ตอนที่ 5: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (4)
“หืม ลูกของดยุคเเคสโตเวียงั้นรึ? โฮะๆ เป็นเกียรติที่ได้พบกับคุณหนูมากครับ ระผมพอเห็นตัวจริงเเล้ว ไม่มีคำจะกล่าวอันใด นอกจากสวยงดงามดั่งเทพธิดาดั่งคำร่ำลือเลย”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ท่านอาเธอร์”
“ฮ่าๆ ว่าเเต่ท่านมีธุระอะไร ที่นี่งั้นเหรอครับ?”
“ดิฉันเเค่ต้องการดูพรช่วงครบรอบเพียงเท่านั้น ดิฉันอยากจะดูพรในที่ไร้ผู้คนเพื่อเลี่ยงความโกลาหล จึงเดินทางมายังหมู่บ้านนอรทที่ห่างไกลเเทน ต้องขออภัยที่ดิฉันไม่ได้จัดเเจ้งให้ท่านทราบก่อน เพราะความเห็นเเก่ตัวของฉันจึงได้สร้างความเดือดร้อน ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
อาเธอร์ตกใจ เเละชื่นชมความงดงามของเธอ เชอร์เบชน้อมตัวลงอีกครั้งพร้อมยิ้มอ่อนให้เขา เเต่คงจะไม่มีใครนอกจากผมที่รู้หรอกว่า รอยยิ้มนั้นมันเต็มไปด้วยการเเสร้งทำ เธอก็เเค่หาเหตุผลรองรับการกระทำอันเห้นเเก่ตัวของเธอเพียงเท่านั้น
“อืม เห็นเเก่การที่คุณหนูอุส่าห์เดินทางมาไกล ฉันจะดูพรทั้ง 3 คนพร้อมกันเลยละกัน เเต่ก่อนอื่น เธอต้องไปขอโทษสองพี่น้อง เเละพ่อของพวกเขาก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่เธอได้รับการให้อภัย เธอก็เดินมาหาครอบครัวของผมพร้อมกับคนคุ้มกันของเธอ เธอส่งยิ้มจอมปลอมอีกครั้ง เเละน้อมตัวลง
“ต้องขอโทษ ที่ดิฉันทำตัวไม่สมกับชนชั้นสูงด้วยนะคะ”
“ม-ไม่เป็นไร! ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ! ใช่ไหม เนฟ นอล!”
“ใช่ครับ คุณหนูไม่ผิดเลย พี่ชายผม นอล เขาพูดไม่ดีเอง ต้องขอโทษด้วยครับ!”
(เห้ย เนฟ เเกต้องเข้าข้างฉันสิฟะ!)
ผมกลับกลายเป็นผู้รับผิดเเทนเฉย พ่อ เเละน้องชายของผมสั่นกลัว เเละมองน่าผมด้วยความวินวอน ผมไม่ผิดด้วยซ้ำ อาจจะเเค่พูดเเรงไปนิดนึง เเต่มันความจริงทั้งนั้น!
“ถ้าอย่างงั้น เรามาคืนดีกันนะคะ คุณนอล”
(หยุดยิ้มเเบบนั้นนะเห้ย โคตรเกลียดเลย!)
เชอร์เบชยื่นมือมาทางผม เเละยิ้มกว้างให้ผม ผมรู้ดีว่าเธอไม่ได้ยิ้มอย่างจริงใจหรอก ผมน่ะรู้ดีเพราะไอการหลอกลวงด้วยสีหน้าน่ะ เป็นทักษะที่ผมเชี่ยวชาญตั้งเเต่โลกก่อน ในฐานะอดีตของคนในชมรมเเสดงละคร
(ซวยชิบเป้ง ไม่อยากจะรีบยุ่งกลับนางร้ายเลย ตามจริวอยากอ้อนวอนขอโทษอยู่หรอก เเต่ในเมื่อเราดันไปกล้าท้าทายเธอ ยังไงก็ต้องไปให้สุดทาง!)
“ทางผมก็อาจพูดอะไรไม่คิดบ้าง ขอโทษด้วยนะครับ คุณหนูเเคสโต..อึก..เวีย!”
ผมปั้นหน้าเเสร้งยิ้มกลับให้กับรอยยิ้มจอมปลอมของเธอ ทันใดที่ผมจับมือเธอ ผมก็รู้สึกได้ถึงเเรงอันมหาศาลจากฝ่ามือของเธอ ใช่เเล้วเธอกำลังระบายความโกรธของเธอด้วยการบีบมือของผมอย่างรุนเเรง
(เจ็บเป็นบ้าเลยวุ้ย! ยัยนี้! ลอบกัดกันนี่หว่า!)
“คุณหนูครับ ผมว่าเราคืนดีกันเเล้ว เรารีบไปดูพรกันเถอะครับ”
“นั่นสินะ ขอบคุณนะที่เข้าใจฉัน”
(เออ เข้าใจเเล้ว ปล่อยสักทีสิโว้ย!)
เชอร์เบชปล่อยมือของผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มครั้งนี้เป็นของจริงอย่างเเน่นอน เธอกำลังสะใจที่ได้ระบายความเเค้น ผมที่เห็นดังนั้นจึงได้กัดฟัน เเละเเสร้งทำตัวสบาย ผมล่ะโคตรเกลียดยัยรองนางร้ายนี่เลย!
หลังจากที่พวกเราจัดการปัญหาระหว่างสองฝ่ายจบ พวกเราก็ยืนอยู่ตรงหน้าอาเธอร์เพื่อเตรียมดูพร ผมเลือกที่จะอยู่ด้านขวาสุด เพราะไม่อยากเข้าไปมีปัญหากับเชอร์เบชที่อยู่ด้านซ้ายสุด ต้องขอบคุณเนฟที่เป็นคนกั้นระหว่างผม กับเชอเบช
“เอาล่ะ ถ้าทั้งสามคนพร้อมเเล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ นามของข้าคือ ผู้สรรเสริญเเด่ผู้ให้ความรักเเห่งทวงสรรค์ เพนกาเรีย อาเธอร์ เทพธิดาเเห่งความเมตตา ไอริส…”
ในขณะอาเธอร์กำลังท่องบทสวด ผมที่กำลังหลับตาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนหลังมือ ไม่เพียงเท่านั้นผมได้เห็นภาพอะไรบางอย่าง
ผมเห็นภาพของผมที่กำลังยืนอยู่ในทะเลทรายยามวิกาล ข้างหน้าคือดวงอาทิตย์ที่ไม่ผิดปรกติ เเทนที่เราจะเห็นมันในช่วงช้า ผมกลับเห็นมันกำลังส่องเเสงสาดส่องเส้นทางในห้วงราตรี ทันทีที่ผมหันหลังกลับก็พบกับมือที่หลงเหลือเเต่กระดูก เเละดาบมากมายที่ปักตามพื้นทราย
“ลืมตาได้เเล้ว พวกเธอ”
ผมลืมตาขึ้นตามเสียงของอาเธอร์ ผมพบกับมือขวาของตัวเองที่ส่องเเสงสว่างสีขาว ผมพลิกมันดูหลายครั้งด้วยความประหลากใจ เเม้ว่าภาพสลักบนมือจะไม่ละเอียดชัดเจน เเต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับมัน
“เเสงสีทองนั่น!”
ผมตกใจ เเละหันหลังกลับมาดูที่มาของเสียง มิเกลออกสีหน้าตกใจเหมือนคนเเตกเตื่น ไม่ใช่เพียงเเค่เขา ครอบครัวเลวิล องครักษ์ เเละครอบครัวของผม พวกเขากำลังมองไปที่ใครคนหนึ่ง
“สุดยอด สมเเล้วที่เป็นบุตรสาวของดยุคเเคสโตเวีย ไม่คาดคิดว่า จะได้รับ ซิกม่า ในยุคของเธอ”
“ซิกม่า! นั้นมัน ซิกม่าของจริง!”
