ฉันคิดมาตลอดทางว่าจะขอบคุณฉีซิ่วหราน แต่เมื่อมาถึงเขาก็เปิดประตูและเดินเข้าไปเลย คำว่า “ขอบคุณ” ของฉันติดอยู่ในลำคอของฉัน
ฉันไม่เคยติดหนี้คนอื่นเลย ฉีซิ่วหรานส่งฉันไปโรงพยาบาล แล้วยังถือของที่ฉันซื้อทั้งหมดมาให้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนี้บางอย่างกับเขา
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้วฉันก็ทำอาหารเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยในวันรุ่งขึ้น จากนั้นฉันก็ไปเคาะประตูของฉีซิ่วหราน
ฉันเคาะประตูอยู่นานแล้วก็ไม่มีใครตอบฉันขณะที่ฉันกำลังจะจากไป ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงของเขาดังมาจากข้างหลังฉัน: “มีอะไร?”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยดวงตาของเขาเย็นชา
ฉันกลืนน้ำลาย“ กินข้าวหรือยัง ?ฉันอยากขอบคุณเรื่องเมื่อวาน วันนี้ฉันทำอาหารหลายอย่าง ถ้ายังไม่ได้กินก็มากินด้วยกันสิ”
“อืม ”
เดิมทีฉันคิดว่าเขาจะปฏิเสธฉัน แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะตอบรับ
ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวมาหลายเดือนแล้ว เหงามาก ซึ่งยากมากที่จะมีคนมากินข้าวเป็นเพื่อนฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะหยิบไวน์แดงออกมาหนุ่งขวด: “ดื่มไวน์สักแก้วไหม?”
“อือ”
เขาไม่พูดมาก และเขาเอาแต่กินตลอดเวลาจริงๆ
ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้ มิฉะนั้นจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าฉันสนใจเขา นั้นคงน่าตะขิตตะขวงมาก
สำหรับมื้อนี้ฉันแทบจะกินข้าวไปไม่ถึงครึ่งจาน หลังจากฉีซิ่วหรานทานอาหารเสร็จเขาก็ไม่ได้ออกไปทันที ฉันหั่นผลไม้ให้เขา เขากินไปสองชิ้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และเขาก็ออกไป
มองไปที่ด้านหลังของเขา ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เป็นผู้ชายที่แปลกจริงๆ
คนเงียบขรึม
หลังจากปีใหม่ฉันไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจครรภ์ฉันคิดไมม่ถึงว่าจะได้เจอกับฉีซิ่วหรานทันทีที่ฉันเดินออกจากประตู
ตอนนี้อากาศหนาวมาก รถที่เรียกไว้ก็เข้ามาไม่ได้ ฉันเลยต้องเดินออกไป
เขาลดหน้าต่างลง: “ขึ้นรถ”
กระชับและรัดกุม.
ฉันลังเล แต่ก็ยังเข้าไปในรถและอธิบายว่า “ฉันจะไปโรงพยาบาล”
“อือ”
ยังคงพูดแค่คำเดียว
แต่เขาตั้งใจจะส่งฉันไปที่นั่น และฉันก็รีบยกเลิกรถที่จอง
ฉันต้องบอกว่าฉีซิ่วหรานค่อนข้างเหมาะกับการเป็นเพื่อน เขาไม่เคยถามเกี่ยวกับอดีตของฉัน แม้ว่าฉันจะเย็นชาไปหน่อย แต่เขาก็ยังมีจิตใจที่ดี
เขาพาฉันกลับมาจากการตรวจครรภ์ เมื่อฉันไปถึงประตูบ้าน ฉันคิดว่าเขาจะเดินกลับไปเหมือนครั้งที่แล้ว แต่จู่ๆเขาก็ถามฉันว่า “วันนี้คุณทำอาหารไหม?”
ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นปัญหาอะไร ฉันตอบรับและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว: “ทำสิ คุณอยากมากินข้าวด้วยกันไหม?”
หลังจากวันนั้นฉีซิ่วหรานมาที่บ้านของฉันเพื่อทานอาหารเย็นเป็นครั้งคราว
เขาไม่เคยถามว่าทำไมฉันถึงอยู่คนเดียวและเขาก็ไม่ถามถึงพ่อของลูกฉัน แน่นอนฉันก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องของเขา
ระหว่างเรานอกเหนือจากชื่อ ก็ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับอีกคนเลย
หลายเดือนต่อมาท้องของฉันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉันก็ปอกผลไม้ออกมา และฉีซิ่วหรานที่ไม่เคยพูดอะไรมากก็ถามฉันว่า “วันกำหนดคลอดของคุณคือเมื่อไหร่?”
ฉันดีใจเล็กน้อย: “ประมาณวันที่ 20 เมษา”
เขาขมวดคิ้ว ฉันคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ: “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เขาส่ายหัววางโทรศัพท์และหยิบจานผลไม้จากมือฉัน: “ขอบคุณ”
ฉันนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวข้างๆเขา ฉันถือจานผลไม้ของตัวเอง และชวนเขาคุย: “ฉีซิ่วหราน ไ เขาไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ: “ไอที”
“โปรแกรมเมอร์เหรอ?”
“อือ.”
