้นหน้ายิ้มเเจ่มใสเเสดงอัธยาศัยดี เจ้าชายที่เห็นท่าทีผมดังนั้นไม่ได้ดต้ตอบอะไร เขามองผมด้วยความเย็นชาก่อนจะเริ่มพูด
“ทำไมล่ะ การที่เราเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นเรื่องที่ดีมิใช่เหรอ”
“ก็เป็นอย่างที่องค์ชายคิดเเหละครับว่า การเสียสละเป็นสิ่งที่ดี เเต่องค์ชายก็อย่าลืมสิครับว่า การที่เราจะเสียสละให้คนอื่น เราก็ต้องคำนึกถึงเราจะไม่เดือดร้อนก่อนสิครับ”
“เเต่ผมว่าการที่คุณยกที่นั่งให้เราหลังรับประทานอาหารเสร็จ มันก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรมิใช่หรือ พวกผมก็เเค่ต้องการที่พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาสอบเท่านั้นเอง”
“ในมุมมองขององค์ชายอาจจะคิดว่ามันเป็นเเค่เรื่องเล็กน้อย เเต่ผม กับเพื่อนก็กำลังจะคุยเกี่ยวกับเนื้อหาสอบเหมือนกันนะครับ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหรอกครับ อีกอย่างไม่ใช่ว่าในโรงอาหารมีการเเบ่งโซน ระหว่างเชื้อพระวงศ์ เเละสามัญชนที่ชัดเจนเเล้วเหรอครับ”
ผมยิ้มอย่างมีเลศนัยอย่างเปิดเผย ผงค์ชายที่เห็นดังนั้นจากสีหน้าที่เเสร้งเเจ่มใส ใบหน้าของเขาก็เริ่มเเสดงความกดดัน เเละความรู้สึกไม่สบอารมณ์จากใจจริงของเขา เสียงของเขาเริ่มมีโทนต่ำ เเละดังฟังชัดยิ่งขึ้น
“ผมก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เเต่เพราะการเดินทางล่าช้า ที่ฝั่งนั้นเลยเต็มหมด ผมไม่อยากใช้อำนาจในการบังคับพวกเขาเลยมาขอร้องพวกคุณที่ดูเหมือนจะเสร็จธุระเเทน เพราะไม่ว่ายังไงขุนนางก็เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศที่เราต้องให้ความสำคัญ”
“ผมว่าเหตุผลขององค์ชาย มันดูเหมือนข้อเเก้ตัวมากกว่านะครับ คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกผมเสร็จธุระเเล้ว การกินข้าวไม่ใช่กิจกรรมเดียวที่เราต้องทำหรอกนะครับ การทำความรู้จักเพื่อนใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าอีก อีกอย่างท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับขุนนางนะครับ”
“คุณหมายความว่ายังไงงั้นเหรอครับ ”
รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดของผมหลุดออกมา เลือดในร่างกายพลุ่งพล่านจนเก็บอาการไม่อยู่ พอผมนึกถึงใบหน้าของเจ้าชายที่กำลังเจ็บใจให้กับความพ่ายเเพ้ ฝีปากของผมมันก็เปล่งประกายไปตามสัญชาจญาณ
“กับอีเเค่พวกขุนนาง ถ้าเอามาเปรียบกับคนที่จะเป็นอับดับ 1 อย่างผมละก็ มันดูจะเป็นการให้ความสำคัญที่ไม่คุ้มค่าเลยนะครับ”
“สามหาว!”
หลังจากที่ผมปลดปล่อยรอยยิ้มอันเเสนน่ารังเกียจ หมัดจากผู้ติดตามผมเเดงของเจ้าชายก็พุ่งตรงซัดเข้าเต็มเเก้มซ้ายของผม เเต่ผมก็ไม่เลือกที่จะโต้ตอบอะไร เเต่เลือกที่จะพูดต่อเเทน
“เเหมๆ คุณลอส ดูเหมือนจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่นะครับ ผมก็เข้าใจได้อยู่นะครับ ว่าเกียรติที่โดนย่ำยีมันรู้สึกเป็นอย่างไร เเต่ว่านะ การที่คุณใช้ความรุนเเรงในสนามสอบ มันอาจจะผิดกฎได้นะ เเล้วก็อีกอย่าง หมัดของคุณดูท่าจะเบาไปหน่อยนะ ไม่บอกผมนึกว่าเเมลงเกาะหน้าผมอยู่นะนี่”
“ไอ้สามัญชนนี่!”
