หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ! - ตอนที่ 4: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (3)
- Home
- หึ! เกมจีบหนุ่ม? เเล้วทำไมตัวประกอบอย่างฉันจะเด่นไม่ได้ล่ะ!
- ตอนที่ 4: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (3)
ชายเเก่คนหนึ่งสวมใส่ชุดนักบวชสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับอัศวินสองคนที่สวมเกราะเงินอันระยิบระยับ หมวกสูงของนักบวช เเละเสื้อเกราะของอัศวินถูกสลักลวดลายของเทพธิดาองค์หนึ่งที่กำลังยืนภาวนาอยู่ นั่นคือตราสัญลักษณ์ของเหล่าผู้ศรัทธาที่นับถือในเทพธิดา ไอริส
“ข้า เพนกาเรีย อาเธอร์จะเป็นคน เเสดงพรของพวกเจ้าเอง เริ่มจากคนเเรก ลอส วาเซ่ ขานนาม!”
“มาครับ!”
เด็กหนุ่มผมสีเเดง อายุเฉลี่ยประมาณผม มีหน้าตาที่ค่อนข้างหล่อ เดินออกมาพร้อมกับผู้ชายอ้วนคนหนึ่งที่ใส่ชุดคุณภาพดีต่างกับเสื้อผ้าเก่าๆ ของผมอย่างสิ้นเชิง
“สวัสดีครับ ผม ลอส อารอน เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนอรท เเละพ่อของวาเซ่ ขอความกรุณา ท่านอาเธอร์ ช่วยดูพรลูกชายผมทีนะครับ”
“ขอความกรุณาด้วยครับ!”
อารอน ทำหน้าตาสดใสคาดหวังกับการดูพร ในขณะที่คนเป็นพ่อกำลังทำสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ อาเธอร์ที่ได้เห็นดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีของสองพ่อลูก เขาวางมือลงบนหัวของอารอน เเละกำมืออีกข้างเเนบอก หลับตาท่องบทสวด
“เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเถอะ นามของข้าคือ ผู้สรรเสริญเเด่ผู้ให้ความรักเเห่งทวงสรรค์ เพนกาเรีย อาเธอร์ เทพธิดาเเห่งความเมตตา ไอริส…”
(ไอพวกพลังที่ต้องหยิบยืมจากเทพธิดา คงไม่พ้นต้องท่องบทสวดเเบบยาวเยียดสินะ)
ผมจ้องมองชายเเก่ที่ท่องบทสวดด้วยความเบื่อหนาย ผมมั่นใจว่าบทสวดเพื่อดูพร มันจะต้องยาวเป็นพิเศษเเน่นอน พอคิดว่าคิวผมอยู่ที่ 399….
(เห้อ กว่าจะถึงคิวเรา สงสัยคงต้องกลับบ้านดึกเเน่เลย)
จากที่ผมประเมินโดยสายตาเเบบไม่ได้ละเอียด ผมคาดการณ์ว่าน่าจะมีคนในโถงประมาณ 3 – 4 ร้อยคน ซึ่งคิวผม กับเนฟจะเป็นคนปิดการดูพรในวันนี้
“พ่อดูสิคะ ท่านอาเธอร์กำลังท่องบทสวด สุดยอดไปเลย!”
“สมเเล้วที่เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกทั้งสิบของโบสถ์ ช่างเป็นการสวดที่ทรงพลังจริงๆ”
(หา?)