ฉันเห็นรถของเขาล้วนราคาหลายล้าน แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักแบรนด์เสื้อผ้าและรองเท้า แต่ฉันก็คิดว่าราคาต้องสูงแน่ ฉันคิดว่าเขาต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ระดับสูงแน่
ฉันเป็นผู้หญิง จะถามเขาหลายๆคำถามก็ไม่ดี ฉันจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
หลังจากกินผลไม้แล้ว ฉีซิ่วหรานก็ลุกขึ้นและจากไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ
ในเดือนเมษายนท้องของฉันโตอย่างเห็นได้ชัด แม้จะใส่เสื้อผ้าสองชั้นแล้ว ฉันก็ยังเห็นท้องชัดมาก
เดิมทีฉันวางแผนจะไปโรงพยาบาลเพื่อคลอดในวันที่ 18 เมษายน แต่ในวันที่ 17เมษา จู่ๆฉันก็ปวดท้อง
มันบังเอิญว่าคืนนั้นฉีซิ่วหรานมากินข้าวที่บ้านของฉันและท้องของฉันก็ผิดปกติ หลังจากกินได้ไม่นาน
ฉันมองไปที่เขาอย่างสงบ: “ฉีซิ่วหรานคุณช่วยพาฉันไปโรงพยาบาลได้ไหม ฉันอาจจะคลอดลูก”
ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขาตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินมาหาฉัน: “ผมอุ้มคุณเอง”
เหมือนเป็นคำสั่ง
ฉันส่ายหัว: “ไม่เป็นไรฉันเดินได้ เดินก่อนคลอดลูกน่าจะดี”
เขาไม่ยืนกรานอีกต่อไป เขาช่วยพยุงฉัน และเอาของที่เตรียมมาและลงไปชั้นล่าง
เมื่อฉันไปถึงโรงพยาบาลน้ำคร่ำของฉันก็แตก และการหดตัวของฉันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่หมอบอกว่ามันยังไม่ถึงเวลา และขอให้ฉีซิ่วหรานช่วยพยุงฉันเดิน
หมอคิดว่าฉีซิ่วหรานเป็นสามีของฉัน และฉันอยากจะชี้แจง แต่ความเจ็บปวดนั้นเลวร้ายมากจนฉันต้องยอมแพ้
แม้ว่าฉีซิ่วหรานจะทานอาหารที่บ้านของฉันในช่วงเวลานี้ แต่มิตรภาพของเราก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะให้เขาช่วยฉัน
ฉันบอกฉีซิ่วหราน ว่าฉันจะเดินไปที่กำแพงด้วยตัวเอง แต่เขาไม่พูดอะไร และไม่ปล่อยมือของเขา
ในตอนนี้ ฉันไม่สามารถโต้เถียงกับเขาได้อีกต่อไป
หลังจากรอนานกว่าสองชั่วโมง ฉันก็พร้อมคลอดแล้ว
เมื่อพยาบาลพาฉันเข้าไปในห้องคลอด ฉีเซียวหรานก็จับมือฉัน: “ซูยุ่นไม่ต้องกลัว”
ตอนนั้นฉันแทบร้องไห้
ฉันไม่คิดมาก่อนว่าผู้ชายที่มากับฉันเพื่อคลอดลูกไม่ใช่ลู่จือสิง แต่เป็นผู้ชายที่ไม่คุ้นเคย
หลังจากเข้าห้องคลอด ฉันมีอาการปวดอีกเกือบสามชั่วโมงและหลังจากนั้นช่วงเวลาตีหนึ่งของอีกวัน ฉันก็คลอดลูก
ฉันยืนกรานที่จะดูหน้าลูก หลังดูเสร็จฉันก็สลบไป
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาฉันก็ได้ยินเสียงคนพูดอย่างคลุมเครือ เมื่อฉันลืมตาขึ้นฉันเห็นฉีซิ่วหรานยืนอยู่ข้างหัวเตียงของฉัน และอีกคนก็ได้ออกไปแล้ว
ฉันขมวดคิ้ว แต่ในตอนนี้ฉันคิดถึงเพียงลูกเท่านั้น: “ลูกอยู่ไหน”
“ในห้องทารกแรกเกิด คุณหมอบอกว่าคุณเสียงพลังงานไปมาก ดื่มซุปไก่ก่อนเถอะ”
ฉันเอาแต่คิดถึงลูก อยากไปไปหาลูก และฉันอยากจะลุกจากเตียง แต่เมื่อมองออกไป ฉันก็จมดิ่งลงบนเตียง
ฉีซิ่วหรานรั้งฉันไว้: “ลูกของคุณมีสุขภาพดีมาก แตกต่างจากคุณ รอให้คุณฟื้นตัวก่อน พยาบาลก็จะอุ้มลูกมาให้”
ฉันคิดถึงตัวเองในตอนนี้ ฉันไม่มีแรงที่จะอุ้มลูกได้ ฉันจึงพยักหน้า: “เป็นเด็กผู้ชายรึเปล่า”
“อือ 3.5 กิโลกรัม ”
ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “สมกับเป็นเด็กอ้วนจริงๆ”
“ดื่มน้ำซุปก่อน”
ริมฝีปากฉันอุ่นขึ้นเล็กน้อย ฉีซิ่วหรานเอาช้อนตักซุปมาที่ริมฝีปากของฉัน
ฉันหันหน้าไปมองเขา อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง และก็ผงะเล็กน้อย: “ฉันจะกินเอง”
“ คุณอ่อนแออยู่ “
เขาดื้อมาก ฉันเม้มริมฝีปากตัวเอง แม้ว่าฉันจะรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่ด้วยสภาพร่างกายของฉัน ฉันทำได้แค่เชื่อฟัง: “ขอบคุณ”
ในขณะที่ดื่มซุปจู่ๆพยาบาลก็เดินเข้ามามองฉันแล้วยิ้ม: “คุณซู สามีของคุณดูแลคุณจริงๆ!”
MANGA DISCUSSION