ตอนที่ 13: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (6)
** เปลี่ยนคำเรียกองค์ชาย เป็นฝ่าบาท เพื่อให้ดูลื่นไหลขึ้นครับ **
—
“อั๊ก!”
วาเซ่ปลิ้วกระเด็นไปไกลจากหมัดตรงของผม เเต่ทันใดนั้นก็มีสายลมปริศนามาห่อหุ้มตัวเขาไว้ ทำให้เขาไม่กระเด็นไปชยขอบสนามเหมือนคนก่อนหน้าที่โดนผมต่อย
“นายนี่ไม่คิดก่อนจะบุกเข้าหาอีกฝ่ายเลย”
วิลเลี่ยมใช้เวทย์ลมรับวาเซ่ที่ปลิ้วมาได้อย่างทันที วาเซ่ที่ถูกสายต้านการลอยกระเด็นไว้ก็ถูกพาส่งลงพื้นอย่างช้าๆ วาเซ่จับบริเวณที่โดนผมต่อยอย่างเบามือภายใต้สีหน้าอันเจ็บปวด เเละส่องสายตาเครียดเเค้นผม
“เจ็บๆๆๆๆ เเม่งเอ้ย! หมัดหนักชิบหายเลย!”
“ก็เห็นอยู่ว่าหมอนั่น มันไม่ธรรมดา นายก็ไม่คิดจะวางเเผนก่อนเลย”
“หนวกหูน่า ใครจะไม่นึกวะ ไอ้นั่น มันจะเก่งปานนี้”
วาเซ่ปัดมือของวิลเลี่ยมที่ยืนมาด้วยความหงุดหงิด เเละจ้องมาทางผมด้วยความโกรธเเค้น สักพักเขาก็เดินไปหาผู้เข้าเเข่งคนอื่น
“ขอดาบหน่อยละกัน!”
“อะไ-!”
“เเกก็ด้วยอีกคน ดาบเดียวมันไม่พอ”
“เดี๋ย-!”
วาเซ่ซัดเข้าที่หน้าของผู้เข้าเเข่งขันที่ไม่ได้มีส่วนร่วมจนสลบ เเละเเย่งดาบของเขามา เเน่นอนว่าเขาต้องใช้สองดาบจึงจัดการอีกคนที่อยู่ข้างๆ โดยการฟันใส่เขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“เป็นวิธีที่ป่าเถื่อนไม่สมกับเป็นขุนนางเลย”
“ยังไงพวกมันก็ตกรอบอยู่เเล้ว จะไม่เห็นใจทำไม!”
“นั่นสินะ ยังไงพวกเราก็ต้องจัดการพวกนี้ เพื่อไม่ให้ไปถึงมือฝ่าบาทอยู่เเล้ว”
“สายลมเอ่ยจงกว้างล้างทุกสิ่งด้วยความเกรี้ยวกราดด้วยเถิด Extreme wind (ลมกระโชก) ”
“อ๊าก!!!”
วิลเลี่ยมถอนหายใจกับวิธีเเก้ปัญหาที่ไม่สง่างามของวาเซ่ เเต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะห้าม เเละยิ้มสนุกออกมาเเทน เขาเรียกวงเวทย์สีเขียวขนาดกว่าหนึ่งเมตรออกมาจากมือ เเละสร้างพายุลมอันรุนเเรงโจมตีใส่ผู้เข้าเเข่งขันอื่นจนตกรอบไปอีก 5 คน
“ดูนั่นสิคะ ท่านผู้ชม องครักษ์ของฝ่าบาทได้ร่วมมือกัน จัดการผู้เข้าเเข่นขันไปกว่า 7 รายเเล้ว เเบบนี้เอลเดล นอล ต้องพบกับวิกฤติครั้งใหญ่เเล้วคะ! จากที่จะได้สู้ตัวเเต่ตัวกับลอส วาเซ่ ตอนนี้กรีนลิเวอร์ วิลเลี่ยมได้เข้ามาร่วมมือกลายเป็นการต่อสู้เเบบสองต่อหนึ่งเเล้วค่า!”