ผมเมื่อได้ยินที่มิริน เเละคุณหมอกำลังชื่นชมนักบวชอย่างเชิดชู ผมที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมกับบทสวดไร้สาระ จึงทำสีหน้าประหลาดใจไม่อยากจะเชื่อคำพูดของพวกเขา
(ถ้าอยากจะให้ผมดีกว่านี้ ควรพูดเเค่ประโยคเดียว เเล้วใช้งานได้สิถึงจะดีกว่า)
ผมอยากจะพูดออกไป เเต่ก็ต้องเก็บมันไว้ในปาก ถึงเเม้ว่าจะต้องดึงพลังจากเทพธิดามาจากบทสวด เราก็ควรที่จะทำให้มันสั้น เเละกระชับกว่านี้สิ เเต่ยังไงก็ตามผมก็ไม่เลือกที่จะเเย้ง เพราะต่างคนต่างมีทัศนคติที่ต่างกัน ทางที่ดีผมควรนั่งฟัง เเละออกความคิดเห็นอย่างเงียบๆ ดีกว่า
“ด้วยความศรัทธา เเละความปธิญาณอันเเรงกล้าของข้า ได้โปรดบัลดาลเเสงศักดิ์ศิทธิ์ที่จะกระจ่างศักยภาพที่เเท้จริงของ ลอส วาเซ่ ด้วยเถิด”
(มาเเล้ว!)
หลังจากที่อาเธอร์ท่องบทสวดเสร็จ เขาก็ลืมตาจากนั้นมือด้านขวาของวาเซ่ก็เเสงสว่างสีขาวปรากฎขึ้น มันเเสดงเป็นรูปอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจรวมถึงผมด้วย
“วาเซ่ เธอปราถนาพรของเธอเป็นเช่นไร?”
“ผมอยากเป็นอัศวินครับ!”
“รูปของชายผู้จะต่อกรกับผู้ต่อสู้ด้วยทักษะมากฝีมือ พรของเธอคือ นักรบ ยินดีด้วย”
“เย้!!!!!! สุดยอดไปเลย ลูกพ่อ!”
“เยี่ยมไปเลย เท่านี้ผมจะได้เป็นอัศวินเเล้ว!”
พ่อของวาเซ่อุ้มลูกชายของเขาด้วยความดีใจ วาเซ่ที่ได้ยินคำตอบจากอาเธอร์ก็ยิ้มดีใจออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่ผมกำลังจิกฟันด้วยความอิจฉา
(นักรบเลยเหรอวะ จะโชคดีเกินไปเเล้ว)
พรของนักรบ มีความสามารถในการใช้อาวุธได้ทุกรูปเเบบ เป็นพรที่ยืดหยุ่นในการต่อสู้ทำให้อีกฝ่ายต้องคอยรับมือกับการโจมตีที่หลากหลาย เรียกได้ว่า เป็นพรหายากที่ทุกคนต้องการในเเนวหน้า
(ชิ เเต่ทำไงได้ ไอนั้นมันอยู่ในกลุ่มเดียวกับเจ้าชายด้วยนี่นา)
เเม้ว่าภาพตรงหน้าจะค่อยเหมือนกับในเกมเพราะเป็นภาพจริงซึ่งต่างจาก 3D เเต่ผมพอจำลักษณะของตัวละครได้ เขามีผมเเดง เเละใบหน้าที่ดูดีในกลุ่มของเจ้าชาย เป็นตัวตัวละครมือซ้ายในการสู้รบกับเจ้าชายในอีเว้นท์ต่างๆ
“นักรบ ฟังดูเเล้วเป็นพรที่สุดยอดนะครับ พ่อ!”
“ใช่เเล้วเนฟ นักรบน่ะสามารถเข้าใจได้ถึงการใช้อาวุธทุกรูปเเบบ เรียกได้ว่า ยากที่จะต่อกรเลยทีเดียว เเต่ลูกน่ะ จะเป็นนักดาบดังนั้น เราไม่ต้องคิดถึงมันหรอก”
“ใช่เเล้ว ความฝันของผมคือ การเป็นนักดาบ!”
เนฟดูตื่นเต้นกับพิธีดูพรมาก พ่อของผมก็เช่นกัน พ่อ เเละเนฟไม่ได้คาดหวังที่จะได้พรหายาก ขอเพียงสมหวังกับที่พวกเขาหวังไว้ก็เพียงพอ
“เเล้ว นอลล่ะ ลูกอยากได้พรเป็นอะไรล่ะ?”