คุณหมอตะโกนออกนอกหน้า เเต่ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงดังของเขา พวกเขามุ่งเป้าไปยังเเสงสีทองที่ปรากฏออกมาจากมือของเชอร์เบช เส้นผมสีเงินของเธอลอยพริ้วไหว ร่างของเธอกำลังเรือนเเสงสีทอง ตราสัญลักษณ์ของเธอกำลังถูกบรรจงวาดขึ้นมาด้วยเส้นใยของเเสง
(ก็รู้อยู่เเล้วนะว่ามี ซิกม่า เเต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นมันในพิธีดูพร)
ผมเป็นคนเดียวที่มันได้ทำสีหน้าทึ่งกับเหตุการณ์ ผมน่ะรู้อยู่เเล้วว่าตัวละครใดมี ซิกม่า เเละจำความสามารถของมันได้ทุกชนิดด้วย นับว่าเป็นโชคดี เเละเรื่องใหม่ที่ผมได้เห็นคนที่ดูพรเเล้วได้ซิกม่าต่อหน้า เพราะปรกติเราจะต้องเป็นคนปลดล็อคเนื้อเรื่อง เเละเพิ่มค่าความสนิทของตัวละครเพื่อหาคนที่มีซิกม่าเข้าปาร์ตี้ร่วมเดินทาง
“พ่อ คุณหนูเขาได้อะไรอ่ะ อะไรคือ ซิกม่าครับ?”
“อ-เออ”
“ซิกม่า คือ การมอบเจตจำนงค์จากเทพธิดา หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้ถูกเลือกโดยเทพธิดา…”
ผมที่เห็นสีหน้าที่ไม่รู้อะไรของพ่อ ผมจึงอาสาเป็นคนตอบให้เนฟเเทน อย่างน้อยผมอยากให้เนฟเข้าใจถึงความเเตกต่างของพร กับซิกม่า ถึงเเม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ก็ตาม
“กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนที่ได้ซิกม่าน่ะ จะมีพลัง เเละความสามารถเฉพาะที่เหนือกว่าพรที่เรามีอยู่ ถ้าเกิดเราได้พรเป็นนักดาบ ซิกม่าจะให้พรที่เเข็งเเกร่งยิ่งกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ซิกม่า อำนาจเเห่งกษัตริย์ ของราชวงศ์เเอสทาเรีย สามารถอัญเชิญดาบสุริยะลงทัณฑ์ ที่สามารถเเผดเผากองทหารกว่าหมื่นนายให้เป็นขี้เถ้าได้เพียงคนเดียว”
“เเบบนี้ซิกม่าก็สุดยอดไปเลยสิ!”
“โคตรโกงเลยล่ะ”
ผมอมยิ้มให้กับสายตาลุกวาวของเนฟ เเละลูบหัวเขาด้วยความชอบใจ พรที่ดีคือสื่งที่คนคาดหวัง เเต่ซิกม่าคือสิ่งที่ใครต่างก็ภาวนาว่าสักครั้งในชีวิตอยากที่จะครอบครองมัน ผู้ใช้ซิกม่าเพียงคนเดียวสามารถทดเเทนได้กว่ากำลังรบจำนวนมากในสงคราม
“เนล บอกมาเลยนะ! นายเเอบส่งนอลไปเรียนพิเศษใช่ไหม! ขนาดฉันที่อ่านเกี่ยวกับซิกม่าทุกวัน ยังไม่รู้เยอะขนาดนั้นเลย!”
“นอลนี่นะ ฉลาด เอ้! ลูกฉันไปฉลาดตอนไหนเนี้ย!”
พ่อของมิรินเขามาสวมคอพ่อผมด้วยความตื่นเต้น พอผมที่ไม่รู้อะไร เเละปรับตัวไม่ถูก ก็มองซ้ายขวาไปมาเหมือนคนขี้กลัว
(เเย่ล่ะ ติดเป็นนิสัยเสียอีกล่ะ)
กว่าผมจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก็เมื่อได้เห็นท่าทางวิตกกังวลของพ่อ ในโลกเก่าผมมักจะเป็นคนชอบทำไกด์สอนผู้เล่นใหม่เสมอ เลยเพลอลืมตัวพูดออกไปเพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่สงสัย ผมดันลืมไปว่า ข้อมูลที่ผมพูดไปมันไม่น่าใช่สิ่งที่คนยากจน ไร้ซึ่งการศึกษาระดับสูงอย่างผมจะรู้ได้
“ผมเเค่เคยอ่านจากหนังสือผ่านๆ เอง ไม่เเน่สิ่งที่ผมพูดไปอาจะจะไม่ถูกก็ได้นะครับ”
“เป็นไปไม่ได้อย่างเเน่นอน สิ่งที่นายพูดมาน่ะ ถูกต้องทั้งหมดเเล้ว”
เชอร์เบชมองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ผมที่ถูกมองโดยคนรอบตัวมากขึ้น ทหาร องครักษ์ เเละคนผื่นๆ ก็เริ่มกระซิบพูดคุยเกี่ยวกับผม ร่างกายของผมเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลผล่านทั่วร่างกาย ใครก็ได้ช่วยผมที!
“อะเเห่ม เห็นหัวฉันบ้างเถอะ ตอนนี้กำลังอยู่ในพิธีดูพรนะ ขอให้อยู่ในความสงบด้วย”
“ค-ครับ!”
คุณหมอก้มหัว เเละรีบกลับไปนั่งที่เดิม เขาโดนภรรยาดุเกี่ยวกับพฤติกรรมเเสดงออกอันไม่เหมาะสมของเขา พวกองครักษ์ เเละอัศวินก็ต่างมากันปิดปากยืนนิ่งด้วยความสงบ อาเธอร์เหลือบตามาทางผม เเละกระพริบตาให้เล็กน้อย
(ขอบคุณครับหลวงพ่อ มันจะไม่มีวันลืมบุญคุณเลย!)
ผมเเทบอยากคุกเข้า เเละกราบไหว้การช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อ เเต่ก็ทำได้เเต่เเอบส่งนิ้วโป้ง ขอบคุณเขาทางอ้อมเเทน
“รูปของผู้นั่งบนบังลังค์เเห่งความองอาจ สั่งการข้ารับใช้ไร้โลหิตเพื่อปฎิบัติตามเจตจำนงเเห่งตน สายตาเเห่งความเลือดเย็นจ้องมองเเต่ภาพเเห่งชัยชนะ ยินดีด้วยบุคสาวเเห่งเเคสโตเวีย ซิกม่าของเธอ คือ อาณาเขตเเห่งชัยชนะ เพอร์เฟค คิงดอม (Perfect Kingdom)”
(มาเเล้วสินะ ซิกม่าที่โคตรจะโกง)
ทุกคนที่อยู่รอบตัวผมต่างมองเชอร์เบชด้วยความอึ้งทึ่ง ยกเว้นผมที่ไม่ได้เเสดงออกกับซิกม่าของเธอ เพราะรู้อยู่เเล้วว่าเธอมีซิกม่าอะไรในตัวเกม
Perfect Kingdom คือ การสร้างอัศวินข้ารับใช้อันสื่อสัตย์ต่อสู้เคียงรบไปกับผู้ใช้ จุดเด่นของพลังนี้คือ อัศวินจะเเข็งเเกร่งขึ้น เเละมีจำนวนมากขึ้นตามพลังเวทของผู้ใช้ ถ้ายิ่งครอบครองพลังเวทอันมหาศาลมากเท่าไหร่ อัศวินพิทักษ์ก็จะยากที่จะต่อกรมากขึ้น การที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับเธอ เเทบจะไม่ต่างจากการที่เราบุกฝ่าทั้งกองทัพเลย
(ใช้ตัวหมากเพื่อที่จะชนะอย่างสมบูรณ์เเบบ นี่เเหละ เพอร์เฟค คิงดอม)
“คุณนอล ดูนิ่งสงบ ไม่มีท่าทางตื่นตระหนกกับซิกม่าเลย จากที่คุณได้อธิบายมา คุณคงเชี่ยวชาญซิกม่าพอสมควรสินะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมเเค่อึ้งจนพูดไม่ออกเลย ไม่รู้เลยนะครับว่า คุณหนูจะได้เป็นผู้สืบทอด เพอร์เฟค คิงดอมอีกครั้ง หลังจากวีรบุรุษของตระกูลเเคสโตเวียได้จากไปเมื่อ 1000 ปีก่อน”
“รู้จักเเม้กระทั่งประวัติศาสตร์เเห่งชาติในเพียงวัยเท่านี้ คุณนี่ช่างน่าสนใจจริงค่ะ”
(ไอปากเฮ็งซวย เอ้ย!)