(ใช้เวทมนตร์มาสิ เเล้วชีวิตเเกจะจบเห่ตรงนี้เเหละ!)
วาเซ่จับจ้องที่ผมด้วยความโกรธ เข้าจับคอเสื้อผมไม่ให้ไปไหน หมัดขวาของเขาเสริมพลังด้วยเวทมนตร์อย่างเต็มกำลัง ถ้าผมโดนหมัดนี้อาจจะเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมดกัดก็ได้
“หยุดเดี่ยวนี้! วาเซ่ นายกำลังจะละเมิดกฎการใช้เวทมนตร์ในสนามสอบนะ!”
“ท-ท่านเฟอร์เรีย…”
(ชิ เซ้นส์ความยุติธรรมของยัยนี้ จะมาออกอาการตอนนี้ทำไมวะ!)
ผมเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิด เฟอร์เรียสั่งห้ามวาเซ่อย่างฉับพลัน ถ้าเกิดเธอพูกช้ากว่านี้ละก็ ไอ้หมอนี้คงโดนไล่ออกจากสนามสอบไปเเล้ว เเผนที่วางมาเสียซะงั้น เเต่ไม่เป็นไรยังมีเเผนสอง
(ยังมีอีกตัว)
“องค์ชายนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะครับ สั่งสอนผู้ติดตามมายังไงให้ทำพฤติกรรมก้าวร้าวเเบบนี้ ความออกมารับผิดชอบด้วยการขอโทษผมทีนะครับ”
“เเกรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา ไอ้สามัญช-!”
“หยุดเลยพวกนาย! อย่าไปตกหลุมพลาง ชายคนนี้กำลังวางเเผนปั่นประสาทพวกนายให้โดนไล่ออกอยู่”
(ยัยเชอร์เบชนี่ก้างขวางคอไม่เเพ้กันเลย! ยัยสองตัวนี้มันไม่ใจร้อนเหมือนพวกของเจ้าชายด้วยสิ!)
เจ้าชายที่กำหมัด เเละจ้องผมด้วยเเววตาสังสาร บวกกับพวกลิ่วล้อที่กำลังจะเข้ามาต่อยผม ถูกเชอร์เบชที่มองสถานการณ์ออกขัดไว้จนเเผนสองก็พังอีก
“ดูสิ องค์ชายกำลังทะเลาะ–”
“พวกคนของเชื้อพระวงศ์บ้าเถื่อนเเบบนี้เหรอ–”
“พวกเราจะอยู่กับขุนนางได้–”
เสียงซุบซิบนินทาของสามัยชนที่อยู่รอบๆ กำลังสร้างบรรยากาศกดดันเเก่เจ้าชาย ถึงเเม้ว่าเเผนจะไม่สำเร็จ เเต่ถ้าสภาพเเวดล้อมเข้าข้างผม ตอนนี้ผมก็ได้เปรียบอย่างชัดเจน
“เฟอร์เรีย ฉันควรทำยังไงดี?”
“ฉันว่าองค์ชายต้องขอโทษค่ะ เพราะตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะถูกชักนำไปตามการล่อลวงของผู้ชายคนนั้น”
“ชิ!”