“ใช่เเล้ว พี่อยากเป็นอะไรล่ะ?”
ผมโดนพ่อถามเป็นครั้งที่สอง เเต่ครั้งนี้พิเศษกว่าเดิม เพราะนอกจากพ่อ เเละเนฟที่ให้ความสนใจผมกับคำตอบผม ครอบครัวของคุณหมอก็มองตรงมาที่ผมด้วย ทำเอาผมรู้สึกกดดันเลย
(ยังไงก็ไม่ได้คาดหวังอยู่เเล้ว ตอบไปเท่าที่จะเป็นไปได้ละกัน)
“ถ้าได้เป็นพ่อค้าก็ดีสิครับ ผมยิ่งชอบเงินด้วยสิ”
พ่อค้าเป็นพรที่สามารถหาได้ทั่วไป เเน่นอนว่าความสามารถคือ คำนวณ เเละเจรจาเก่ง ความจริงผมก็อยากได้พร เจ้าเเห่งศิลปะการต่อสู้ เซียนศาตรา หรือปราชญ์ เเต่ตัวประกอบอย่างผมคงเป็นไปไม่ได้หรอก
“หืม พ่อค้ามันดีเหรอพ่อ?”
“ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ดีหรอก เเต่พ่อไม่นึกว่า นอลจะชอบเงินน่ะสิ ปรกติเห็นชอบออกไปล่าสัตว์จะตาย”
“เเฮะๆ คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ตลอดนะครับ อีกอย่างผมก็เเค่คิดว่า ถ้าเรามีเงิน เราจะได้มีเนื้อกินทุกวันเลย~”
“นั่นสินะ…”
พ่อผมครุนคิดกับคำตอบของผมด้วยความสงสัย ผมที่กลัวความเเตก จึงเเสร้งหัวเราะ เเละพยายามหาเหตุผลมากลบเกลื่อน
“นายน่ะไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยนะ นอล ทำไมนายไม่หวังว่าจะได้พรของหมอเเบบฉันบ้างล่ะ มันดูดีกว่าพ่อค้าตั้งเยอะ”
“ลูกผู้ชายหรือหมอน่ะ ถ้าหาเงินได้เยอะ ฉันยอมเป็นก็ได้นะ”
“เห้อ ไม่ได้หมายถึงเเบบนั้น ช่างเถอะ นายคงจะรักเงินมากสินะ”
“เเน่นอน”
ผมยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับคำตอบของผม มิรินที่เห็นดังนั้นจึงกุบขมับ เเละถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ผมไม่ได้โกหกเธอว่าผมเกลียดเงิน ผมน่ะรักเงินจะตาย ต้องมีเงินสิเราถึงจะอยู่สบาย!
(ยังไงก็ตาม โลกที่เต็มไปด้วยกฏของพลังเเบบนี้น่ะ เราก็จำเป็นต้องเป็นผู้เเข็งเเกร่งอยู่ดี)
ถึงผมจะตอบเธอไปตามสิ่งที่ชอบ เเต่ผมไม่สามารถอยู่อันสงบสุขได้ ถ้าไร้ซึ่งพลังในโลกใบนี้ ในโลกที่ล้าหลัง ไม่เป็นระเบียบ เเละเต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ยังไงผู้เเข็งเเกร่งก็คือ ผู้ชนะ
“อะไรกัน ทำหน้าเครียดเชียว?”