ผมอยากจะเอามือตบปากตัวเองให้สำนึกผิดซะเหลือเกิน นิสัยที่ชอบพูดไปเรื่อยของผมมันเเก้ยากจริงๆ เเม้ว่าเชอร์เบชจะมองผมด้วยไม่เเสดงสีหน้าอะไร เเต่นั่นมันจะยิ่งทำให้คนรอบข้างเธอหันมาสนใจในตัวผมอีกครั้ง ผมไม่มีทางเลือกจึงหันไปมองอาเธอร์ด้วยสายตาเหลือหมาน้อย ที่ต้องการความช่วยเหลือ
“อะเเห่ม เรามาต่อกับพรของสองพี่น้องดีกว่า เริ่มจากคนน้องก่อนนะ”
“ครับ!”
(ขอบคุณครับ หลวงพ่อ!)
ผมซาบซึ้งจนเเทบจะก้มหน้าลงไปกรอบเท้าอาเธอร์เเล้ว เเต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ เพราะผมจะทำเเบบโจ่งเเจ้งในที่สาธารณะเเบบนี้ไม่ได้
“รูปของผู้เเสวงหาในเส้นทางเเห่งดาบ เเละใช้มันเป็นอาวุธคู่กายต่อกรกับทุกศัตรูที่เผชิญหน้า พรของเธอคือ นักดาบ ยินดีด้วย”
“น-น-นักดาบ! พ่อ ผมได้เป็นนักดาบเเล้ว!!!”
เนฟยิ้มจนปากของเขาเเทบฉีกให้กับความดีใจ เขาวิ่งกลับไปหาพ่อที่นั่งเฝ้ามอง เเละกระโจนกอดพวกเขาด้วยความสุข
“สมเเล้วที่เป็นลูกพ่อ พ่อมั่นใจอยู่เเล้วว่า ลูกจะได้เป็นนักดาบ!”
พ่อกอดเนฟด้วยความดีใจ เเละหลั่งน้ำตาออกมา นักดาบเป็นพรที่เเข็งเเกร่ง เเละมั่นคง การที่เนฟได้พรเป็นนักดาบก็เรียกได้ว่า เขาสามารถพลิกชีวิตของครอบครัวให้กลับมาเฟื้องฟูอีกครั้ง
“อย่าพึ่งดีใจไป ยังเหลือลูกชายคนโตของพวกคุณอีกคนนะ”
“ขอโทษด้วยครับ ท่านอาเธอร์…!”
พ่อของผมที่กำลังร้องห่มร้องไห้ดีใจก็รีบเช็ดน้ำตา เเละโค้งตัวเเสดงความขอโทษที่ขัดขวางการดำเนินพิธี ไม่นานหลวงพ่อก็หันมามองที่มือของผมก่อนที่เขาก็เอ่ยปากออกมา
“รูปของผู้ที่เดินผ่านสนามรบอันเเห้งเหือดด้วยความโหยหา เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยอาวุธนับพัน เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ทั่วสารทิศ เเละโครงกระดูกที่จ้องมองเเผ่นหลังของเขาด้วยความอาวรณ์ ภายในจุดจบเเห่งความสิ้นหวัง เหตุใดหัวใจของเขาถึงยังกล้าเเกร่งยากจะพังทลาย พรของเธอคือ ผู้เเบกรับ ยินดีด้วย”
(จิตใจอันกล้าเเกร่ง? พรอะไรวะเนี้ย!?)
เมื่อผมได้ยินผลลัพธ์ ผมก็พูดอะไรเเทบไม่ออก จิตใจอันกล้าเเกร่งเป็นพรที่ผมยังไม่เคยได้พบมาก่อนตั้งเเต่เล่นเกมมา ไม่มีทางที่ผมจะจำพรไหรในเกมไม่ได้ เพราะผมเคลียร์ทุกอย่างในเกมนี้หมดเเล้ว
“นี่มัน พรเกิดใหม่เหรอครับ?”
“ดูเหมือนจะเป็นเเบบนั้น นั่นเป็นพรที่เกิดจากความสามารถของเธอเอง เเต่เท่าที่ข้าตรวจสอบความสามารถ ดูเหมือนมันจะส่งผลให้พ่อมี จิตใจที่กล้าเเกร่ง เเทนที่จะเสริมพลังในการต่อสู้มากกว่า”
“จิตใจที่กล้าเเกร่ง งั้นเหรอครับ?”
(เป็นพรประเภทเสริมความต้านทางจิตใจสินะ…)
“ขอบคุณครับ”
ผมน้อมตัวขอบคุณหลวงพ่อก่อนจะเดินเงียบไปหาพ่อเเม่ ผู้คนรอบตัวต่างมองผมด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้เเสดงความตกใจ ก็นะสำหรับโลกนี้ พรเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกปีจะมีตลอด เเต่คงมีเเค่ผมคนเดียวที่รู้ว่าพร ผู้เเบกรับ นั่นมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นในเกมมาก่อน
“อะไรกันนึกว่าพรพิเศษ…”
“ผู้เเบกรับ อย่างกับลอกเลียนเเบบ พรผู้กล้า…”
“ไม่ใช่ว่าพรนี้ มันจะกระจอ…”
เสียงซุบซิบนินทาดังทั่งโถงโบสถ์ ผมไม่สามารถได้ยินพวกเขาได้ชัดเจน เพราะมันมาจากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนจากวิหาร หรือบริวารของเชอร์เบช เเต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรคำวิจารณ์ของพวกเขา ผมนั่งจับคางอยู่บนเก้าอี้ คิดทบทวนถึงพรที่ได้รับมา
(ตอนเเรกคิดว่าจะได้พร พ่อค้าซะอีก ดังผิดเเผนเเหะ)
ผมมั่นใจว่าโดยนิสัยที่รักเงินของตัวเอง คงจะได้ความสามารถในการเจรจาของพ่อค้ามา เเต่กับผิดคาดที่ได้พรที่ไม่เคยมีมาในเกมเเทน
(ผู้เเบกรับ จากที่ฟังคำอธิบายจากหลวงพ่อ คือมีความสามารถในการเพิ่มความต้านทานทางจิตใจ เเต่มันก็น่าเเปลกที่ ถ้าเป็นพรที่มีความสามารถเสริมพลังจิตใจ ควรเป็น นักควบคุมจิต มากกว่า…)
ผมรวบรวมความคิดมองหา ความเป็นไปได้ในการใช้ประโสชน์จากพรนี้ เเต่คำอธิบายที่อาเธอร์ให้ผมนั้น ค่อนข้างกำกวมไม่ชัดเจน อีกทั้งมันยังมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีก
(เเต่ไม่รู้สึกถึงว่า ตัวเองจะมีพลังเวทเลย ทั้งที่มันควรมีตั้งเเต่ได้รับพรมาเเล้ว)
เเม้ว่านักควบคุมจิต จะไม่มีได้สนับสนุนกำลังในการต่อสู้ เเต่ก็มีสกิลเช่น จิตยึดเหนี่ยว ที่ทำให้ตัวเองสามารถคงสติในภาวะวิกฤตได้ ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากข้อมูลเกม เมื่อคนที่พรตื่นขึ้น ถ้าเป็นพรที่สามารถเข้าถึงเเก่นพลังเวทในตัวเองได้ พวกเขาก็จะรู้สึกได้ถึงพลังเวทได้ตั้งเเต่รับพรมา
(ถ้าคิดถึง จิตใจที่กล้าเเข็ง ก็จะสามารถตีความในความหมายว่า จิตใจที่ไม่ท้อถอย หรือสั่นคลอนได้ เเละเมื่อมารวมกับศัพท์เฉพาะในเกมเช่น ความต้านทานต่อสถานะผิดปรกติ ละก็…)
ความเป็นไปได้ที่ผสมระหว่างคำบอกใบ้จากอาเธอร์ เเละข้อมูลของเกมที่มีอยู่ในความทรงจำ ทำให้ผมเริ่มค้นพบเบื้องหลังของพรนี้
(ต้านทานสถานะทางจิตใจสมบูรณ์…อย่างงั้นเหรอ?)
