ในที่สุดเหตุการณ์วุ่นวายเรื่อง “การนอกใจ” ของฉันก็หยุดลง วันรุ่งขึ้นฉันไปที่บริษัทเพื่อลาออก โดยที่ผู้จัดการพยายามรั้งฉันไว้ทุกวิถีทาง แต่ฉันตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้ว เมื่อเขารู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจฉันได้ จึงยอมแพ้ไปในที่สุด
ในการลาออกครั้งนี้ คนที่ฉันรู้สึกอยากขอโทษมากที่สุดคือชวี่ชิงหนาน เพราะถึงอย่างไรโครงการของบริษัทก็อยู่ในความรับผิดชอบของฉัน
ฉันโทรไปหาเขาเพื่อเอ่ยขอโทษด้วยตัวเอง แต่ชวี่ชิงหนานไม่ได้ติดใจอะไร กลับกันเขากลับปลอบใจฉันว่าไม่ต้องคิดมาก ยิ่งเขาทำแบบนี้ฉันยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก อยากเลี้ยงข้าวขอโทษเขาสักมื้อเป็นการส่วนตัว แต่ถูกลู่จือสิงปฏิเสธทันที “ไม่ได้
ฉันมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ ฉันรู้สึกผิดต่อเขาจริงๆ ที่ถอนตัวออกจากโครงการกลางคัน ไม่อย่างนั้นในตอนแรกเขา…”
โครงการใหญ่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะชวี่ชิงหนานไว้ใจฉัน ฉันคงไม่ได้รับโอกาสนี้แน่
แต่ลู่จือสิงดูแน่วแน่และมองฉันอย่างไม่พอใจ “ยังไงก็ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
เขาเหลือบมองฉันก่อนจะลุกเดินจากไป พอมองแผ่นหลังของเขาฉันก็เข้าใจขึ้นมาทันที รีบวิ่งอ้อมไปขวางข้างหน้า มองเขาแล้วอมยิ้มน้อยๆ “ประธานลู่ คุณหึงใช่ไหม?”
เขายื่นมือมายันฉันไว้แล้วหัวเราะเยาะ “ฉันไม่ชอบหึงใคร”
“ปากแข็ง”
“ซุยุ่น เธอกล้าขึ้นแล้วนี่”
เมื่อรู้ว่าเขาหึง ฉันจึงยอมโอนอ่อนให้ “ในเมื่อคุณหึงแบบนี้ งั้นฉันไม่ไปพบรองประธานชวี่ก็ได้ ถึงยังไงปัญหาเรื่องฉันกับเขาก็วุ่นวายมากอยู่แล้ว”
เขาหันกลับมามองฉันแล้วทำเสียงฮึในลำคอ “เธอก็รู้นี่”
ฉันรีบใช้โอกาสนี้ไล่จี้เขา “คุณยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าคุณหึง ประธานลู่?”
ใบหน้าของลู่จือสิงตึงขึ้น “ซูยุ่น เธอติดหนี้ที่ฉันจัดการเรื่องนี้ให้!”
ฉันนิ่งงันไปนิดหนึ่ง อยากกระโดดหนีไปจากตรงนี้แต่ก็สายไปเสียแล้ว เราสองคนเดินมาถึงประตูห้องแล้ว และทันใดนั้นลู่จือสิงก็อุ้มฉันขึ้นมาแล้วโยนฉันลงบนเตียง
ฉันมองท่าทางที่เขาปลดเสื้อผ้าของตัวเองแล้วพาลคิดไปถึงภาพเมื่อวานตอนที่ถูกเขาจัดการในห้องนั่งเล่น หน้าฉันแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รีบผุดลุกขึ้นจากเตียง “ฉันนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีงานที่ต้องส่งมอบ… อื้อ!”
“ไว้คุยกันทีหลัง!”
