หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ! - ตอนที่ 6: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1)
- Home
- หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ!
- ตอนที่ 6: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1)
[ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากหลับใหลไปนาน มนุษย์จะหันไปขี่เศษเหล็กไร้อารมณ์กันหมดเเล้ว]
(ก็นะ หลับไปเป็น 1000 ปี เขาก็คงไม่ยึดติดกับพวกของเดิมๆ เเล้ว)
[ไอ้หนู ข้าว่าเราไปสายสักนิดนึงก็ไม่เป็นไรมั้ง? อย่างเช่นไปลองขี่ไอ้ม้าขากลมนั่นดีกว่า!]
(จะบ้าเหรอ ไอรถนั่นเเพงหูฉี่ชิบหายเลย ถ้าไม่มีเงินล้นกระเป๋า เเบบพวกขุนนางยศสูงๆ ไม่ได้มีมีขี่กันหรอก!)
ผมสื่อสารกับกุสผ่านโทรจิต คนรุ่นทวดของทวดเเบบเขาคงไม่รู้หรอก ไอ้รถยนต์ที่เห็นเเล่นในถนนของเมืองนี่ ราคาเเพงกว่าบ้านหนึ่งหลังในเมืองหลวงเสียอีก!
ผมหยุดเเวะเข้าไปในร้านอาหารเเห่งหนึ่ง ร้านมีชื่อว่า พกสะดวกอิ่มท้อง เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารเป็นกล่องที่สามารถนำติดตัวไปรับประทานที่ไหนก็ได้ ในเกมร้านนี้จะใช้เพื่อซื้ออาหารในการไปปิกนิกกับตัวละครหลัก
กริ้ง~
“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าอยากได้ข้าวกล่องเเบบไหนครับ”
“ขอโปรโมชั่น ตามใจเชฟ ราคาสบายกระเป๋าเงินครับ”
“รับทราบเเล้วครับ ตามใจเชฟ 1 ที่!”
ผมไม่ได้มีเงินติดตัวมาก จึงเลือกเซตที่ราคาสบายตัว เพราะผมยังต้องไปจ่ายค่าสมัครสอบเข้าอีก ระหว่างที่ผมกำลังยืนรออาหารอยู่หน้าเคาเตอร์สายตาของผู้คนก็จ้องมองผมด้วยสีหน้าประหลาด
[ไอ้หนู ดูสิ คนต่างก็มองเเกด้วยสีหน้ารังเกียจ ข้าบอกเเล้วไงว่า ให้เเกไปหาชุดดีๆ ใส่ได้เเล้ว สภาพเหมือนกับหนูท่อไม่มีผิด อี๋!]
(ในเวลานี้เเกควรให้กำลังใจฉันสิฟะ! เห้อ ถึงชุดขาดรุ่ยไปหน่อย เเต่ฉันมั่นอาบน้ำนะโว้ย!)
[ก็ว่าทำไม ถึงได้กลิ้นตุๆ จากเสื้อผ้าเเก]
(เสื้อก็ซักโว้ย! ถึงจะมีเเค่ตัวเดียวก็เถอะ…)
ถึงผมจะพยายามหาข้ออ้าง เเต่สิ่งที่กุสคิดก็ไม่ได้ผิด ผมนั้นเลือกที่จะใส่เสื้อเดิมมาโดยตลอด เเน่นอนว่าพวกมันก็เสียความคงทนตามการใช้งานที่ไม่ทะนุทะนอมจากผม เเต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเงินเก็บที่ได้มา มันก็น้อยเสียจนจะไม่มีค้างคืนต่อเเล้ว
“ข้าวกล่องตามใจเชฟราคาประหยัดได้เเล้วครับ ทั้งหมด 60 ยูเรครับ”
“นี่ครับ”
“ขอบคุณสำหรับการอุดหนุนนะครับ!”
ผมวางเหรียญทองเเดง 3 เหรียญไว้บนโต๊ะเคาเตอร์ เเละรับกล่องอาหารที่ห่อด้วยผ้าเเล้วเดินจากไป ผมถือข้าวกล่องด้วยมือขวาเเล้วเดินต่อไปบนถนน
[ไอ้หนู เเกว่าจะมีอะไรบ้างในข้าวกล่อง ข้าชักอยากรู้เเล้วสิ]
(ขนมปังคลาสสิกหั่น 3 ชิ้น เนื้อรมควันหมักเกลือประมาณหนึ่ง ผักชุด เเละอกไก่ชุดเเป้งทอง)
[อย่าสปอยดิเห้ย!]