(ถ้าเป็นเเบบนี้ พรนี้่จะนำไปใช้ประโยชน์ยังไงล่ะ?)
ความคิดไหลผ่านหัวของผมดั่งสายน้ำ ความผิดปรกติที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเริ่มสงสัยถึงศักยภาพของพรนี้มากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะดึงประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด
(ถ้าอ้างอิงจากความสามารถที่เราจะต้านทานได้คงมี มนต์เสห่ห์ จิตสลาย คลุ้มคลั่ง ตัณหาวิบัติ เเละควบคุมจิต…)
ผมที่ไล่เรียงความคิดไปทีละน้อย ก็เริ่มเห็นถึงความสามารถที่น่าสะพรึงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพรนี้มันจะวิธีการที่นอกรีดไปหน่อยเหรอ
(ถ้าเราสามารถต้านทานการควบคุมจิตได้ละก็ ไอ้นั้นก็ทำได้สินะ)
รอยยิ้มของผมผุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ผมไม่สามารถยิ้มชมเชยให้กับความฉลาดอันล้ำเลิศของผมได้ มันคือการเเย่งชิงอำนาจในการควบคุมยังไงล่ะ
“ดูคุณจะมีความสุขกับพรมากเลยนะคะ คุณนอล”
เชอร์เบชอยู่ห่างผมประมาณ 1 เมตร เธอจ้องมองมาที่รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดของผม มิเกลที่เห็นดังนั้นก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่เธอทักผม ครอบครัวของผมที่นั่งอยู่ใกล้กันเมื่อครู่ ก็หายเงียบไปซะเเล้ว
“นั่นสิครับ ได้พรเกิดใหม่ที่ยังไม่มีใครมี ผมรู้สึกได้ว่า มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินกว่าสามัญชนยศต่ำอย่างผม จะคาดหวังเสียอีก”
“งั้นเหรอ เเต่สีหน้านายดูเหมือน คนที่มีเเผนอะไรซ่อนอยู่เลย”
“ไม่หรอกครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากความดีใจที่ได้พร”
(ไปสักทีสิ ชอบมาขัดอารมณ์สุนทรีย์ของฉันจริง)
ผมเเสร้งทำหน้าไร้เดียงสา เเละโค้งคำนับเธอเหมือนคนไม่เอาไหน ผมหวังว่าพวกเธอจะไปได้สักที รู้สึกรำคาญที่จะต้องมายุ่งกับพวกเธอเเล้ว
“นายนี่มันเเปลกชะมัด เเต่ก็ช่างเถอะขอให้มีความสุขกับพรละกัน กลับได้”
“ครับ คุณหนู!”
พวกองครักษ์ของเธอ เเละเชอร์เบชเดินตรงออกไปยังประตูโบสถ์ ผมหันไปรอบๆ ก็พบพ่อเเม่ เนฟ เเละครอบครัวของมิรินที่เดินออกมาจากมุมขอบผนัง
“ลูกนี่จิตใจกล้าเเกร่งสมกับพรตัวเองเลยนะ พ่อคงไม่กล้าคุยต่อหน้ากับทายาทของตระกูลเเคสโตเวียเเน่นอน”
“เบลลูกนายนี่เกือบทำพวกฉันหัวใจวายเลย ถ้าไม่มีท่านอาเธอร์อยู่ เราคงศพไม่สวยเเน่นอน”
คุณหมอปาดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า ในขณะที่เนลก็ถอนหายใจยาวออกมา สภาพของพวกเขาต่างหวาดระเเวงกับการกระทำของผม
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมน่ะคิดไว้เเล้ว ว่ายังไงพวกคุณนางคงไม่กระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าคนของวิหารศักดิ์สิทธิหรอก อีกอย่างการที่เราเเสดงออกถึงจุดยืน เเละความเท่าเทียม นั่นจะทำให้พวกเขาเริ่มเห็นคุณค่าในตัวพวกเราสักนิดก็ยังดี”
(ถึงจะเเค่ริบหรี่ก็เถอะ)
ความคิดที่จะทำให้พวกขุนนางยอมรับคนที่มีฐารันดรต่ำเรี่ยดินเเบบผม มันไม่ต่างจากการหาเข็มในมหาสมุทรหรอก สิ่งที่ผมพูดไปก็เเค่คำพูดช่างฝันที่คาดหวังอะไรไม่ได้ต่างหาก
“เนล ฉันว่าลูกนายนี่ ตั้งเเต่ฟื้นขึ้นมา เขาดูเป็นคนละคนเลยนะ คือเเบบว่า…ฉลาดมากไปจนไม่คิดว่าเป็นลูกนายเลย”
“เห้ย เเกหาว่าฉันโง่เหรอ เเจ็ค! ลูกฉันต้องฉลาดได้ฉัน มันผิดปรกติตรงไหนฟะ!”
“อะเเห่ม ถ้าพวกเธอ จะทะเลาะกันละก็ เชิญไปด้านนอกได้ไหม ตอนนี้โบสถ์จะปิดเเล้ว”
“ข-ขอโทษครับ ท่านอาเธอร์”
พ่อ เเละคุณหมอที่เห็นว่าหลวงพ่อกำลังตำหนิใส่ จึงรีบน้อมตัวขอโทษ เเละจูงมือผม พาออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
อาเธอร์ยิ้มมุมปากให้กับเด็กหนุ่มผมสีครามคนหนึ่งที่ได้เดินจากไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาล่วงมือไปจับกางเกนที่สลักรูปของเทพธิดา เเละมองมันอย่างอ่อนโยน
“เด็กชายผู้มาพร้อมกับเส้นทางเเห่งขวากหนามอย่างงั้นรึ…”
“หืม ลูกของดยุคเเคสโตเวียงั้นรึ? โฮะๆ เป็นเกียรติที่ได้พบกับคุณหนูมากครับ ระผมพอเห็นตัวจริงเเล้ว ไม่มีคำจะกล่าวอันใด นอกจากสวยงดงามดั่งเทพธิดาดั่งคำร่ำลือเลย”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ท่านอาเธอร์”
“ฮ่าๆ ว่าเเต่ท่านมีธุระอะไร ที่นี่งั้นเหรอครับ?”