เสียงผู้ชมในสนามคึกครื้นขึ้นกว่าเดิม วาเซ่ เเละวิลเลี่ยมที่ได้ยินก็ต่างยิ้มออกมา วาเซ่ร่ายเวทย์ลงดาบใหม่เหมือนเดิม ในขณะที่วิลเลี่ยมก็ร่ายเวทมนตร์สร้างหอกลมนับสิบข้างตัวเขา
“รอบนี้เเกไม่รอดเเน่!”
“สายลมเอ่ยจงกลายเป็นหอกทิ่มเเทงศัตรูด้วยเถิด wind lance (หอกเเห่งสายลม) !”
วาเซ่กระโจนเข้าหาโนวมอลเช่นเคย โดยที่มีหอกลมนับสิบตามหลังเข้าพุ่งเข้าจู่โจมโนวมอลพร้อมกัน ซึ่งเเทนที่โนวมอลตั้งท่าตอบโต้ เขากลับยืนนิ่งเเทน
“เห้อ คงต้องเลิกเล่นเเล้วสินะ”
“เลิกเล่นอะไรของเเก!”
ทันที่ที่โนวมอลถอนหายใจ วาเซ่ก็มาอยู่ตรงหน้าโนวมอลพร้อมกับหอกเเห่งสายลมสิบเล่มเรียบร้อยเเล้ว ในขณะที่เขากำลังจะใช้ดาบคู่ฟันโนวมอลที่ไร้ท่าทางป้องกัน
(เพราะพวกเเกกำลังจะทำเเผนฉันพังหมดเเล้วสิ)
“เปิดประตูขั้นที่ 1”
ผมสูดลมหายใจเพื่อใช้สมาธิ ภายในเสี้ยววินาทีร่างกายของผมก็ดูดซับเวทมนตร์รอบตัวจนเต็มที่ ร่างกายของผมขยาย เเละเปล่งปลั่งมากขึ้น หลังจากที่ผมหายใจออก ผมก็เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าช้าลงกว่าเดิม
(คงต้องรีบจบการสอบเเล้ว)
ผมกระโดดถอยออกไปไกลจากการฟันวาเซ่ เเละหอกลมของวิลเลี่ยมทำให้กลายเป็นการโจมตีทั้งหมดไร้ผล วาเซ่ได้ฟันลม เเละหอกของวิลเลี่ยมก็โจมตีลงพื้นดินจนเเตกกระจายเป็นสิบหลุม
“ลาขาดล่ะ!”
ผมตั้งหลักใหม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้สองเท้าถีบตัวพุ่งหาวาเซ่ด้วยความเร็วสูง ผมตั้งหมัดขึ้นมาเพื่อเตรียมโจมตีในระยะทำการ นี่คือการโจมตีอันไร้เสียงที่อาศัยจังหวะประมาทของศัตรู
(เทคนิคลอบเร้น หมัดไร้เสียง)
“เเค่ก..!”
(เทคนิคลอบเร้น กรงเล็บบดขยี้)
หมัดของผมชกเข้าที่ท้องของวาเซ่จนเขาสำลักออกมา เเต่ผมไม่ให้โอกาสที่หลุดลอย ผมจึงใช้เอิ้อมมือไปจับที่มือทั้งสองของวาเซ่ เเละบีบมันจะใช้งานไม่ได้
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!”
วาเซ่ที่เสียมือไปก็ร้องครวญรางก้มตัวลงอยู่ตรงพื้นพร้อมกับดาบทั้งสองที่นอนบนพื้นข้างเขา ทุกคนต่างที่เห็นวาเซ่ร้องออกมาอย่างทรมาณก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์ร่วมกึงวิลเลี่ยม ซึ่งผมก็ใช้โอกาสนั้นในการไปด้านหลังเขาภายในพริบตา
“ต่อไปก็ตาเเก”
“สายลม-”
(เทคนิคผนึก ไร้เสียง)
“!!!”
นิ้วชี้ เเละนิ้วกลางของผมกดลงไปที่บริเวณที่ต่ำลงมาจากท้ายทอยเล็กน้อย ผมส่งพลังเวทย์เข้าไปเเทรกเเซงจนทำให้วิลเลี่ยมไม่สามารถพูดออกมาได้
“อยู่ตรงนี้ไปก่อนเเล้วกัน”
“!!!!!!”