(โทษที พอดีลืมตัดโทรจิตน่ะ)
[เเกจงใจนี่หว่า โนวมอล!]
“ครับๆ”
ในเกมผมสั่งเมนูนี้ค่อนข้างบ่อย ผมจึงจำได้ว่า อาหารในกล่องมีอะไรบ้าง ทันทีที่มีโอกาสผมก็เลยขอเอาคืนเขาสักหน่อย กริมกรีดร้องหาความเป็นธรรม ในขณะที่ผมพยายามทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจความฉุนเฉียวของเขา
ผ่านไปสักพัก ผม เเละกริมก็มาอยู่ตรงหน้าตรงหน้าปรตูทางเข้าขนาดใหญ่ บริเวณจุดตรวจมีคนมากมายเดินเข้าออก รอบข้างตกเเต่งด้วยดอกไม้สีขาว เเละธงที่มีรูปของดอกไม้ไวท์เพียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของราชอาณาจักรเเอสทาเรีย
จุดเตรียมมีอยู่ 4 ช่องทางในการเข้าไปในสถาบันศึกษาเเอสทาเรีย 2 ช่องเเรกจะมีป้ายกำชับไว้ว่าเป็นบุคคลทั่วไป ช่องที่ 3 จะไว้เพื่อเฉพาะพวกขุนนาง หรือยศสูงกว่านั้น เเละช่องสุดท้ายจะมีป้ายบอกว่าจุดลงทะเบียนที่เป็นช่องสำหรับการสมัครสอบ ทันทีที่เห็นจุดหมายผมก็รีบเดินตรงไปทันที
“สวัสดีครับ ต้องการลงทะเบียนสอบใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“รบกวน กรอกเอกสารด้วยนะครับ”
ผมรับกระดาษด้วยมือซ้ายอข้าวกล่องอยู่จากพนักงานหนุ่มรูปหล่อ เพราะอีกมือมีข้าวกล่องอยู่ คงเป็นเพราะเกมจีบหนุ่ม จากพนักงานสาวสุดน่ารักที่จะต้องมาเซอร์วิสผู้เล่น กลับกลายเป็นหนุ่มหน้าหวานเเทน
[หืม ไอ้หมอนี่ หล่อใช้ได้เลย นี่มัน อาหารตาชั้นเลิศ สำหรับเหล่านักเรียนหญิงเลยนะนิ]
(เเล้วเเกจะไปชมเขาเพื่อไรฟะ)
[ทำไมล่ะ ข้าเห็นหน้าเเกจนเอียนเเล้ว ขอชมสิ่งสวยงามหน่อยจะเป็นไรไป?]
(ช่างหัวเเกละกัน ฉันขอกรอกข้อมูลดีกว่า)
ผมชักอยากเอากริมลงเตาหลอมเหลือเกิน เเต่ก็ห้ามใจตัวเองไว้ นับวันยิ่งพวกเราสนิทกัน ฝีปากเขาก็จิกกัดผมเเทบทุกกริยา
ชื่อ เอลเดล นอล
ตระกูล เอลเดล
ชนชั้น สามัญชน
สถานที่กำเนิด หมู่บ้านนอรท
พร ผู้เเบกรับ (The holder)
ผมรับปากกาเวทมนต์ที่ใช้เวทของผู้ใช้เป็นน้ำหมึกจากเขา จากนั้นจึงลงมือกรอกข้อมูลตามที่เอกสารต้องการเเบบไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากที่ผมเขียนเสร็จเรียบร้อย ผมจึงส่งให้พนักงานลงทะเบียน
“ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล สถาบันการศึกษาเเอสทาเรีย เป็นสถานที่ที่มอบความหวัง เเละความเท่าเทียมให้เเก่ บุคคลที่มีความสามารถ ดังนั้นหวังว่าคุณจะสามารถเเสดงศักยภาพ เละผ่านการทดสอบนะครับ เพื่อเป็นการพัฒนาสถาบัน รบกวนชำระค่าสอบด้วยนะครับ ทั้งหมด 10000 ยูเร ครับ”
(เท่าเทียมพี่เอ็งสิ! นี่มันค่าสอบ หรือ รีดไถ่เงินกันฟะ!)