“เปล่าหรอก ฉันก็เเค่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดมา มันก็ถูกอยู่นะ”
“อะไรของนาย อย่ายิ้มได้ไหม ขยะเเขยง”
(ไอเด็กนี้ มันน่าซัดสักหมัดเหลือเกิน)
ผมที่ยิ้มด้วยความขอบคุณกลับถูกมิรินโต้กลับมาด้วยสีหน้าที่รังเกียจเเทน ความรู้สึกที่ขอบคุณเธอหายไปหมด หลงเหลือเเต่ความเเค้นในใจที่ทวีคูณขึ้นเเทน ถ้าผมต่อยเธอตรงนี้คงได้เป็นปัญญาระหว่างครอบครัวเเน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องกัดฟันยิ้มต่อไปเเทน
—
พิธีดูพรผ่านไปได้อย่างราบรื่น มีทั้งความผิดหวัง เเละความสุข คนที่ได้พรที่หวังไว้ก็กลับบ้านไปด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ส่วนคนที่ไม่สมหวังก็เสียใจ บางคนก็ร้องไห้ หรือไม่ก็โทษฟ้าฝนกับความโชคร้ายของตัวเอง จำนวนคนดูพรเสร็จ เเละออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผม เเละครอบครัวเป็นคิวสุดท้ายในการปิดการดูพรในวันนี้ ตอนนี้ผม เเละครอบครัวของคุณหมอนั่งอยู่ในที่นั่งพักมองมิริลที่กำลังดูพรพร้อมกับเเม่ของเธอ
“ด้วยความศรัทธา เเละความปธิญาณอันเเรงกล้าของข้า ได้โปรดบัลดาลเเสงศักดิ์ศิทธิ์ที่จะกระจ่างศักยภาพที่เเท้จริงของ เลวิล มิริน ด้วยเถิด”
“นี่มัน…”
“เป็นไงบ้างคะ ท่านอาเธอร์?”
เจนกุมมือภาวนาพรดีๆ ให้กับมิรินลูกของพ่อ อาเธอร์ที่ได้เห็นตราสัญลักษณ์ของมิริน เขาก็ประหลาดใจ ก่อนจะทำหน้าตึงเครียด
“รูปของผู้วินวอนต่อเเสงอันอ่อนโยน ภาวนาถึงความชอบธรรมต่อหน้าผู้คนที่สิ้นหวัง…คุณนาย ไม่ทราบว่ามิรินอยากจะเป็นอะไรเหรอครับ?”
“หมอค่ะ!”
“เสียใจด้วยนะครับ…”
อาเธอร์ก้มหน้าขอโทษ เจนทำหน้าเศร้าเเทบจะร้องไห้ออกมา ในขณะที่มิรินกำหมัดด้วยความผิดหวัง ผมที่มองอยู่ก็พลอยหดหู่ไปด้วย
“ผู้เลื่อมใสในความเมตตาที่ปราศจากความเกลียดชัง จงหวนหาเเสงอันเที่ยงธรรมเพื่อชี้นำผู้หลงผิดด้วยกันเถิด…”
“ม…ไม่จริง…มิริน!”
“เเม่..!”
“มิริน!!!”
อาเธอร์ท่องบทสวดซึ่งเป็นบทต้อนรับสู่การบำเพ็ญศรัทธาต่อเทพธิดาของสาวก คุณหมอที่ได้ยินบทสวดรีบลุกออกจากที่นั่งเข้าไปกอดมิริน เเละเจนที่ร้องไห้ดีใจ
“ขอเเสดงความยินดี เเละต้อนรับสาวกผู้เดินทางเเห่งความเมตตาคนใหม่ เลวิล มิริน พรของเธอคือ นักบวช ยินดีด้วย”
(บ้าไปเเล้ว!)
นักบวชคือ พรที่สามารถหยิบยืมพลังของเทพธิดามาใช้ในการร่ายเวทศักดิ์สิทธิ์ได้ เอกลักษณ์อันเป็นจุดเด่นของนักบวชคือ สามารถใช้เวทเเสงซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมนตร์หายากได้ เวทเเสงสามารถนำมาประยุกต์ในการต่อสู้ได้หลายเเบบ ไม่ว่าจะเป็น ฮิล (รักษา) โจมตี เเละป้องกัน เรียกได้ว่า เป็นเวทมนตร์สุดเเกร่งที่ใครต่างก็อยากครอบครอง
หลังจากที่พวกเขาดีใจได้สักพัก มิริน เเละครอบครัวก็กลับมานั่งใกล้พวกผมด้วยสีหน้าอันยิ้มเเย้ม มิรินเชิดหน้า เเละยืนอก เธอยิ้มเหมือนเด็กที่กำลังโอ้อวดความสุดยอดของตัวเอง
“เป็นไง นอล เนฟ ฉันน่ะ ได้พรของนักบวชเชียวนะ”
“สุดยอดไปเลย มิริน!”