ผมชกเขาที่ท้องของวิลเลี่ยม 3 ครั้งจนเขาสำลักน้ำลายออกมา เเละลงไปนอนบนพื้นอย่างน่าเวทนา จากนั้นผมจึงเดินไปหาผู้เข้าสอบคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองผมด้วยความหวาดกลัว
“ขอขวานนายหน่อยสิ”
“อ-อ่า ได้ครับ!”
เขายื่นขวานให้ผมอย่างง่ายดาย ผมหยิบมันสะพายบนไหล่ขวา เเละเดินตรงไปยังมัสเเตงอย่างช้าๆ มัสเเตงที่เห็นผมจึงลุกขึ้นมา เเละยิ้มเเย้มใส่ผม
“นึกไม่ถึงเลยนะว่านายจะผ่านองครักษ์ของฉันได้ คงไม่ได้มีดีเเค่คำพูดสินะ”
มัสเเตงจ้องมายังผมด้วยท่าทีสบาย จากนั้นไฟบนมือขวาของเขาก็ประทุขึ้นกลายเป็นวิหคเพลิงสีทองตนหนึ่ง เขายิ้มให้ผมสักเล็กน้อยก่อนจะปล่อยจิตสังหารออกมา
“ไหม้ไปซะ”
วิหคเพลิงจิ๋วโบยบินเป็นตัวที่สองเข้าโจมตีผม มันบินทะลุผ่านม่านเพลิงศักดิ์สิทธิอย่างรวดเร็ว เพ็งเล็งมาที่หัวใจของผมเพื่อที่จะเผด็จศึก
“เอ็งอ่ะ ตายไป”
มันต่อยเข้าที่ตัวนกอย่างจริงจังจนมันสลายหายไปในอากาศ มัสเเตงที่เห็นดังนั้นจึงทำสีหน้าตกใจออกมา เเต่ผมก็ไม่รีรอ เเล้วจับขวานสองมือเอนไปด้านซ้ายของลำตัว
“ตัด!”
ผมเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ขาตั้งมั่นกับพื้นให้มั่นคง เอวกับสะโพกที่บิดอย่างรวดเร็ว เเละลำตัวช่วงบนที่เทน้ำหนักไปให้เเขนทั้งสองอย่างเต็มที่ขนเกิดเป็นเเรงกระเเทกอันทรงพลังที่ทำลายขวานไปพร้อมกับม่านเพลิงศักดิ์สิทธิ
(เทคนิคลอบเร้น หมัดไร้เสียง)
ผมตั้งใจจะอาศัยจังหวะที่มัสเเตงเสียความภาคภูมิใจในการป้องกันของตัวเอง เข้าโจมตีเขาทีเพลอเหมือนวาเซ่ เเต่ทันใดที่หมัดของผมกำลังจะเอื้อมถึงหน้าท้องของเขา ดาบของเขาก็กันไว้ได้ทัน
“การโจมตีเเบบเดิมกับวาเซ่น่ะ อย่าคิดว่าจะได้ผลกับฉัน!”
มัสเเตงถอยออกไปเล็กน้อย เเละตั้งใจที่จะใช้ระยะการโจมตีของดาบที่ไกลกว่าหมักจัดการผม เเต่การโจมตีของเขาก็ไม่ได้เร็วมากเกินที่สายตาจะจับไม่ทัน ผมจึงเอนตัวหลบได้อย่างสบาย
“คิดเหรอว่าจะหลบพ้นตลอดไป! จงสยายปีกมอดไหม้ทุกสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน! Pheonix wings! (วิหคเพลิงสยายปีก) ”
มัสเเตงถือดาบชี้ขึ้นรวบรวมเปลวเพลิงสีทองหุ้มตัวดาบ จากนั้นปีกนกเพลิงสีทองหนึ่งข้างปรากฏออกมาจากเเผ่นหลังขวาของมัสเเตง เขาฟาดดาบลงด้านหน้า ปีกนั้นก็กระพือปีก สร้างพายุเพลิงสีทองเป็นเเนวตรงโถมเผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางหน้าตรงมายังผม
“ไม่ได้กินหรอก!”