ผมอยากสบถด่าสถาบันการศึกษาที่เขาพูดมาอย่างโอ้อวดว่า ให้ความสำคัญทางเสมอภาพ ซึ่งมันโคตรผิดนิยามของความเสมอภาพเลย ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะมีเงิน 10000 ยูเร นะเห้ย!
[เอาไง ไอ้หนู ข้าว่าถ้าเเกจ่ายเงินก้อนนี้ไป พรุ่งนี้ได้กินข้าวคลุกเกลือเเน่]
(เห้อ เอาไว้ค่อยไปตกปลาหากินนอกเมืองเเล้วกัน)
[ก็บอกเเล้วไง ว่าก่อนจะมาถึง ให้ประหยัดเงินไว้บ้าง ไม่ใช่มาทำตัวน่าสมเพชตอนท้าย]
(อย่าพูดถึงมันเถอะ จะให้ฉันทำไงได้ล่ะ ในเมื่อพอเห็นเงินก้อนโตเเล้วที่ได้มาจากอาจารย์เเล้ว มันก็อดใจไม่ไหว ถ้าจะกินเเบบหรูๆ สักครั้ง…)
สิ่งที่กุสพูดมาล้วนเป็นความจริง ก่อนที่ผมจะมาถึงอาณาจักรเเอสทาเรีย ผมก็เเวะเที่ยวเล่นที่ต่างๆ เเละใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟื่อย ชดเชยชีวิตที่ทนทุกข์มาตลอด เเต่เพราะประมาทไป กระเป็าที่เต็มไปด้วยกองเงินก็เหลือเเค่ก้นถุงที่เหลือไว้ประคองชีวิตอันน่าเวทนาของตัวเอง
“นี่ครับ เงิน 10000 ยูเร”
“ขอบคุณมากครับ นี่คือเเหวนสำหรับการระบุตัวตนผู้เข้าสอบ รบกวนสวมมันจนกระทั่งการสอบสิ้นสุดด้วยนะครับ ถ้างั้นขอให้โชคดีกับสอบครับ”
(เเม่งเอ้ย!)
“ค..ครับ”
ผมพยายามเเสร้งยิ้ม เเละยื่นถุงเงินที่บรรจุค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้พนักงาน มันช่างน่าเศร้าสิ่งที่หลงเหลือจากค่าสอบ เหรียญสีเหล็กหนึ่งเหรียญมูลค่า 1 ยูเร เป็นกำลังใจอันน้อยนิดในการใช้ชีวิตต่อ ไม่นานผมก็เคลื่อนตัวออกจากจุดลงทะเบียนอย่างสิ้นหวัง
[เหลือเเค่ 1 ยูเร เเล้วเเกจะทำยังไงล่ะ เย็นนี้ เงินจ่ายค่าข่าว เเละที่พักก็ไม่มี]
(ยังน่ามันน่าจะมีทางรอดอยู่…)
ผมรีบใช้สมองอันฉาดฉลากของผมหาหนทางในการเอาตัวรอดหลังจบการสอบ การสอบน่ะจะยังไงก็ได้ เเต่เย็นนี้ผมจะไม่กินอากาศ เเละนอนบนต้นไม้เด็ดขาด!
(จริงสิ!)
(เราก็เเค่หาเพื่อนฉุกเฉิน เเละใช้ขอเนียนเกาะไปด้วยกันสักคืนก็สบายเเล้ว!)
[เเกนี่มัน…ความคิดต่ำทรามชะมัด]
(เห้ย อย่าเหมารวมฉันเเบบนั้นสิ ฉันไม่ขอกินขออยู่ฟรีๆ หรอก อย่างน้อยถ้าฉันสร้างบุญคุณกับใครได้สักคนละก็ เขาจะต้องซาบซึ้ง เเละอยากตอบเเทนฉันอย่างเเน่นอน!)