“ใช่มั้ยล้า~”
เนฟเข้าไปกอดดีใจกับมิรินที่ยิ้มด้วยความสดใส ผมที่เห็นดังนั้นก็เเอบดีใจที่เธอได้เป็นนักบวช ถึงจะไม่ค่อยเธอเท่าไหร่ เเต่ยังไงเราก็ควรเเสดงความดีใจ
“ดีใจด้วยนะ ที่เธอได้เป็นนักบวช ฉันละอิจฉาเธอจริงๆ”
“เพราะฉันเป็นคนเก่งยังไงล่ะ!”
มิรินชูสองนิ้วเเสดงความภูมิใจในตัวเอง ผมที่เห็นดังนั้นก็กระตุกยิ้มเล็กน้อย ยังไงก็ถือได้เป็นโชคดีของผมที่จะได้มีเพื่อนเป็นนักบวชในอนาคต
“ต่อไปคิวที่ 399 ขานชื่อ”
“ไปกันเถอะ นอล เนฟ!”
“ครับ!”
มือของผมส่องเเสงเป็นเลข 399 เตือนผมเมื่อถึงคิวของตัวเอง ผมลุกออกจากที่นั่งเดินไปด้านหน้าพร้อมกับเนฟ เเละพ่อที่มีสีหน้าตื่นเต้น
“ส-สวัสดีครับ ท่านอาเธอร์!”
“ใจเย็นๆ ค่อยพูด ฉันฟังอยู่”
“อ้อ ครับ! จะเป็นการเสียมารยาทไหมครับ ถ้าท่านจะดูเนฟ กับนอล ลูกของผมพร้อมกัน เพราะว่าทั้งสองเป็นพี่น้องคิว 399 เเละ 400 ครับ อีกอย่างผมสัญญาว่าจะให้ทั้งสองได้รู้พรพร้อมกันครับ”
“399 เเละ 400 งั้นเรอะ เเสดงว่าพวกเธอเป็นคิวสุดท้ายเเล้วสินะ อืม ไม่มีปัญหา ฉันจะดูพรให้พร้อมกันสองคนเลย”
อาเธอร์ไม่ได้ทำสีหน้าลำบาก เขาจับหัวพวกเราทั้งสอง เเละเริ่มท่องบทสวด ผม เเละเนฟช่วยกันอยู่นิ่งเพื่อให้พิธีผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ตึง!
(อะไรน่ะ!)
“!?”
อาเธอร์ลืมตา เเละหยุดท่องบทสวดฉับพลัน เนฟตกใจเล็กน้อย ส่วนผมหันหลังกลับไปดูที่มาของเสียง ประตูของโบสถ์เปิดออก ผมเห็นเงาชองคนกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา
“ยังมีคนหลงเหลืออยู่? นายคำนวณผิดพลาดนะ ดันเต้”
“ขออภัยครับ คุณหนู!”
ตรงประตูของโบสถ์ มีเด็กสาวผมเงินคนหนึ่ง ผู้มีผมสีเงินเเวววาว ดวงตาสีฟ้าใสเหมือนท้องฟ้า หน้าตาสละสลวยอย่างกับหลุดมาจาดภาพปาติมากรรมอันละเอียดละอ่อน เธอใส่ชุดเดสสีดำยืนอยู่ข้างหน้า ผู้ใหญ่สองคนที่ใส่ชุดสูท เเละคาดดาบยาวไว้ที่เอว กับเด็กชายผมดำที่ใส่ชุดสูทเหมือนกัน เขาสูงไล่เลี่ยผม เเต่ใบหน้าของเขากลับหล่อเหลากว่าผมมาก ดวงตาสีทองอันเเหลมคมของเขาสามารถทิ่มทะลวงหัวใจของหญิงสาวได้เพียงชั่วพริบตา
“ไม่เป็นไร มิเกล ถ้าคนประมาณนี้ ฉันรับพอรับได้”
“กระผมจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้ครับ!”