“ดิฉันเเค่ต้องการดูพรช่วงครบรอบเพียงเท่านั้น ดิฉันอยากจะดูพรในที่ไร้ผู้คนเพื่อเลี่ยงความโกลาหล จึงเดินทางมายังหมู่บ้านนอรทที่ห่างไกลเเทน ต้องขออภัยที่ดิฉันไม่ได้จัดเเจ้งให้ท่านทราบก่อน เพราะความเห็นเเก่ตัวของฉันจึงได้สร้างความเดือดร้อน ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
อาเธอร์ตกใจ เเละชื่นชมความงดงามของเธอ เชอร์เบชน้อมตัวลงอีกครั้งพร้อมยิ้มอ่อนให้เขา เเต่คงจะไม่มีใครนอกจากผมที่รู้หรอกว่า รอยยิ้มนั้นมันเต็มไปด้วยการเเสร้งทำ เธอก็เเค่หาเหตุผลรองรับการกระทำอันเห้นเเก่ตัวของเธอเพียงเท่านั้น
“อืม เห็นเเก่การที่คุณหนูอุส่าห์เดินทางมาไกล ฉันจะดูพรทั้ง 3 คนพร้อมกันเลยละกัน เเต่ก่อนอื่น เธอต้องไปขอโทษสองพี่น้อง เเละพ่อของพวกเขาก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่เธอได้รับการให้อภัย เธอก็เดินมาหาครอบครัวของผมพร้อมกับคนคุ้มกันของเธอ เธอส่งยิ้มจอมปลอมอีกครั้ง เเละน้อมตัวลง
“ต้องขอโทษ ที่ดิฉันทำตัวไม่สมกับชนชั้นสูงด้วยนะคะ”
“ม-ไม่เป็นไร! ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ! ใช่ไหม เนฟ นอล!”
“ใช่ครับ คุณหนูไม่ผิดเลย พี่ชายผม นอล เขาพูดไม่ดีเอง ต้องขอโทษด้วยครับ!”
(เห้ย เนฟ เเกต้องเข้าข้างฉันสิฟะ!)
ผมกลับกลายเป็นผู้รับผิดเเทนเฉย พ่อ เเละน้องชายของผมสั่นกลัว เเละมองน่าผมด้วยความวินวอน ผมไม่ผิดด้วยซ้ำ อาจจะเเค่พูดเเรงไปนิดนึง เเต่มันความจริงทั้งนั้น!
“ถ้าอย่างงั้น เรามาคืนดีกันนะคะ คุณนอล”
(หยุดยิ้มเเบบนั้นนะเห้ย โคตรเกลียดเลย!)
เชอร์เบชยื่นมือมาทางผม เเละยิ้มกว้างให้ผม ผมรู้ดีว่าเธอไม่ได้ยิ้มอย่างจริงใจหรอก ผมน่ะรู้ดีเพราะไอการหลอกลวงด้วยสีหน้าน่ะ เป็นทักษะที่ผมเชี่ยวชาญตั้งเเต่โลกก่อน ในฐานะอดีตของคนในชมรมเเสดงละคร
(ซวยชิบเป้ง ไม่อยากจะรีบยุ่งกลับนางร้ายเลย ตามจริวอยากอ้อนวอนขอโทษอยู่หรอก เเต่ในเมื่อเราดันไปกล้าท้าทายเธอ ยังไงก็ต้องไปให้สุดทาง!)
“ทางผมก็อาจพูดอะไรไม่คิดบ้าง ขอโทษด้วยนะครับ คุณหนูเเคสโต..อึก..เวีย!”
ผมปั้นหน้าเเสร้งยิ้มกลับให้กับรอยยิ้มจอมปลอมของเธอ ทันใดที่ผมจับมือเธอ ผมก็รู้สึกได้ถึงเเรงอันมหาศาลจากฝ่ามือของเธอ ใช่เเล้วเธอกำลังระบายความโกรธของเธอด้วยการบีบมือของผมอย่างรุนเเรง
(เจ็บเป็นบ้าเลยวุ้ย! ยัยนี้! ลอบกัดกันนี่หว่า!)
“คุณหนูครับ ผมว่าเราคืนดีกันเเล้ว เรารีบไปดูพรกันเถอะครับ”
“นั่นสินะ ขอบคุณนะที่เข้าใจฉัน”
(เออ เข้าใจเเล้ว ปล่อยสักทีสิโว้ย!)
เชอร์เบชปล่อยมือของผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มครั้งนี้เป็นของจริงอย่างเเน่นอน เธอกำลังสะใจที่ได้ระบายความเเค้น ผมที่เห็นดังนั้นจึงได้กัดฟัน เเละเเสร้งทำตัวสบาย ผมล่ะโคตรเกลียดยัยรองนางร้ายนี่เลย!
หลังจากที่พวกเราจัดการปัญหาระหว่างสองฝ่ายจบ พวกเราก็ยืนอยู่ตรงหน้าอาเธอร์เพื่อเตรียมดูพร ผมเลือกที่จะอยู่ด้านขวาสุด เพราะไม่อยากเข้าไปมีปัญหากับเชอร์เบชที่อยู่ด้านซ้ายสุด ต้องขอบคุณเนฟที่เป็นคนกั้นระหว่างผม กับเชอเบช
“เอาล่ะ ถ้าทั้งสามคนพร้อมเเล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ นามของข้าคือ ผู้สรรเสริญเเด่ผู้ให้ความรักเเห่งทวงสรรค์ เพนกาเรีย อาเธอร์ เทพธิดาเเห่งความเมตตา ไอริส…”
ในขณะอาเธอร์กำลังท่องบทสวด ผมที่กำลังหลับตาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนหลังมือ ไม่เพียงเท่านั้นผมได้เห็นภาพอะไรบางอย่าง
ผมเห็นภาพของผมที่กำลังยืนอยู่ในทะเลทรายยามวิกาล ข้างหน้าคือดวงอาทิตย์ที่ไม่ผิดปรกติ เเทนที่เราจะเห็นมันในช่วงช้า ผมกลับเห็นมันกำลังส่องเเสงสาดส่องเส้นทางในห้วงราตรี ทันทีที่ผมหันหลังกลับก็พบกับมือที่หลงเหลือเเต่กระดูก เเละดาบมากมายที่ปักตามพื้นทราย
“ลืมตาได้เเล้ว พวกเธอ”
ผมลืมตาขึ้นตามเสียงของอาเธอร์ ผมพบกับมือขวาของตัวเองที่ส่องเเสงสว่างสีขาว ผมพลิกมันดูหลายครั้งด้วยความประหลากใจ เเม้ว่าภาพสลักบนมือจะไม่ละเอียดชัดเจน เเต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับมัน
“เเสงสีทองนั่น!”
ผมตกใจ เเละหันหลังกลับมาดูที่มาของเสียง มิเกลออกสีหน้าตกใจเหมือนคนเเตกเตื่น ไม่ใช่เพียงเเค่เขา ครอบครัวเลวิล องครักษ์ เเละครอบครัวของผม พวกเขากำลังมองไปที่ใครคนหนึ่ง
“สุดยอด สมเเล้วที่เป็นบุตรสาวของดยุคเเคสโตเวีย ไม่คาดคิดว่า จะได้รับ ซิกม่า ในยุคของเธอ”
“ซิกม่า! นั้นมัน ซิกม่าของจริง!”