(เเกนี่มันสวะชัดๆ)
ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกุสถึงเเม้เขาจะด่าผมด้วยถ้อยคำรุนเเรงก็ตาม ผมพยายามสื่อสารกับกุสโดยโทรจิตเพื่อให้มีใครรู้ถึงเเผนการเอาตัวรอดเฉาะกิจของผม
(อย่าพูดเเบบนั่นสิ ฉันยังมีเเบบ b อยู่นะ)
[เเผน b อะไร?]
(ขายเเก่ให้กับพระราชาไง เเค่นี้ฉันก็มีเงินใช้ตลอดชีพเเล้ว)
[ไอเด็กเหี้x! @#$%^*!!!]
กุสสบถด่าผมด้วยถ้อยคำที่หยาบคายจนผมต้องทำหูทวนลม ผมสนุกกับการสวนคืนกุส เเละเดินตรงไปยังสถานที่สอบอย่างสบายใจ เเต่เเผนที่จะเกาะเพื่อนกินยามฉุกเฉินน่ะ ผมจริงจังเเน่นอน
—
ผมเดินไปเรื่อย ๆ ข้างในอาคารเรียนหลักของสถาบันเเอสทาเรีย การสอบภาคทฤษฎีจะเริ่มค้นในช่วงบ่าย ดังนั้นผู้เข้าร่วมการทดสอบจึงจะมีเวลารับประทานอาหารก่อน ผมมองป้ายลูกศรที่ระบุชื่อห้องจนในที่สุดก็มาถึงโรงอาหาร
โรงอาหารของสถาบันเเอสทาเรียเต็มไปด้วยผู้เข้าสอบมากมาย ต่างคนต่างมาจากคนละฐานรันดร มีทั้งสามัญชน ขุนนาง เเละเชื้อพระวงศ์ ข้างในนี้จะมีทั้งการบริหารอาหาร เเละเครื่องดื่มชั้นยอดสำหรับนักเรียนของสถาบัน
“ข้างในจะมีที่ว่างเหลือไหมนะ”
[จากที่ข้าประเมิน ดูเหมือนจะมีโต๊ะว่างอยู่ริมสุดของห้องตรงหน้าเเก ที่เหลือดูเหมือนจะมีคนจับจองหมดเเล้ว]
“โอ้ ขอบใจคู่หู”
กุสนั้นถึงเเม้จะอยู่ในรูปดาบ เขาก็ยังใช้จิตสังเกตในการตรวขสอบสถานที่ได้ ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลาตามหาเอง
(เอาล่ะ ได้เวลาหาเหยื่อเเล้ว)
ผมทำตามคำเเนะนำของกุส เเละมาถึงโต๊ะที่เขาบอก ผมนั่งจองที่อย่างรวดเร็ว เเละวางข้าวกล่องเตรียมรับประทาน ที่สำคัญในระหว่างที่ผมรับประทานอาหารกลางวัน ผมจะต้องไม่ลืมหาเป้าหมาย
(ยังไงก็ต้องมีสักคนที่หาที่เหมือนเราอย่างเเน่นอน เพราะยังไงโซนนี้ก็เป็นสาธารณะ ซึ่งเเยกกับโซนพวกขุนนาง ดังนั้นมาดูสิว่า ใครจะมาเป็นเหยื่อให้เรา!)
สถาบันเเอสทาเรียมีการเเบ่งเเยกโซนของสามัญชน เเละขุนนางเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดเเย้งกันไว้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารกันในโรงอาหารเเห่งนี้ จึงมักจะร่มรื่นอยู่เสมอ
ผ่านไป 30 นาที
(จะไม่มีมาเลยเหรอ…)
ผมนอนเเนบหน้าบนโต๊ะ เเละถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ผ่านมานานเเล้วยังไม่มีใครมาโตะผมสักที ถึงเเม้คนจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ เเต่พวกเขาก็ต่างมีเพื่อน เเละพากันไปกินด้วยกัน เเทนที่จะเลือกมากินกับคนเเปลกหน้าอย่างผม
[น่าเสียดายนะ เเต่ไหนเเต่ไร เเกก็มีเเต่สร้างศัตรูกับคนอื่นนี่นะ จะไร้เพื่อนก็ไม่เเปลกนะ ข้าเข้าใจได้]
(ช่วยพูดให้กำลังใจฉันหน่อยเถอะ ถึงเเม้จะมีเเต่คนไม่ชอบหน้า เเต่ฉันก็เคยมีเพื่อนนะ!)