ผมกระโดดสูงขึ้นฟ้าหลบการโจมตีด้านหน้าได้อย่างไร้บาดเเผล เเต่เเน่นอนว่าผมไม่เพียงเเค่หลบ เพราะผมกระโดดสูงตรงไปข้างหน้าเพื่อที่จะเข้าใกล้มัสเเตงมากขึ้น
(ปรับสมดุล)
“เทคนิคทลายเกราะ ฝ่ามือสยบภูผา”
เเสงสีเหลืองจากในมือสว่างขึ้นสั่งใช้งานพร ร่างกายที่มีช่องโหว่ในอากาศกลับมาอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม ผมตั้งศอกขึ้น เเละเเบบมือออก เเล้วดิ่งตัวลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้ถึงเป้าหมายผมก็ฟาดฝ่ามือลงทันที
เปร้ง!
ดาบที่มัสเเตงถือเเตกสลายไม่เหลือชิ้นดี เเต่เขาก็ยังตั้งสติเตรียมที่จะถอยไปรักษาระยะ ในระหว่างที่ฝ่ามือของผมกำลังจะกระเเทกลงพื้นตามเเรงโน้มถ่วง
“เสร็จฉันล่ะ!”
มัสเเตงยิ้มเมื่อเขาสามารถอยู่ห่างจากระยะที่เเขนของผมจะโจมตีเขาได้ มือทั้งสองของเขาห่อหุ้มไปด้วยเพลิงสีทองเตรียมที่จะตอบโต้ผม เเต่ผมก็ไม่นอมให้เขาทำอย่างเเน่นอน
“คิดตื้นไปนะ”
ผมพลิกมือลงพื้นเป็นฐานเเทนที่จะปล่อยให้มันสับจนเเตกละเอียด ผมใช้พละกำลังจากฝ่ามือขวาหมุนตัวเอง เเละพุ่งตัวดีดออกไป ใช้ขาที่มีระยะการโจมตีที่ไกลกว่าล็อคคอของมัสเเตงไว้โดยที่เขาไม่คาดคิด
(เทคนิคลอบเร้น คมเขี้ยวบดขยี้!)
ตู้ม!
ผมหมุนตัวด้วยความเร็วสูง ลากหัวของที่เชื่อมอยู่ดับคอพลิกตัวทุ่มลงพื้นอย่างรุนเเรง เเม้ว่าท่านี้จะไม่ได้รุนเเรงมาก เเต่ก็พอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้ระดับหนึ่ง
“อ-อึก เเก…”
มัสเเตงลุกขึ้นมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะ ฝ่ามือของเขาห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
“ไอ้เว-!”
“ใครใช้ให้เเกลุกขึ้นมา!”
ผมชกเข้าที่ท้องของมัสเเตงจนเขาสำลัก ไฟเเห่งความโกรธก็หายไปทันทีที่เขาคุมสติไม่ได้ เพียงเสี้ยววินาทีผมก็ยกเท้าเหนือศีรษะของผมเรียบร้อย มัสเเตงที่ได้เห็นเท้าของผมที่อยู่เหนือเขาก็ทำสีหน้าหวาดกลัว
“เทคนิคสังหาร สงบนิ่ง”
ตู้ม!!!