คุณหมอตะโกนออกนอกหน้า เเต่ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงดังของเขา พวกเขามุ่งเป้าไปยังเเสงสีทองที่ปรากฏออกมาจากมือของเชอร์เบช เส้นผมสีเงินของเธอลอยพริ้วไหว ร่างของเธอกำลังเรือนเเสงสีทอง ตราสัญลักษณ์ของเธอกำลังถูกบรรจงวาดขึ้นมาด้วยเส้นใยของเเสง
(ก็รู้อยู่เเล้วนะว่ามี ซิกม่า เเต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นมันในพิธีดูพร)
ผมเป็นคนเดียวที่มันได้ทำสีหน้าทึ่งกับเหตุการณ์ ผมน่ะรู้อยู่เเล้วว่าตัวละครใดมี ซิกม่า เเละจำความสามารถของมันได้ทุกชนิดด้วย นับว่าเป็นโชคดี เเละเรื่องใหม่ที่ผมได้เห็นคนที่ดูพรเเล้วได้ซิกม่าต่อหน้า เพราะปรกติเราจะต้องเป็นคนปลดล็อคเนื้อเรื่อง เเละเพิ่มค่าความสนิทของตัวละครเพื่อหาคนที่มีซิกม่าเข้าปาร์ตี้ร่วมเดินทาง
“พ่อ คุณหนูเขาได้อะไรอ่ะ อะไรคือ ซิกม่าครับ?”
“อ-เออ”
“ซิกม่า คือ การมอบเจตจำนงค์จากเทพธิดา หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้ถูกเลือกโดยเทพธิดา…”
ผมที่เห็นสีหน้าที่ไม่รู้อะไรของพ่อ ผมจึงอาสาเป็นคนตอบให้เนฟเเทน อย่างน้อยผมอยากให้เนฟเข้าใจถึงความเเตกต่างของพร กับซิกม่า ถึงเเม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ก็ตาม
“กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนที่ได้ซิกม่าน่ะ จะมีพลัง เเละความสามารถเฉพาะที่เหนือกว่าพรที่เรามีอยู่ ถ้าเกิดเราได้พรเป็นนักดาบ ซิกม่าจะให้พรที่เเข็งเเกร่งยิ่งกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ซิกม่า อำนาจเเห่งกษัตริย์ ของราชวงศ์เเอสทาเรีย สามารถอัญเชิญดาบสุริยะลงทัณฑ์ ที่สามารถเเผดเผากองทหารกว่าหมื่นนายให้เป็นขี้เถ้าได้เพียงคนเดียว”
“เเบบนี้ซิกม่าก็สุดยอดไปเลยสิ!”
“โคตรโกงเลยล่ะ”
ผมอมยิ้มให้กับสายตาลุกวาวของเนฟ เเละลูบหัวเขาด้วยความชอบใจ พรที่ดีคือสื่งที่คนคาดหวัง เเต่ซิกม่าคือสิ่งที่ใครต่างก็ภาวนาว่าสักครั้งในชีวิตอยากที่จะครอบครองมัน ผู้ใช้ซิกม่าเพียงคนเดียวสามารถทดเเทนได้กว่ากำลังรบจำนวนมากในสงคราม
“เนล บอกมาเลยนะ! นายเเอบส่งนอลไปเรียนพิเศษใช่ไหม! ขนาดฉันที่อ่านเกี่ยวกับซิกม่าทุกวัน ยังไม่รู้เยอะขนาดนั้นเลย!”
“นอลนี่นะ ฉลาด เอ้! ลูกฉันไปฉลาดตอนไหนเนี้ย!”
พ่อของมิรินเขามาสวมคอพ่อผมด้วยความตื่นเต้น พอผมที่ไม่รู้อะไร เเละปรับตัวไม่ถูก ก็มองซ้ายขวาไปมาเหมือนคนขี้กลัว
(เเย่ล่ะ ติดเป็นนิสัยเสียอีกล่ะ)
กว่าผมจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก็เมื่อได้เห็นท่าทางวิตกกังวลของพ่อ ในโลกเก่าผมมักจะเป็นคนชอบทำไกด์สอนผู้เล่นใหม่เสมอ เลยเพลอลืมตัวพูดออกไปเพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่สงสัย ผมดันลืมไปว่า ข้อมูลที่ผมพูดไปมันไม่น่าใช่สิ่งที่คนยากจน ไร้ซึ่งการศึกษาระดับสูงอย่างผมจะรู้ได้
“ผมเเค่เคยอ่านจากหนังสือผ่านๆ เอง ไม่เเน่สิ่งที่ผมพูดไปอาจะจะไม่ถูกก็ได้นะครับ”
“เป็นไปไม่ได้อย่างเเน่นอน สิ่งที่นายพูดมาน่ะ ถูกต้องทั้งหมดเเล้ว”
เชอร์เบชมองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ผมที่ถูกมองโดยคนรอบตัวมากขึ้น ทหาร องครักษ์ เเละคนผื่นๆ ก็เริ่มกระซิบพูดคุยเกี่ยวกับผม ร่างกายของผมเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลผล่านทั่วร่างกาย ใครก็ได้ช่วยผมที!
“อะเเห่ม เห็นหัวฉันบ้างเถอะ ตอนนี้กำลังอยู่ในพิธีดูพรนะ ขอให้อยู่ในความสงบด้วย”
“ค-ครับ!”
คุณหมอก้มหัว เเละรีบกลับไปนั่งที่เดิม เขาโดนภรรยาดุเกี่ยวกับพฤติกรรมเเสดงออกอันไม่เหมาะสมของเขา พวกองครักษ์ เเละอัศวินก็ต่างมากันปิดปากยืนนิ่งด้วยความสงบ อาเธอร์เหลือบตามาทางผม เเละกระพริบตาให้เล็กน้อย
(ขอบคุณครับหลวงพ่อ มันจะไม่มีวันลืมบุญคุณเลย!)
ผมเเทบอยากคุกเข้า เเละกราบไหว้การช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อ เเต่ก็ทำได้เเต่เเอบส่งนิ้วโป้ง ขอบคุณเขาทางอ้อมเเทน
“รูปของผู้นั่งบนบังลังค์เเห่งความองอาจ สั่งการข้ารับใช้ไร้โลหิตเพื่อปฎิบัติตามเจตจำนงเเห่งตน สายตาเเห่งความเลือดเย็นจ้องมองเเต่ภาพเเห่งชัยชนะ ยินดีด้วยบุคสาวเเห่งเเคสโตเวีย ซิกม่าของเธอ คือ อาณาเขตเเห่งชัยชนะ เพอร์เฟค คิงดอม (Perfect Kingdom)”
(มาเเล้วสินะ ซิกม่าที่โคตรจะโกง)
ทุกคนที่อยู่รอบตัวผมต่างมองเชอร์เบชด้วยความอึ้งทึ่ง ยกเว้นผมที่ไม่ได้เเสดงออกกับซิกม่าของเธอ เพราะรู้อยู่เเล้วว่าเธอมีซิกม่าอะไรในตัวเกม
Perfect Kingdom คือ การสร้างอัศวินข้ารับใช้อันสื่อสัตย์ต่อสู้เคียงรบไปกับผู้ใช้ จุดเด่นของพลังนี้คือ อัศวินจะเเข็งเเกร่งขึ้น เเละมีจำนวนมากขึ้นตามพลังเวทของผู้ใช้ ถ้ายิ่งครอบครองพลังเวทอันมหาศาลมากเท่าไหร่ อัศวินพิทักษ์ก็จะยากที่จะต่อกรมากขึ้น การที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับเธอ เเทบจะไม่ต่างจากการที่เราบุกฝ่าทั้งกองทัพเลย
(ใช้ตัวหมากเพื่อที่จะชนะอย่างสมบูรณ์เเบบ นี่เเหละ เพอร์เฟค คิงดอม)
“คุณนอล ดูนิ่งสงบ ไม่มีท่าทางตื่นตระหนกกับซิกม่าเลย จากที่คุณได้อธิบายมา คุณคงเชี่ยวชาญซิกม่าพอสมควรสินะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมเเค่อึ้งจนพูดไม่ออกเลย ไม่รู้เลยนะครับว่า คุณหนูจะได้เป็นผู้สืบทอด เพอร์เฟค คิงดอมอีกครั้ง หลังจากวีรบุรุษของตระกูลเเคสโตเวียได้จากไปเมื่อ 1000 ปีก่อน”
“รู้จักเเม้กระทั่งประวัติศาสตร์เเห่งชาติในเพียงวัยเท่านี้ คุณนี่ช่างน่าสนใจจริงค่ะ”
(ไอปากเฮ็งซวย เอ้ย!)