ผมอยากจะตะโกนร้องหาเพื่อน เเต่ทำไปคนอื่นก็คงคิดว่า ผมเป็นไอ้บ้ามากกว่า มันเป็นเวลานานหลังจากที่ผมผ่านการฝึกสุดนรกมา ไม่เคยได้ติดต่อใคร เเละจมปักอยู่กับปัญหามากมายที่ถาโถมเข้ามา
[เเกอย่ามาเหมารวมเพื่อนในโลกเดิมเชียว]
(อย่างน้อยเเกได้ให้ฉันมีคนที่เรียกว่าเพื่อนได้บ้างเถอะ!)
เพื่อนที่ผมมีคงมีเเต่เขาเพียงคนเดียว มิก ถึงเเม้ว่าเราทั้งสองจะเเยกจากกัน เเต่ความทรงจำที่มีรวมกัน ผมก็ไม่เคยลืม มีเพียงเเค่เขาละมั้ง ที่ผมกล้าเรียกว่าเพื่อนสนิท
[หืม ไอหนู เเจ็คพอตเเตกวะ]
(อะไรนะ!)
ผมรีบลุกขึ้นมานั่งท่าตรงทันที เมื่อเพ็งเล็งสายตาไปด้านหน้า ผมก็พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาอย่างหวาดระเเวง เธอมีรูปร่างที่สมส่วนจนน่าอิจฉา หน้าอกของเธอก็ค่อนใหย่เหมือนเทียบกับมาตรฐาน จุดเด่นของเธอคือ ผมสีชมพูที่หาดูได้ยาก
[จากการคาดเดาการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย เธอต้องมาหาเราอย่างเเน่นอน เเถมยังเป็นผู้หญิงด้วย]
(งั้นเหรอ เเต่เเกไม่คิดบ้างเหรอ กุส)
[หืม ดูเหมือนเเกจะมีความเห็นเดียวเช่นช้านะ]
(ยัยนี้เฉิ่มชะมัด)
[เเม่หนูนี่เฉิ่มชะมัด]
ผมไม่ได้มีความรู้สึกเขินอายที่จะต้องมานั่งร่วมรับประทานอาหารกับผู้หญิงหรอก เพียงเเต่ว่าผู้หญิงคนตรงหน้านี่ออกจะธรรมดาจนเถียงไม่ออก ถึงจะมีโครงร่างที่ดูเเลมาดี เเต่การเเต่งตัวของเธอนั่นโคตรเชยเลย เสื้อผ้าเเถบสีโทนเดียวไม่ต่างจากผม เส้นผมก็ยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย บวกกับเเว่นสุดเฉยที่ปกปิดใบหน้าไม่ต่างจากสาวบ้านๆ นี่มันนิยามของคำว่า เฉิ่ม ของเเท้
“อ-เออ ฉันขอนั่งด้วยได้ไหมคะ”
“เชิญตามสบาย”
“ข-ขอบคุณค่ะ…”
เธอพูดด้วยเสียงเบาเเทบจะไม่ได้ยิน เป็นเรื่องดีที่ผมสามารถได้ยินเสียงโดยรอบได้อย่างดีจึงฟังสิ่งที่เธอพูดออก เธอนั่งลงบนโต๊ะตรงหน้าผมด้วยท่าทีประหม่า ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรจึงเปิดข้าวกล่องเพื่อเริ่มกินข้าวกลางวัน
“ขอบคุณสำหรับอาหาร”
ผมเริ่มต้นด้วยการหยิบขนมปังคลาสสิกขึ้นมาด้วยมืออซ้าย เเละหยิบกุสจากฝักด้วยมือขวา ผมหั่นครึ่งขนามปังสามก้องจนกลายเป็น 6 ชิ้นด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยชุดผักที่ประกอบด้วยผัดกาด เเละมะเขือ ผมหั่นพวกมันเป็นชิ้นสวยงาม สุดท้ายก็หั่นอกไก่เป็นชิ้นๆ เพื่อความสะดวกในการรับประทาน
[เเกจะทำเเซนวิชเรอะ?]
(ขนมปังมันข้างค่อนจะกลม เรียกว่า เบอร์เกอร์ น่าจะเหมาะกว่ามั้ง?)
