ฉันผงะไปนิดหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าชวี่ชิงหนานจะมาอยู่ที่นี่
แต่ชวี่ชิงหนานตอบสนองไวกว่า เขามองฉันแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ซูยุ่น”
ไม่รู้ว่าทำไมลู่จือสิงที่อยู่ข้างๆ จึงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาอีก “เลขาซู ช่วยชงกาแฟมาให้ฉันสองแก้ว”
ฉันไม่คุ้นที่ลู่จือสิงเรียกฉันด้วยชื่อนี้ จึงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งโดยไม่ขยับไปไหน
จนสีหน้าของลู่จือสิงเคร่งขรึมขึ้น “เลขาซู คุณยังยืนนิ่งทำไมอยู่อีก!”
พอฉันรู้ตัวจึงรีบออกไปชงกาแฟมาให้เขาทันที
“กาแฟค่ะ ประธานลู่ คุณชวี่”
ในขณะนั้นฉันยังปรับตัวในฐานะเลขาของลู่จือสิงไม่ได้และรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“อืม ออกไปก่อน”
ลู่จือสิงโบกมือให้ฉันอย่างไม่ใส่ใจ ฉันเหลือบมองเขานิดหนึ่ง รู้สึกว่าท่าทางของเขาดูผิดปกติ แต่พอเห็นว่าพวกเขาต้องการคุยธุระกันฉันจึงหันหลังเดินออกมาเพราะรู้ดีว่าไม่ควรอยู่รบกวน
“คุณหญิงลู่ หลังจากนี้เวลาอยู่ที่บริษัทผมจะเรียกคุณว่าเลขาซูนะครับ”
ทันทีที่ฉันออกไป หลี่จื้อก็แจ้งสิ่งที่คิดไว้ให้ฉันทราบ
ฉันเองก็ไม่อยากทำตัวโจ่งแจ้งในบริษัท ทว่าที่หลี่จื้อเรียกฉันว่า “คุณหญิงลู่” นั้นเป็นอะไรที่โจ่งแจ้งมาก
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่ในบริษัทควรทำอะไรเงียบๆ ไว้จะดีกว่า”
เขายิ้มเล็กน้อย “คุณเรียกผมว่าเลขาหลี่นะครับ พวกเขาเรียกผมกันแบบนี้… ส่วนนี่คือกำหนดการของประธานลู่ในสัปดาห์นี้ เลขาซูลองดูครับ หลังจากนี้ผมจะให้คุณเป็นคนรับผิดชอบกำหนดการของเขา”
ฉันพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “รบกวนคุณด้วยนะคะ”
ฉันไม่ได้เรียนจบสาขานี้มาจึงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่เลขานุการอย่างจำกัด ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก เพียงแค่สิ่งที่หลี่จื้อบอกเมื่อเช้านี้ฉันทำความเข้าใจได้ไม่หมดเลย ฉะนั้นฉันจึงใช้โอกาสตอนที่ลู่จือสิงกำลังรับแขกรีบนำข้อมูลออกมาศึกษาและทำความคุ้นเคย
ขณะที่กำลังอ่านข้อมูลอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีคนมาเคาะโต๊ะ
เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับดวงตาที่ยิ้มแย้มของชวี่ชิงหนาน แต่พอนึกถึงเรื่องที่ลาออก ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “คุณชวี่”
เขายิ้มนิดหนึ่ง “ผมรู้ว่าคุณต้องมาทำงานที่เฟิงเหิง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
ฉันยิ้มแห้งๆ “ฉันไม่เคยทำงานเลขามาก่อน เลยต้องใช้เวลาเรียนรู้อยู่บ้าง ดังนั้นยิ่งเริ่มงานเร็วเท่าไรยิ่งดี”
“คุณเป็นคนมีความสามารถ ผมเชื่อว่าคุณทำได้แน่ ซูยุ่น!”