เจ้าชายหันไปกระซิบกับเฟอร์เรียที่อยู่ด้านข้าง ผมที่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะไม่ว่ายังไงความเห็นของผู้คนส่วนใหญ่ก็อยู่ข้างผมหมดเเล้ว
“ผมต้องขอโทษกับการกระทำอันหยาบคายของผู้ติดตามของผม ต้องขอโทษด้วย วาเซ่นายก็เช่นกัน”
“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับที่กระทำการทำร้ายร่างกายโดยไม่ยั้งคิด”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสาหรอก เเค่หวังว่าพวกคุณจะควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นครั้งหน้านะ เเล้วก็อีกอย่าง…”
เจ้าชายก้มหน้าขอโทษ ในขณะที่วาเซ่โค้งตัวสุดความสามารถขอโทษผม ถึงผมจะไม่ได้รับรู้ถึงความจริงใจ เเต่เเค่ความสะใจก็คุ้มค่ากับการได้เห็นภาพนี้ เเต่ผมไม่ให้มันจบเเค่นี้หรอก
“องค์ชาย ขอโทษผิดคนนะครับ ผมเเค่มีความผิดใจกับผู้ติดตามของคุณ เเต่เพื่อนของผมต้องหวาดกลัว เเละทำอะไรไม่ถูก เพราะเเรงกดดันจากคำพูดของคุณนะครับ”
ผมชี้ไปทางลิเลียที่มองเห็นการณ์อยู่บนเก้าอี้ เธอที่เห็นผมชี้มาก็ส่ายหน้าปฎิเสธ เเต่ผมอยากคลายความกังวลของเธอ ดังนั้นต้องสอนเธอว่า ใครทำผิดก็ควรยอมรับผิด
“เข้าใจเเล้ว”
(ลิเลียสู้ๆ นะ)
องค์ชายพยักหน้า เเละเดินตรงไปทางลิเลีย ลิเลียทำสีหน้าเเตกตื่น เเละขอความช่วยเหลือกับผม เนื่องจากเธอต้องได้รับคำขอโทษในฐานะผู้ถูกกระทำ ผมจึงชูนิ้วโป้งเป็นกำลังใจให้เธอ
“ผมขอโทษด้วยนะ”
“ม-ม-ม-ไม่เป็นไรหรอกค่ะ! ฉันไม่คิดอะไร! พวกเราก็ผิดเองที่พูดจาไม่ไม่ดีใส่องค์ชาย! ดังนั้นถือว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นนะคะ!”
“ขอบคุณจริงๆ”
ลิเลียทำหน้าตกใจขั้นสุดจนลุกลี้ลุกลน เธอพยายามปั้นยิ้มสุดความสามารถเมื่อลดความกดดัน หลังจากเจ้าชายขอโทษเสร็จ เขาก็เดินมาใกล้ผมอย่างเเนบชิด
“ดูเหมือนนายจะมีเศษข้าวติดนะ”
(วาจาที่เเกดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์ เเละทำให้ฉันต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ในสอบภาคปฏิบัติ ฉันจะบดขยี้เเกให้ปากพล่อยๆ นั่นพิการไปตลอดชีวิต ไอ้สามัญชนไม่รู้จักที่ยืน!)
เจ้าชายจับไหล่ซ้ายของผมด้วยมือขวา เสียงอันเกรี้ยวกราดของเขาส่งผ่านมายังหูของผมอย่างเเนบชิด มือขวาของเขากดไหล่ผมอย่างเต็มเเรงด้วยความตั้งใจที่จะให้มันหักจนใช้การไม่ได้อีกตลอดไป
“ขอบคุณนะครับ องค์ชาย”
(ทำให้ได้ก่อนเหอะ เพราะภาพที่เเกจะได้เห็นคือ ถูกฉันกระทืบจนไม่เหลือชิ้นกียังไงล่ะ ไอ้เจ้าชายขยะ!)
เจ้าชายเดาะลิ้นเล็กน้อยก่อนที่จะละมืออกจากไหล่ของผม เขาเดินกลับไปหาผู้ติดตาม เเละไม่เหลียวมามองหลังอีก เเต่ก็ไม่อาจปิดจิตสังหารที่มีต่อผมได้หรอก
“ขุนนางคนอื่นน่าจะเสร็จธุระเเล้ว เรากับไปหาที่นั่งพูดคุยที่โซนขุนนางกันเถอะ”
“ครับ/ค่ะ องค์ชาย”
เจ้าชายเดินไปพร้อมกับผู้ติดตาม คนทั่วไปที่อยู่รอบๆ จากที่มุงกันดูเหตุการณ์ก็พากันกลับนั่งประจำที่เดิม เพื่อหลีกทางให้เจ้าชายเดินกลับอย่างสะดวก
—
Chapters
Comments
- ตอนที่ 13: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (6) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 12: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 11: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (4) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 10: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 9: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2.5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 8: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 7: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1.5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 6: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 5: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (4) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 4: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 3: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (2) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 2: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่1: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (1) มกราคม 6, 2022
MANGA DISCUSSION