ส้นเท้ากระเเทกลงหน้าของมัสเเตงจนดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินเกิดรอยเเตกร้าวเเตกกระจายไปทั่วทิศ ภายในรอยเเตกนั้นมีมัสเเตงที่ใบหน้าบิดเบี้ยวนอนจมอยู่ใต้เท้าของผม
“ค-เเค-เเค่.ก…”
สติของมัสเเตงเริ่มเลือนลานจนพูดออกมาไม่เป็นคำ ผมที่ได้ยินดังนั้นจึงนำเท้าออกจากใบหน้าของเขา เเละนั่งลงก้มไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม
“ต๊ายตาย จะบดขยี้ปากฉัน เเต่กลายเป็นเเกเองนะ ที่โดนฉันกระทืบก่อนเเทน สมเเล้วเป็นฉัน เป็นคนรักษาสัญญาเก่งจริงๆ ยอดเยี่ยมๆ”
ผมยิ้มสะใจกับมัสเเตงที่ใบหน้าเละไม่เหลือเค้าโครงความหล่อ มัสเเตงที่ได้ยินจึงกัดฟัน เเละใช้โอกาสที่ผมสบประมาทสร้างเพลิงสีทองในมือขวาเพื่อที่จะโจมตีใส่ผม
“สงสัยคงต้องทำให้เเกดื้อลงสักหน่อย”
ผมที่เห็นท่าทีขัดขืนของเขาจึงลงมือใช้ขาของผมกระทืบลงบนเเขนทัั้งสองของเขาจนเเตกหัก เเละเพื่อเป็นการปลอดภัยผมเลยใช้มือหักขาสองข้างไปด้วยเลย
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”
“เรียบร้อย”
มัสเเตงส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมาณ คงเป็นเพราะความเจ็บปวดจากการหักเเขนหักขวา สติของเขาจึงกลับมาทำให้ร้องครางออกมาฟังชัดเจน คนที่อยู่รอบข้างมองผมด้วยสายตาหวาดกลัว เเละค่อยๆ เดินถอยห่างออกจากผม
(จะทำให้ตกรอบเเบบนี้ ก็ได้อยู่หรอก เเต่มันจะทำให้คนอื่นมองเราให้ภาพลบเเทน)
ผมลุกขึ้นมองไปรอบตัว เเละพบกับผู้คนที่ต่างจ้องมองผมด้วยความรังเกียจ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะคงไม่มีใครสรรเสริญคนที่ทำร้ายเชื้อพระวงศ์อันทรงเกียรติต่อหน้าประชาชน คนที่กล้าทำเเบบนี้คงมีเเต่คนไร้หัวคิด กับพวกป่าเถื่อนเท่านั้น
(ก็จริงอยู่ที่ทำไปด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว เเต่จะให้ภาพลักษณ์เราติดลบต่อไป คงจะไม่ดี เเต่มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราดันสร้างฝันร้ายให้ใครหลายคนเห็นเนี่ยสิ)
ผมยิ้มออกมาอย่างชอบใจ พอมองเราไปที่ใบหน้าของมัสเเตงเเล้ว ผมก็อดใจไม่ไหวที่จะดึึงตัวตนที่เเท้จริงของเขาอออกมา ผมจะใช้เเผนการของผมทำให้ผมกลายเป็นผู้ชนะอย่างไร้ที่ติเอง
(ถ้างั้นก็ลากมันเข้ามาร่วมวงดีกว่า)
“ก็นึกว่าเก่ง เเต่ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่า ไอ้คนที่มีทุกอย่างตั้งเเต่เกิด มักจะตกม้าตายเมื่อเจอคนที่ไคว่คว้าทุกอย่างมาด้วยตัวเอง”
ผมเดินไปตรงกลางสนาม เเละตั้งใจตะโกนเสียงดังเพื่อให้คนทั้งสนามได้ยิน สายตาของผู้คนจับจ้องมาที่ท่าทีโอ้อวดของผม ซึ่งเป็นความต้องการของผมเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจเอง
“ทุกคนรู้ไหม เห็นผมเป็นคนหน้าไม่อายเเบบนี้ เเต่ชีวิตก็ตกอับมาเยอะเหมือนกัน ไม่เกิดมาหน้าตาดี เป็นยาจก พรสวรรค์ก็ยังห่วยอีก เเต่ผมก็ใจสู้ชีวิตมาตลอดเลยนะ”
ผมเเสร้งยิ้ม เเละพยายามใช้น้ำเสียงน่าสงสารเพื่อเรียกคะเเนนเห็น เเต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบผม ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเพราะผมเเค่อยากสร้างบรรยากาศให้ตัวเองดูดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“เห้ พวกนายทุกคนน่ะ รวมถึงพวกขุนนางด้วย พวกนายไม่อยากได้โอกาสในการสอบผ่านเหรอ?”