ชวี่ชิงหนานยอมรับในตัวฉันเสมอ แต่พอถูกเขาชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ฉันก็รู้สึกเขินขึ้นมาหน่อยๆ “ฉันไม่ได้เก่งอะไรหรอกค่ะ เลยอาศัยว่าต้องขยันกว่าคนอื่น”
เขายิ้มและดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อยู่ๆ ลู่จือสิงก็เรียกให้ฉันเข้าไปหา “เลขาซู เข้ามานี่หน่อย!”
ฉันไม่มีทางเลือกจึงได้แต่มองเขาอย่างขอโทษขอโพย “คุณชวี่ ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
เขาพยักหน้าให้ “ตามสบายครับ ไว้มีเวลาค่อยไปทานข้าวกันสักมื้อ”
“ตอนนี้ซูยุ่นยุ่งมาก คงไม่มีเวลาหรอกครับ ถ้าประธานชวี่อยากหาคนไปทานข้าวด้วย เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน”
ไม่รู้ว่าลู่จือสิงออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายื่นมือมาโอบฉันไว้ขณะมองไปที่ชวี่ชิงหนานอย่างเอาเรื่อง
ฉันเขินหน่อยๆ จึงพยายามผละออกมา
ลู่จือสิงก้มหน้ามองฉันเป็นการเตือน และจู่ๆ ก็เอื้อมมือมากดลงที่คอของฉัน ฉันรู้สึกเจ็บจนต้องดึงมือของเขาออกโดยทันทีและมองไปทางชวี่ชิงหนานอย่างกระดากเล็กน้อย “คุณชวี่ ประธานลู่ชอบพูดเล่นน่ะค่ะ ฉันยังพอมีเวลาอยู่บ้าง คงเป็นเกียรติมากถ้าได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านประธานชวี่”
ชวี่ชิงหนานมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ นิดหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มเหมือนเดิมแทบจะทันที “ไม่เป็นไรครับ ประธานลู่เป็นคนอารมณ์ขันดี แต่ในเมื่อคุณสองคนกำลังยุ่ง ผมคงไม่รบกวนดีกว่า ผมไปก่อนนะครับ ซูยุ่น ประธานลู่”
ลู่จือสิงทำเสียงฮึขึ้นมา ฉันกลัวว่าชวี่ชิงหนานจะได้ยินจึงตีเขาไปหนึ่งทีก่อนจะลดเสียงลงถามเขาว่า “คุณทำอะไรน่ะลู่จือสิง”
เขาก้มหน้ามองฉันก่อนจะดึงฉันเข้าไปในห้องทำงานแล้วใช้เท้าดันประตูปิด จากนั้นจึงดันฉันไปติดฝาพนังข้างๆ ประตู บีบคางฉันให้เชยขึ้นมามองเขา “ซูยุ่น เธอนี่ชักจะกล้าขึ้นทุกทีแล้วนะ!”
ฉันไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ประธานลู่ ฉันไปทำอะไรคุณถึงคิดแบบนี้น่ะ”
เขาขึ้นเสียงอย่างเย็นชา “สมคบคิดกับชวี่ชิงหนานต่อหน้าฉันขนาดนี้เธอยังหัวเราะได้อีกนะ ซูยุ่น”
เขายิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของฉันค่อยๆ จางหายไป “คุณอย่าทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเลย ฉันกับชวี่ชิงนานเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ เท่านั้น!”
“ฉันทำตัวเป็นเด็ก?”
ฉันเริ่มพูดไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป “ไม่ใช่เหรอ? หลี่จื้อก็มองฉันอยู่ตรงข้ามกันนั่น ฉันกับชวี่ชิงหนานจะมีอะไรได้?”
“พวกเธอไม่ได้นัดกินข้าวหรอกเหรอ?”
เขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกจนฉันต้องผลักเขาออก “คุณฟังไม่ออกหรือไงว่าเขาแค่พูดไปตามมารยาท”
“ฉันฟังไม่ออก ถ้าฉันไม่ออกไป พวกเธอคงนัดหมายวันเวลาสถานที่กันเสร็จสรรพไปแล้วสิ”
ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยสังเกตเลยนะว่าลู่จือสิงจะทำตัวเป็นเด็กขนาดนี้
ฉันแค่คุยกับชวี่ชิงหนานตามมารยาทแต่เขากลับคิดเลยเถิดไปไกล
เขาหัวเราะเย็นๆ และปล่อยฉันเป็นอิสระ ใบหน้าของเขาเย็นชาอย่างมาก “ชักไม่เชื่อเธอแล้วสิ ซูยุ่น”
ฉันมองเขาอย่างจนปัญหา จึงได้แต่พูดหยอกเขาไปว่า “ประธานลู่ คุณอย่าสองมาตรฐานอย่างนี้สิ”
"สองมาตรฐาน?"
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด
ฉันหัวเราะเยาะ “ไม่ใช่เหรอ? เมื่อกี้คุณยังหาว่าฉันไม่เชื่อใจคุณอยู่เลย ทำไมตอนนี้คุณกลับเป็นซะเองล่ะ”
เขาเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองฉัน แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน “หลี่จื้อให้กำหนดการเธอไป เธออ่านหรือยัง”
เมื่อเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉันจึงปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย ตอบเขาไปว่า “เพิ่งอ่านเมื่อกี้ คุณอยากให้ฉันแก้ไขตรงไหนไหม”
“วันศุกร์นี้ฉันต้องไปเมือง S”
ฉันพยักหน้า “ใช่ค่ะ คุณต้องการเปลี่ยนกำหนดการอะไรไหม”
ลู่จือสิงส่ายหน้าแล้วยื่นเอกสารให้ฉัน “ครั้งนี้เราจะไปเมือง S เพื่อประมูลงาน เธอเอาเอกสารนี่ไปอ่านดู”
ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจว่าลู่จือสิงกำลังพูดถึงอะไร “วันศุกร์นี้ฉันกับคุณต้องไปด้วยกันหรือ?” พูดจบ ฉันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “แล้วเลขาหลี่ล่ะ?”
“เขามีเรื่องอื่นต้องจัดการ จำไว้ว่าเรื่องเอกสารนี่ต้องเก็บเป็นความลับ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขา ฉันก็รู้ว่าเอกสารนี้สำคัญมาก “เข้าใจละ ฉันจะเอามาให้คุณทันทีหลังจากอ่านเสร็จ”
เขาพยักหน้า “เธอรีบไปเถอะ อ้อ ประธานจางจากบริษัทลู่หยวนจะมาหา อย่าเพิ่งให้เขาเข้ามาล่ะ ให้เขารอไปก่อนสักยี่สิบนาที”
แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ลู่จือสิงคงจะมีเหตุผลที่สั่งแบบนี้ “ฉันเข้าใจละ”
"อืม"
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สั่งอะไรอีก ฉันจึงตั้งใจว่าจะออกไปอ่านข้อมูลที่ได้มา แต่เขากลับเรียกฉันไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไรอีกคะประธานลู่”
จำได้ว่าเขาเพิ่งเรียกฉันว่าเลขาซู ตอนนี้ฉันจึงเรียกเขาว่าประธานลู่บ้าง
เขาไม่ว่าอะไร แค่ชี้นิ้วมาที่คอของฉัน “ตรงนี้… เธอเข้าไปเติมแป้งข้างในห้องก่อนเถอะ”
ฉันยืนนิ่งเพราะยังงงๆ “ฉันเพิ่งเติมไปเอง ไม่…”
ลู่จือสิงไม่ยอมให้ฉันพูดต่อ ชี้ไปที่ห้องนั่งเล่น “เธอเข้าไปส่องกระจกดูซะ”
เมื่อเขายืนกรานแบบนี้ฉันจึงต้องเข้าไปส่องกระจกข้างใน
ตอนแรกฉันไม่สังเกตเห็นอะไรเลย แต่พอหันหน้าหันหลังดูอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นว่ามีรอยจูบอยู่ที่คอของฉัน!”
พอนึกถึงสายตาที่ชวี่ชิงหนานมองฉันในตอนนั้น ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าว คนอย่างลู่จือสิงนี่ช่าง…
MANGA DISCUSSION