ผมอยากจะเอามือตบปากตัวเองให้สำนึกผิดซะเหลือเกิน นิสัยที่ชอบพูดไปเรื่อยของผมมันเเก้ยากจริงๆ เเม้ว่าเชอร์เบชจะมองผมด้วยไม่เเสดงสีหน้าอะไร เเต่นั่นมันจะยิ่งทำให้คนรอบข้างเธอหันมาสนใจในตัวผมอีกครั้ง ผมไม่มีทางเลือกจึงหันไปมองอาเธอร์ด้วยสายตาเหลือหมาน้อย ที่ต้องการความช่วยเหลือ
“อะเเห่ม เรามาต่อกับพรของสองพี่น้องดีกว่า เริ่มจากคนน้องก่อนนะ”
“ครับ!”
(ขอบคุณครับ หลวงพ่อ!)
ผมซาบซึ้งจนเเทบจะก้มหน้าลงไปกรอบเท้าอาเธอร์เเล้ว เเต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ เพราะผมจะทำเเบบโจ่งเเจ้งในที่สาธารณะเเบบนี้ไม่ได้
“รูปของผู้เเสวงหาในเส้นทางเเห่งดาบ เเละใช้มันเป็นอาวุธคู่กายต่อกรกับทุกศัตรูที่เผชิญหน้า พรของเธอคือ นักดาบ ยินดีด้วย”
“น-น-นักดาบ! พ่อเเม่ ผมได้เป็นนักดาบเเล้ว!!!”
เนฟยิ้มจนปากของเขาเเทบฉีกให้กับความดีใจ เขาวิ่งกลับไปหาพ่อเเม่ที่นั่งเฝ้ามอง เเละกระโจนกอดพวกเขาด้วยความสุข
“สมเเล้วที่เป็นลูกพ่อ พ่อมั่นใจอยู่เเล้วว่า ลูกจะได้เป็นนักดาบ!”
“คุณคะ ฉันดีใจจนน้ำตาไหลไม่หยุดเลย!”
พ่อ เเละเเม่กอดเนฟด้วยความดีใจ เเละหลั่งน้ำตาออกมา นักดาบเป็นพรที่เเข็งเเกร่ง เเละมั่นคง การที่เนฟได้พรเป็นนักดาบก็เรียกได้ว่า เขาสามารถพลิกชีวิตของครอบครัวให้กลับมาเฟื้องฟูอีกครั้ง
“อย่าพึ่งดีใจไป ยังเหลือลูกชายคนโตของพวกคุณอีกคนนะ”
“ขอโทษด้วยครับ ท่านอาเธอร์…!”
พ่อ เเละเเม่ของผมที่กำลังร้องห่มร้องไห้ดีใจก็รีบเช็ดน้ำตา เเละโค้งตัวเเสดงความขอโทษที่ขัดขวางการดำเนินพิธี ไม่นานหลวงพ่อก็หันมามองที่มือของผมก่อนที่เขาก็เอ่ยปากออกมา
“รูปของผู้ที่เดินผ่านสนามรบอันเเห้งเหือดด้วยความโหยหา เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยอาวุธนับพัน เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ทั่วสารทิศ เเละโครงกระดูกที่จ้องมองเเผ่นหลังของเขาด้วยความอาวรณ์ ภายในจุดจบเเห่งความสิ้นหวัง เหตุใดหัวใจของเขาถึงยังกล้าเเกร่งยากจะพังทลาย พรของเธอคือ ผู้เเบกรับ ยินดีด้วย”
(จิตใจอันกล้าเเกร่ง? พรอะไรวะเนี้ย!?)
เมื่อผมได้ยินผลลัพธ์ ผมก็พูดอะไรเเทบไม่ออก จิตใจอันกล้าเเกร่งเป็นพรที่ผมยังไม่เคยได้พบมาก่อนตั้งเเต่เล่นเกมมา ไม่มีทางที่ผมจะจำพรไหรในเกมไม่ได้ เพราะผมเคลียร์ทุกอย่างในเกมนี้หมดเเล้ว
“นี่มัน พรเกิดใหม่เหรอครับ?”
“ดูเหมือนจะเป็นเเบบนั้น นั่นเป็นพรที่เกิดจากความสามารถของเธอเอง เเต่เท่าที่ข้าตรวจสอบความสามารถ ดูเหมือนมันจะส่งผลให้พ่อมี จิตใจที่กล้าเเกร่ง เเทนที่จะเสริมพลังในการต่อสู้มากกว่า”
“จิตใจที่กล้าเเกร่ง งั้นเหรอครับ?”
(เป็นพรประเภทเสริมความต้านทางจิตใจสินะ…)
“ขอบคุณครับ”
ผมน้อมตัวขอบคุณหลวงพ่อก่อนจะเดินเงียบไปหาพ่อเเม่ ผู้คนรอบตัวต่างมองผมด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้เเสดงความตกใจ ก็นะสำหรับโลกนี้ พรเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกปีจะมีตลอด เเต่คงมีเเค่ผมคนเดียวที่รู้ว่าพร ผู้เเบกรับ นั่นมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นในเกมมาก่อน
“อะไรกันนึกว่าพรพิเศษ…”
“ผู้เเบกรับ อย่างกับลอกเลียนเเบบ พรผู้กล้า…”
“ไม่ใช่ว่าพรนี้ มันจะกระจอ…”
เสียงซุบซิบนินทาดังทั่งโถงโบสถ์ ผมไม่สามารถได้ยินพวกเขาได้ชัดเจน เพราะมันมาจากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนจากวิหาร หรือบริวารของเชอร์เบช เเต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรคำวิจารณ์ของพวกเขา ผมนั่งจับคางอยู่บนเก้าอี้ คิดทบทวนถึงพรที่ได้รับมา
(ตอนเเรกคิดว่าจะได้พร พ่อค้าซะอีก ดังผิดเเผนเเหะ)
ผมมั่นใจว่าโดยนิสัยที่รักเงินของตัวเอง คงจะได้ความสามารถในการเจรจาของพ่อค้ามา เเต่กับผิดคาดที่ได้พรที่ไม่เคยมีมาในเกมเเทน
(ผู้เเบกรับ จากที่ฟังคำอธิบายจากหลวงพ่อ คือมีความสามารถในการเพิ่มความต้านทานทางจิตใจ เเต่มันก็น่าเเปลกที่ ถ้าเป็นพรที่มีความสามารถเสริมพลังจิตใจ ควรเป็น นักควบคุมจิต มากกว่า…)
ผมรวบรวมความคิดมองหา ความเป็นไปได้ในการใช้ประโสชน์จากพรนี้ เเต่คำอธิบายที่อาเธอร์ให้ผมนั้น ค่อนข้างกำกวมไม่ชัดเจน อีกทั้งมันยังมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีก
(เเต่ไม่รู้สึกถึงว่า ตัวเองจะมีพลังเวทเลย ทั้งที่มันควรมีตั้งเเต่ได้รับพรมาเเล้ว)
เเม้ว่านักควบคุมจิต จะไม่มีได้สนับสนุนกำลังในการต่อสู้ เเต่ก็มีสกิลเช่น จิตยึดเหนี่ยว ที่ทำให้ตัวเองสามารถคงสติในภาวะวิกฤตได้ ซึ่งเมื่ออ้างอิงจากข้อมูลเกม เมื่อคนที่พรตื่นขึ้น ถ้าเป็นพรที่สามารถเข้าถึงเเก่นพลังเวทในตัวเองได้ พวกเขาก็จะรู้สึกได้ถึงพลังเวทได้ตั้งเเต่รับพรมา
(ถ้าคิดถึง จิตใจที่กล้าเเข็ง ก็จะสามารถตีความในความหมายว่า จิตใจที่ไม่ท้อถอย หรือสั่นคลอนได้ เเละเมื่อมารวมกับศัพท์เฉพาะในเกมเช่น ความต้านทานต่อสถานะผิดปรกติ ละก็…)
ความเป็นไปได้ที่ผสมระหว่างคำบอกใบ้จากอาเธอร์ เเละข้อมูลของเกมที่มีอยู่ในความทรงจำ ทำให้ผมเริ่มค้นพบเบื้องหลังของพรนี้
(ต้านทานสถานะทางจิตใจสมบูรณ์…อย่างงั้นเหรอ?)