“…”
“เงียบเเบบนี้ คงงงสินะ งั้นมองขึ้นไปบนนั้นสิ”
ผมชี้นิ้วไปยังภาพที่ฉายอยู่ข้างบนหัว ในนั้นมีรายชื่อของผู้เข้าสอบกลุ่ม A ทั้งหมด มันเเสดงทั้งชื่อ จำนวน เเละผู้ตกรอบด้วย
“จากการต่อสู้ไม่เเบ่งฝ่าย ก็ตกรอบไปเเล้ว 40 คน อีกทั้ง…”
(ต้านเวทย์)
“จะมีคนตกรอบเพิ่มขึ้นอีก”
ผมหยิบเศษกินที่เเตกกระจายบนพื้นโยนขึ้นไปบนอากาศโจมตีใส่วิหคเพลิงจิ๋วที่เหลือรอดจากการอัญเชิญครั้งเเรกของมัสเเตงจนร่างกายของมันสลาย ผมหันมามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันจะให้โอกาสพวกนาย เลือกสิจะปกป้องคุณชายเหนือหัว หรืออยากผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องสู้กับฉัน”
“หยุดพล่ามเรื่องสาระซะ ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำ!”
ในขณะที่ผมกำลังพูดเพื่อโน้มน้าว ก็มีใครที่ผมจำหน้าไม่ได้ถือดาบยาววิ่งเข้ามาประชิดผม เขาตั้งใจจะใช้โอกาสที่ผมประมาทเล่นงานผมทีเผลอ
“เอ้า คนที่ 41”
ผมฟังจากที่มาของเสียงก็คาดการณ์ได้อยู่เเล้วว่าเขาจะลอบโจมตีผม ไม่ต้องหันไปมอง หมัดของผมก็เหวี่ยงเขาหน้าของเขาจนกระเด็นไปชนขอบสนาม ทิ้งดาบยาวไว้บนพื้นเป็นของต่างหน้าก่อนตกรอบ
“ตอนนี้เหลือ 9 คนเเล้วนะ พวกนายยังอยากจะเสียโอกาสอีกเหรอ นี่พวกนายจะได้โควตาเพิ่มอีก 3 คนเลยนะ ถ้าพวกนายเเค่นั่งอยู่นิ่งๆ เเละปล่อยให้ฉันลงมือจัดการ เเต่ถึงอยากที่จะเข้ามามีส่วนร่วมเป็นนายกล้าตายเพื่อองค์ชาย เเต่พวกนายคงไม่ได้อยากลิ้มรสหมัดสยบมังกรของฉันหรอก ใช่ไหม?”
“ขอเตือนไว้เลยนะ ว่าไอ้เมื่อกี้อ่ะ สาธิต เอาจริงฉันอาจจะทำต่อยเข้าที่ซี่โครงจนหักเลยก็ได้ พอคิดว่าเป็นเเบบนั้นเเล้ว น่าจะเจ็บมากน่าดู”
ผมปล่อยจิตสังหารบางเบาให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความจริงใจ บรรยากาศรอบตัวกดดันจนไม่มีใครกล้าเดินออกจากที่ สักพักทุกคนก็นั่งลง เเละพยายามคุมร่างกายให้หายสั่นกลัว
เเปะๆ
“ยอดเยี่ยม เเบบนี้สิ ถึงจะฉลาดสมกับเป็นคนที่จะได้ผ่านเข้าเรียนที่สถาบันเเอสทาเรีย”
ผมสบมือ เเละยิ้มกว้างสะใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นผมจึงหันหลังก้มลงไปหยิบดาบยาวที่ถูกทิ้ง เเล้วเดินตรงเข้ามาหามัสเเตงที่นอนนิ่งอย่างน่าสมเพช ก่อนที่ก้มลงไปมองใบหน้าที่ดูไม่ได้ของเขาใกล้ๆ
(สุดท้ายเเล้ว มันก็ไม่มีอะไรเป็นของนายได้หมดหรอกนะ ไอ้เจ้าชายขยะ)
ผมยิ้มให้เขาเห็นถึงความอัปยศที่เขาได้รับจากผม จากนั้นจึงลุกขึ้นโยนดาบขึ้นไปเหนืออารีน่า จนผู้ชมต่างมองดาบยาวที่ล่องลายอยู่บนอากาศอย่างไม่ละสายตา หลังจากที่มันลอยขุ้นไปสูงระดับหนึ่ง ตัวดาบก็ค่อยๆ หมุนตกลงมา
“ไว้มาสอบซ้ำนะ ฝ่าบาท”
ผมหันเดินเดินจากมัสเเตงโดยไม่หันกลับมองเขา ผมจะรอฟังเสียงประกาศความพ่ายเเพ้ของเขาจากพิธีกรเอง ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่รอดเนื่องจากผมได้หักเเขน เเละขาจนใช้งานไม่ได้เเล้ว บวกกับสภาพร่างกายที่อ่อนเเอจากการต่อสู้กับผม ขอเพียงเเค่คมดาบได้สัมผัสตัวเขาละก็ยังไงเเหวนระบุตัวตนก็จะทำงาน เเละทำให้เขาตกรอบอย่างเเน่นอน ยกเว้นอย่างเดียวคือ เขาจะไปถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำให้เเผนการของผมเสร็จสมบูรณ์