เขาพูดพลางประทับจูบลงมาอย่างที่ฉันไม่อาจต้านทาน
จูบของลู่จือสิงไม่ต่างอะไรจากตัวเขา… เอาแต่ใจและตรงไปตรงมา
เขาบอกว่าจะจัดการฉัน แต่จริงๆ แล้วมันคือการลงโทษ เขาจับเอวของฉันและออกแรงบดขยี้ ฉันถูกเขาเย้าด้วยการหยุดกลางคันจนทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ฉันรู้ว่าเขาพยายามแกล้งจึงอ้าปากกัดที่ไหล่ของเขาไปหนึ่งที ทันใดนั้นเขาก็กระแทกเข้ามาอย่างแรง
“อื้อ…”
ตอนนี้ฉันคิดว่าทั่วทั้งร่างเริ่มไร้ความรู้สึก อีกทั้งยังสับสนไปหมด ลู่จือสิงกอดฉันไว้แน่นขณะแนบริมฝีปากกระซิบเรียกชื่อฉันที่ข้างหู “ซูยุ่น ซูยุ่น ซูยุ่น…”
เสียงอันทุ้มต่ำนุ่มลึกและละมุนของชายหนุ่มเรียกชื่อฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครเรียกชื่อของฉันได้น่าฟังเท่านี้ ฟังไพเราะจนทำให้หัวใจของฉันอ่อนยวบ
คืนนั้นเขาทำซ้ำแบบเดิมกับฉันติดต่อกันถึงห้าครั้งจึงพอใจ วันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมาฉันก็รู้สึกปวดเอวปวดหลังไปหมด แต่ยังโชคดีที่ไม่ต้องไปทำงานเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี
เป็นเรื่องยากที่ลู่จือสิงจะเอาแต่นอนเฉยอยู่กับฉันบนเตียงโดยไม่ออกไปวิ่ง พวกเราสองคนใช้เวลาในวันหยุดอย่างสบายๆ อยู่ในบ้านเป็นการส่วนตัว
พอถึงวันจันทร์ฉันก็ต้องเริ่มเข้าไปทำงานที่เฟิงเหิง และรู้ว่ายังมีศึกที่ต้องเผชิญอยู่อีก
สองวันมานี้ฉันถามลู่จือสิงตรงๆ ว่าจะให้ฉันทำหน้าที่อะไรที่เฟิงเหิง แต่เขาไม่ปริปากพูดอะไร พอฉันถามอย่างกังวลเขาก็ได้แต่มองเหมือนจะยิ้มแล้วถามกลับว่า ฉันอยากเอามั้ย
ฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะหน้าไม่อายขนาดนี้ พอถูกเขาขัดไว้อย่างนี้จึงถามต่อไม่ได้
ช่วงเวลาสองวันผ่านไปเพียงชั่วพริบตา เมื่อคืนฉันถึงกับนอนไม่หลับเมื่อคิดว่าวันนี้ต้องเริ่มงานแล้วจริงๆ
วันนี้ฉันตื่นเช้ามาก ลู่จือสิงที่ลุกไปวิ่งยังประหลาดใจที่เห็นฉันตื่นขึ้นมาจึงกดฉันลงเพื่อให้กลับไปนอนต่อกว่าครึ่งชั่วโมง
แต่ฉันไม่สามารถล้มตัวลงนอนได้อีกจึงลุกจากเตียงไปทำอาหารเช้า
ก่อนออกจากบ้าน ลู่จือสิงคว้ามือฉันไปจับแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว “ทำไมมือเธอเย็นขนาดนี้”
ฉันอายที่จะบอกว่าตัวเองประหม่า ดังนั้นจึงแก้ตัวไปเรื่อยว่า “วันนี้อากาศเย็นนิดหน่อยน่ะ”
แต่ลู่จือสิงดูออกว่าฉันรู้สึกอย่างไร จึงกระชับมือฉันไว้แน่นขึ้น “ไม่มีอะไรต้องกังวล เธอคือภรรยาของฉันนะ ในบริษัทมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่กล้าสร้างปัญหาให้เธอ”
เพราะเหตุนี้นี่แหละฉันถึงรู้สึกประหม่า แค่เริ่มเข้าไปในฐานะภรรยาของลู่จือสิงก็เป็นความผิดพลาดแล้ว
แต่ฉันไม่อยากให้เขาเป็นห่วง จึงยิ้มให้ “ไม่ต้องห่วง ฉันแค่ประหม่านิดหน่อยน่ะ”
เขามองมาที่ฉันครู่หนึ่งแต่ไม่พูดอะไร
วันนี้เป็นวันจันทร์ ทันทีที่ลู่จือสิงมาถึงบริษัทเขาก็เข้าประชุมทันที
เมื่อเขาไปแล้วหลี่จื้อก็เข้ามาหาฉัน “คุณหญิงลู่ ผมจะเป็นคนแนะนำรายละเอียดงานให้คุณเองครับ”
ฉันพยักหน้าอย่างอยากรู้เต็มที “หลี่จื้อ ฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานแผนกไหนเหรอ?”
หลี่จื้อมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างรวดเร็ว “ประธานลู่บอกให้คุณหญิงลู่เป็นเลขาส่วนตัวของเขาครับ”
“หือ?” ฉันคิดว่าตัวเองได้ยินผิด จึงถามไปว่า “คุณว่าไงนะ?”
หลี่จื้อบอกอย่างอดทนอีกครั้ง “ประธานลู่ให้คุณเป็นเลขาส่วนตัวของเขาครับ”
ใบหน้าของฉันแข็งข้างไปชั่วขณะ มิน่าลู่จือสิงจึงไม่บอกตรงๆ ว่าเขาจัดการให้ฉันทำตำแหน่งนี้
“คุณหญิงลู่ ประธานลู่มีเจตนาดีนะครับ”
คำพูดของหลี่จื้อทำให้ฉันรู้สึกกระจ่างในทันที ความคับข้องในใจก็พลันหายไปชั่วพริบตา
เดิมทีฉันก็อยู่ในฐานะพิเศษอยู่แล้ว ไม่ว่าจะจัดฉันลงที่แผนกไหนก็ย่อมมีคนมองไม่ดีอยู่ดี วิธีที่ดีที่สุดคือให้ฉันอยู่ข้างกายลู่จือสิง แม้ว่านี่อาจจะเป็นความเอาแต่ใจส่วนตัวของเขาเองด้วยก็ตาม
หลังจากยอมรับความจริงได้ ฉันก็ได้แต่ถอนใจ “ฉันเข้าใจ แต่ปกติคุณต้องรับผิดชอบเรื่องของเขาไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ครับ ปกติเวลาประธานลู่ต้องเดินทางไปทำงานที่อื่น บางทีผมก็ต้องอยู่ที่สำนักงานใหญ่”
เดิมทีฉันคิดว่างานเลขาเป็นงานง่ายๆ แต่เมื่อได้ฟังหลี่จื้อบอกรายละเอียดงาน ฉันจึงพบว่าการเป็นเลขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไม่เพียงแค่ต้องจัดเวลาให้เจ้านาย แต่ยังต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดีพอที่จะสื่อสารกับทุกคน ต้องคอยประสานความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ต้องจัดการการประชุม ทำรายงานการประชุม ไหนจะยังต้องจัดเตรียมการประชุมอีก…
หลักๆ แล้วก็คือเป็นผู้ช่วยระดับสูงที่ต้องทำทุกอย่าง ไม่เพียงแต่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารที่ดี แต่ยังต้องวางแผนโดยรวมทั้งหมดด้วย
ฉันต้องบอกว่า ลู่จือสิงช่างให้เกียรติฉันจริงๆ
หลังจากที่หลี่จื้อบอกข้อมูลพื้นฐานให้ฉันทราบแล้ว เขาก็พาฉันไปที่ห้องทำงานเพื่อให้ฉันทำความคุ้นเคย
ฉันอ่านข้อมูลอยู่ครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทั้งชั้นเหลือแค่ฉันเพียงเดียว
เวลานี้เอง อยู่ๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฉันคิดว่าเป็นลู่จือสิงประชุมเสร็จแล้วกลับมา แต่ไม่คิดว่าคนที่เดินออกมาจากลิฟต์จะเป็นจ้าวชิงหราน
เห็นได้ชัดว่าเธอประหลาดใจเมื่อเห็นฉัน “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่”
ฉันคิดว่ามันตลกมาก “แล้วทำไมฉันถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
จ้าวชิงหรานมองมาที่ฉันครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “จือสิงอยู่ไหน”
ใจของฉันเริ่มคุกรุ่นเมื่อได้ยินเธอเรียกชื่อจือสิง เห็นได้ชัดว่าเธอจงใจ แถมยังเลิกคิ้วเพื่อยั่วฉัน “วันนี้เขานัดฉันไว้”
MANGA DISCUSSION