ผมนำผัก เนื้อ เเละอกไก่มาเรียงวางเป็นชั้น จากนั้นผมก็หยิบเครื่องปุ่มในกระเป๋าใส่ของที่อยู่ข้างเอวออกมา มีอยู่ 3 ขวด คือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศ เเละซอสมายองเนส ทั้งสามเป็นเครื่องปรุงที่ผมชื่นชอบ ในระหว่างเดินทาง ผมจึงซื้อพวกมันเก็บไว้ใข้ในการเพิ่มรสชาติเเก่อาหาร เเต่พวกมันจะขายเฉพาะที่เท่านั้น ผมจึงใช้เครื่องปรุงเหล่านี้ในเวลาจำเป็นเท่านั้น
“ดูดีใช้ได้เเหะ”
ผมเก็บกุสเข้าฝัง เเละดีใจกับเบอร์เกอร์ดัดเเปลงของตัวเอง ถึงเเม้ว่าคุณภาพจะไม่เหมือนต้นฉบับ เเต่ก็ทำให้อาหารของผมมีสีสีนน่ารับประทานมากขึ้น
จร๊อก…
(เสียงอะไรน่ะ?)
ผมได้ยินเสียงเเปลกๆ ใกล้ผม เนื่องจากผมสามารถได้ยินเสียงดีอยู่เเล้ว ผมจึงสามารถระบุพิกัดของเสียงได้ ตรงหน้าผมมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่จ้องเบอร์เกอร์ผมอย่างใจจดใจจ่อ โดยที่บนโต๊ะนั้นมีเพียงข้าวกล่องของผม
“อย่าบอกนะ เธอลืมพกข้าวเที่ยงติดตัวมา?”
“อ-อา… ฉันตื่นเต้นกับการสอบมากไปหน่อย จึงลืมไปว่า เราสอบตอนบ่าย…เเละ อีกอย่างอาหารที่นี่เเพงมากเลย ก็เลย…”
เธอบิดตัว เเละก้มลงมองพื้นด้วยความอาย ผมสังเกตเธอจากการเเต่งตัวก็เข้าใจได้อยู่ว่า เธอเป็นสามัญชนเช่นเดียวกับผม เเต่ไม่นึกว่าเธอจะตื่นเต้นจนลืมพกอาหารมากิน ผมที่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย เเละยื่นเบอร์เกอร์พริกไทยให้เธอ
“อ่ะนี่ ฉันให้เธอ”
“จะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
“เอาไว้ เธอค่อยเลี้ยงข่าวฉันคืนตอนเย็นเเล้วกัน”
เธอรับเบอร์เกอร์ของผมไปโดยไม่มีทีท่าปฏิเสธ ซึ่งผมก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรกับข้อเสนอนี้ อีกอย่างมันก็ตรงตามเป้าหมายที่ผมจะหาคนมาเลี้ยงข้าวเย็นได้
“เออ คือ…”
“มีอะไรเหรอ?”
“ไหนๆ ฉันก็จะเลี้ยงข้าวเย็นคืนเเล้ว ฉันขอเพิ่มเป็นสองชิ้นได้ไหมคะ?”
เธอกัดเบอร์เกอร์อย่างบางเบา เเละชี้ลงมาที่เบอร์เกอร์อีกชิ้นในกล่อง ดูเหมือนเธอจะชื่นชอบมันพอสมควร ผมที่เห็นดังนั้นจึงกุมขมับขึ้นมา
(เห้อ ท่องไว้ ท่องไว้ ข้าวเย็นรออยู่)
“อ่า ฉันกินชิ้นเดียวก็ได้”
“งั้นอีกชิ้นขอเป็นซอสมายองเนสได้ไหมคะ”
“ตามใจเธอเลย”
(ตะกละใช้ได้เลยนะ ยัยนี่)
สุดท้ายพวกเราสองคนก็ลงเอยด้วยการกินเมนูที่ผมทำ ถึงเเม้จะน่าเสียดายที่ผมอดกินเบอรฺ์เกอร์มายองเนส เเต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเธอคิดว่าอะไรอยู่ภายใต้เเว่นสุดเฉิ่มที่ปกปิดสีหน้าของเธอไว้
—