“ช่างเถอะ รีบทำให้มันเสร็จดีกว่า”
“รอด้วยครับคุณหนู!”
เธอผู้มีใบหน้า เเละผมสีเงินอันงดงาม เดินตรงเข้ามายังโบสถ์ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม เธอเดินมาเเบบไร้เสียงจนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้าผม
“นายสามคนน่ะ ช่วยถอยไปได้ไหม”
เธอมองผมผม เนฟ เเละพ่อด้วยความเยือกเย็น ผมรับรู้ได้เลยว่า เธอคนนี้ไม่ใช่เด็กทั่วไป เธอต้องมียศสูงกว่าสามัญชนเเน่นอน ขนผมลุกตั้งให้กับบรรยากาศกดดันของเธอ
“ด-ได้ครับ นอล เนฟ พวกเรา…หลีกทางให้เถอะ”
พ่อของผมปั้นหน้ายิ้มสดใส เหงื่อของเขาไหลรินบนลำคอ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกลัวจากเเรงกดดันอันมหาศาลของเธอ พ่อพยายามจัลไหล่ของผม เเละเนฟลากออกมาจากสถานการณ์
ชูด…
“ถ้าเธอจะขอร้องพวกเราให้หลีกทาง ช่วยบอกเหตุผลได้ไหม เพราะอะไร?”
ผมปักมือของพ่อออกอย่างนิ่มนวล ผมหายใจเข้าเพื่อรอบรวมสติ เเละเผชิญหน้ากลับเธอโดยไร้ซึ่งความกลัว เธอที่เห็นดังนั้นจึงทำสีหน้าประหลาดใจกับคำพูดของผม ภายใต้บรรยากาศอันกดดัน ผมเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดโต้กลับ
“หืม? นายนี่จะเรียกว่า ใจกล้าหรือโอ้อวดดี นายไม่รู้เหรอ ฉันคือใคร?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เเต่ว่าเธอกำลังขัดพิธีดูพรของฉัน เเละน้องชาย คนที่ควรถามคือฉันต่างหากว่า เธอน่ะรู้จักมารยาททางสังคมบ้างไหม”
“เห้ย เเกจะสามห้าวไปเเล้ว!”
ผมถูกกระชากคอเสื้ออย่างรุนเเรงโดยเด็กชายผมดำ ใบหน้าของเขาประชิดผม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมที่จะลงมือใส่ผม
(เเรงเยอะเป็นบ้า เเต่เเค่นี้ฉันไม่กลัวหรอก!)
“เเทงใจดำเรอะ? ฉันรู้หรอกนะว่า จุดประสงค์พวกนายคือ พาคุณหนูของพวกนายมาดูพร เเต่ว่า…”
ผมใช้เเรงทั้งหมดสลัดมือที่เขาออกจากคอเสื้อ ถึงเเม้ว่า ผมจะด้อยเรื่องกำลังในการต่อกร เเต่ผมจะใช้สมองของผมทำให้พวกเขาจนมุมให้ได้ เเม้ว่าจะเป็นวิธีที่สกปรกก็ตาม
“การที่คิวปิดเเล้ว ยัดเยียดภาระให้ท่านอาเธอร์เพิ่ม เเถมยังสร้างความน่ารำคาญในคนอื่นน่ะ เป็นพวกชนชั้นสูงที่เห็นเเก่ตัวจังนะ”
“เเกพูดว่าอะไรนะ!”
“ใจเย็นๆ สิ ฉันเเค่สงสัยว่า พวกนายน่ะ ได้เรียนมารยาทในสังคมบ้างหรือเปล่านะ?”
“เเกนะ เเก!”