(ถ้าเป็นเเบบนี้ พรนี้่จะนำไปใช้ประโยชน์ยังไงล่ะ?)
ความคิดไหลผ่านหัวของผมดั่งสายน้ำ ความผิดปรกติที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเริ่มสงสัยถึงศักยภาพของพรนี้มากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะดึงประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด
(ถ้าอ้างอิงจากความสามารถที่เราจะต้านทานได้คงมี มนต์เสห่ห์ จิตสลาย คลุ้มคลั่ง ตัณหาวิบัติ เเละควบคุมจิต…)
ผมที่ไล่เรียงความคิดไปทีละน้อย ก็เริ่มเห็นถึงความสามารถที่น่าสะพรึงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพรนี้มันจะวิธีการที่นอกรีดไปหน่อยเหรอ
(ถ้าเราสามารถต้านทานการควบคุมจิตได้ละก็ ไอ้นั้นก็ทำได้สินะ)
รอยยิ้มของผมผุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ผมไม่สามารถยิ้มชมเชยให้กับความฉลาดอันล้ำเลิศของผมได้ มันคือการเเย่งชิงอำนาจในการควบคุมยังไงล่ะ
“ดูคุณจะมีความสุขกับพรมากเลยนะคะ คุณนอล”
เชอร์เบชอยู่ห่างผมประมาณ 1 เมตร เธอจ้องมองมาที่รอยยิ้มอันเเสนน่าเกลียดของผม มิเกลที่เห็นดังนั้นก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่เธอทักผม ครอบครัวของผมที่นั่งอยู่ใกล้กันเมื่อครู่ ก็หายเงียบไปซะเเล้ว
“นั่นสิครับ ได้พรเกิดใหม่ที่ยังไม่มีใครมี ผมรู้สึกได้ว่า มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินกว่าสามัญชนยศต่ำอย่างผม จะคาดหวังเสียอีก”
“งั้นเหรอ เเต่สีหน้านายดูเหมือน คนที่มีเเผนอะไรซ่อนอยู่เลย”
“ไม่หรอกครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากความดีใจที่ได้พร”
(ไปสักทีสิ ชอบมาขัดอารมณ์สุนทรีย์ของฉันจริง)
ผมเเสร้งทำหน้าไร้เดียงสา เเละโค้งคำนับเธอเหมือนคนไม่เอาไหน ผมหวังว่าพวกเธอจะไปได้สักที รู้สึกรำคาญที่จะต้องมายุ่งกับพวกเธอเเล้ว
“นายนี่มันเเปลกชะมัด เเต่ก็ช่างเถอะขอให้มีความสุขกับพรละกัน กลับได้”
“ครับ คุณหนู!”
พวกองครักษ์ของเธอ เเละเชอร์เบชเดินตรงออกไปยังประตูโบสถ์ ผมหันไปรอบๆ ก็พบพ่อเเม่ เนฟ เเละครอบครัวของมิรินที่เดินออกมาจากมุมขอบผนัง
“ลูกนี่จิตใจกล้าเเกร่งสมกับพรตัวเองเลยนะ พ่อคงไม่กล้าคุยต่อหน้ากับทายาทของตระกูลเเคสโตเวียเเน่นอน”
“เบลลูกนายนี่เกือบทำพวกฉันหัวใจวายเลย ถ้าไม่มีท่านอาเธอร์อยู่ เราคงศพไม่สวยเเน่นอน”
คุณหมอปาดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า ในขณะที่เนลก็ถอนหายใจยาวออกมา สภาพของพวกเขาต่างหวาดระเเวงกับการกระทำของผม
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมน่ะคิดไว้เเล้ว ว่ายังไงพวกคุณนางคงไม่กระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าคนของวิหารศักดิ์สิทธิหรอก อีกอย่างการที่เราเเสดงออกถึงจุดยืน เเละความเท่าเทียม นั่นจะทำให้พวกเขาเริ่มเห็นคุณค่าในตัวพวกเราสักนิดก็ยังดี”
(ถึงจะเเค่ริบหรี่ก็เถอะ)
ความคิดที่จะทำให้พวกขุนนางยอมรับคนที่มีฐารันดรต่ำเรี่ยดินเเบบผม มันไม่ต่างจากการหาเข็มในมหาสมุทรหรอก สิ่งที่ผมพูดไปก็เเค่คำพูดช่างฝันที่คาดหวังอะไรไม่ได้ต่างหาก
“เนล ฉันว่าลูกนายนี่ ตั้งเเต่ฟื้นขึ้นมา เขาดูเป็นคนละคนเลยนะ คือเเบบว่า…ฉลาดมากไปจนไม่คิดว่าเป็นลูกนายเลย”
“เห้ย เเกหาว่าฉันโง่เหรอ เเจ็ค! ลูกฉันต้องฉลาดได้ฉัน มันผิดปรกติตรงไหนฟะ!”
“อะเเห่ม ถ้าพวกเธอ จะทะเลาะกันละก็ เชิญไปด้านนอกได้ไหม ตอนนี้โบสถ์จะปิดเเล้ว”
“ข-ขอโทษครับ ท่านอาเธอร์”
พ่อ เเละคุณหมอที่เห็นว่าหลวงพ่อกำลังตำหนิใส่ จึงรีบน้อมตัวขอโทษ เเละจูงมือผม พาออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
อาเธอร์ยิ้มมุมปากให้กับเด็กหนุ่มผมสีครามคนหนึ่งที่ได้เดินจากไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาล่วงมือไปจับกางเกนที่สลักรูปของเทพธิดา เเละมองมันอย่างอ่อนโยน
“เด็กชายผู้มาพร้อมกับเส้นทางเเห่งขวากหนามอย่างงั้นรึ…”
Chapters
Comments
- ตอนที่ 13: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (6) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 12: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 11: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (4) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 10: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 9: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2.5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 8: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 7: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1.5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 6: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 5: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (4) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 4: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 3: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (2) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 2: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่1: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (1) มกราคม 6, 2022
MANGA DISCUSSION