ดาบยาวค่อยๆ ดิ่งลงมา มันกำลังจะตกลงทิ่มเเทงกลางอกของเขา อีกไม่เกินหนึ่งเมตรเขาก็จะตกรอบเเล้ว มัสเเตงที่เห็นดังนั้นจึงเร่งพลังเวทย์ในร่างกายจนถึงขีดสุด ซิกม่าที่อยู่ในมือของเขาก็สว่างขึ้นจนเกิดเป็นลวดลายชัดเจน เสียงกู่ร้องเเห่งความโกรธของเขาได้ส่งเสียงเรียกเส้นเพลิงสีทองจากท้องฟ้าเข้าทำลายดาบยาวจนมอดไม้เป็นธุลีในอากาศ เเละพุ่งเข้าใส่มัสเเตงที่นอนอยู่
“ฉันจะไม่อภัยให้เเกที่ดูถูกฉันเด็ดขาด! ไอ้สามัญชนชั้นต่ำ!!!”
มัสเเตงลุกขึ้นยืนดด้วยร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีทองอันลุกโชก ร่างกายของเขากำลังถูกรักษาจนกลับมาเป็นปรกติ ทันทีที่มัสเเตงได้ยื่นมือทั้งดาบตั้งท่าที่ดาบ เปลวเพลิงสีทองก็ร่วมตัวกันปรากฏขึ้นมาเป็นดาบสีทองบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยลวดลายของนกอมตะที่มีดวงตาสีเเดงหย่อหยิ่งมองมาทางผมด้วยความสง่าราศี
(มาเเล้วสินะ ดาบเพลิงสวรรค์ เซเบอร์ (Saber) )
ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนผิดปรกติจึงหันหลังมาดู เเละพบกับมัสเเตงที่กำลังถือเซเบอร์อันลุกโชก เเต่ผมกลับไม่มีท่าทีที่จะเกรงกลัวต่อมันเลย ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ขั้นตอนสุดท้ายของเเผนการอันไร้ที่ติของผมสำเร็จเรียบร้อย
“ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ”
“หัวเราะอะไรของเเก!”
“กฎข้อที่ 1 ห้ามใช้อาวุธอื่นนอกจากของที่จัดเตรียมมา…”
ผมชูนิ้วชี้เเสดงให้เห็นถึงเลข 1 ต่อหน้ามัสเเตงที่หลงกล เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกมา ม่านตาของเขาก็กดลง เเววตาที่มองผมด้วยความเกลียดชังก็ถูกเเทนที่ด้วยความสิ้นหวังเเทน เมื่อผมได้เห็นถึงความน่าสมเพชนั้น จากเลขหนึ่งของผมที่นิ้วชี้ก็ได้สลับมานิ้วกลางเเทน
“ไอ้งั่งเอ้ย!”
—
** นี่สรุปตัวร้าย หรือพระเอกนิ -.-
ยังไงขอให้มีความสุขกับปีใหม่นะครับ**
Chapters
Comments
- ตอนที่ 13: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (6) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 12: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 11: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (4) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 10: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 9: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2.5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 8: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (2) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 7: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1.5) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 6: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (1) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 5: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (4) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 4: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 3: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (2) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่ 2: Route two: สถาบันศึกษาเเอสทาเรีย (3) มกราคม 6, 2022
- ตอนที่1: การเริ่มต้นที่เป็นไปได้ไม่ค่อยดี (1) มกราคม 6, 2022
MANGA DISCUSSION