(เอาเเล้วไง)
ผมใช้คำพูดประชดประชันยั่วยุความเด็กของเขา ผมยิ้มอย่างชั่วร้ายให้กับหมัดของเขาที่พุ่งตรงมาทางผม เอาสิ ต่อยมาเลย ถ้านายต่อยฉันได้อ่ะนะ
“หยุด เดี๋ยวนี้มิเกล!”
“!”
เสียงอันเกรี้ยวกราดของอาเธอร์ทำให้หมัดของมิเกลหยุดก่อนที่จะถึงใบหน้าของผม ผมยืนนิ่ง เเละยิ้มให้กับโง่เขาของเขา
(ไอ้โง่เอ้ย ต่อหน้าคนที่ได้รับเลือกโดยวิหารศักดิ์สิทธิ์น่ะ ต้องมี วาจาศักดิ์สิทธิ์ อยู่เเล้ว การที่เเกจะระบายความโกรธใส่ฉันน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก ไอโง่!)
ผมยิ้มอย่างชั่วร้ายเพราะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอยู่เเล้ว ตามเกมคนจากวิหารศัักดิ์สิทธิ์จะสามารถใช้ วาจาศักดิ์สิทธิ์ในการหยุดการเคลื่อนไหว ของศัตรูที่อ่อนเเอกว่าตนได้ อีกอย่างนโยบายของคนในวิหารคือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยังไงอาเธอร์ก็ต้องไม่ปล่อยให้ผมโดนทำร้ายอย่างเเน่นอน
“พอได้เเล้ว พวกเธอ ฉันไม่รู้หรอกนะ พวกคุณหนูมาที่นี่ เวลานี้เพราะอะไร เเต่มันเป็นการขัดขวางพิธีดูพรของฉัน!”
อาเธอร์ส่งเสียงดังตักเตือนเธอ คนที่อยู่ด้านหลังเธอเมื่อได้เห็นดังนั้น พวกเขาจึงเตรียมชักดาบเพื่อปกป้องคุณหนู เเต่เธอก็ได้ยกมือห้ามพวกเขาไว้
“อย่าตอบโต้ พวกเขาเป็นถึงคนของวิหาร อีกอย่างพวกนายรับมือกับอัศวินจากวิหารไม่ไหวหรอก”
“ครับ คุณหนู!”
องครักษ์ของเธอก้มหน้าคุกเข่าลงพื้น เธอที่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านผม ยกชายกระโปรง เเละน้อมตัวต่อหน้าอาเธอร์
“ดิฉัน เเคสโตเวีย มิว เชอร์เบช ต้องขออภัยกับการกระทำอันเสียมารยาทด้วยค่ะ ท่านอาเธอร์”
(นามสกุลคั่น…เชอร์เบช ชิบหายเเล้ว เธอคือ!)
นามสกุลคั่นในเกมนั้น คือตัวบ่งบอกว่า คนเหล่านั้นเป็นชนชั้นสูงของอาณาจักร เมื่อผมได้ยินชื่อเธอ พอผมสังเกตอย่างละเอียด ความทรงจำของผมก็รื้อฟื้น ผมสีเงินที่มาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าอันเยือกเย็น ไม่ผิดเเน่ เธอคือตัวละครสำคัญของเกมอีกคนหนึ่งที่มีต่อหลายรูทในเกม
(เพื่อนนางร้ายนี่หว่า!)
ผมเเทบอยากวิ่งหนีจากที่เเห่งนี้เลย ผมไม่นึกเลยว่า ผมจะได้เจอเพื่อนนางร้ายเร็วขนาดนี้ ทำไมผมถึงกลัวน่ะเหรอ เพราะว่าเธอคือ รองนางร้ายขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ นิสัยในเกมของเธอนับว่าสุดมาก ใครก็ตามที่อ่อนเเอเธอจะเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความหมาย ใครก็ตามที่ขวางทางเธอ เธอจะกำจัดมันไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม ผู้เล่นจึงตั้งฉายาเธอว่า ทรราชผู้ไม่เเยเเส