ปัง!
พอฉันพูดจบ ลู่จือสิงก็เตะกระเป๋าเดินทางของฉันล้ม
ฉันผงะไปนิดหนึ่งก่อนจะวิ่งไปหยุดเขา “ลู่จือสิง คุณเสียสติไปแล้วหรือไง!”
“ใช่ ฉันมันเสียสติ ฉันเสียสติตั้งแต่ตอนที่คิดจะแต่งงานกับเธอแล้ว!”
ฉันไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้ฉันเจ็บได้ขนาดนี้ สิ่งที่เขาเอ่ยไม่ต่างอะไรกับมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงลงมาที่หัวใจของฉัน
ฉันปล่อยมือจากเขาและก้าวถอยหลังไปสองก้าว ไม่สนใจแล้วว่าเขาเพิ่งจะเตะกระเป๋าของฉัน “ลู่จือสิง… คุณไม่อยากแต่งงานกับฉันตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”
ลู่จือสิงไม่พูดอะไรแล้วสาวเท้าเข้ามาหา ในขณะที่ฉันก้าวถอยไปด้านหลังจนกระทั่งแผ่นหลังชนกับผนัง “อย่าเข้ามานะ! คุณอยากหย่าไม่ใช่หรือ? มีสำเนาเอกสารการหย่าอยู่ในห้องหนังสือ ฉันจะไปเซ็นต์ชื่อเดี๋ยวนี้ละ!”
ทันทีที่พูดจบฉันก็หมุนตัวไปทางห้องหนังสือเพื่อไปหยิบเอกสารการหย่า แต่เขากลับดึงฉันไว้ “ช่างกล้านะ!”
“คุณพูดเอง ว่าคุณอยากจะหย่า!”
“เธอก็รู้ว่าฉันพูดเพราะว่าโกรธ ทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนว่าเธอเชื่อคำพูดของคนอื่นง่ายขนาดนี้ฮะซูยุ่น!”
เขาตะคอกใส่ฉัน นานมากกว่าฉันจะมีปฏิกิริยาตอบโต้คำพูดของเขา “แล้วคุณโกรธอะไร ฉันเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน เรื่องวันนั้นไม่ใช่ว่าเราอธิบายกันเข้าใจแล้วหรือ? หรือว่าจนถึงตอนนี้คุณไม่เคยเชื่อใจฉันเลย?!”
ลู่จือสิงหัวเราะเยาะ เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองโยนออกไปขณะที่พูดกับฉัน “เธอมีอะไรทำให้ฉันเชื่อบ้างล่ะ?! ช่วงนี้เธอได้ติดต่อกับชวี่ชิงหนานบ้างหรือเปล่า?!”
คำพูดนั้นทำให้ฉันประหลาดใจ ฉันไม่คิดว่าเขาจะเก็บเอาเรื่องต่างๆ มาคิดมากขนาดนี้ จึงรีบอธิบายไปว่า “นั่นเป็นโครงการใหม่! บริษัทของเขากับฉันบังเอิญมีโครงการใหม่ร่วมกัน แล้วโครงการนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของฉันพอดี ส่วนเขาก็เป็นผู้รับผิดชอบทางฝ่ายนั้น เราที่เป็นผู้รับผิดชอบเลยต้องติดต่อกันบ่อย มันผิดตรงไหน?!”
“ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่ฉันแค่ไม่สบายใจที่เธอต้องเจอเขาบ่อยกว่าเจอฉัน”
ฉันไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “มันคืองานที่ฉันจำเป็นต้องทำ แถมระยะห่างระหว่างฉันกับเขา… คุณจะทำอะไรน่ะ?”
เมื่อเห็นเขายื่นมือมาจะปลดเสื้อผ้าของฉัน ฉันจึงรีบยกมือขึ้นขัดขวาง แต่สุดท้ายลู่จือสิงก็จับมือของฉันไว้ทั้งสองข้างด้วยมือเพียงข้างเดียว แล้วใช้ขาทั้งสองข้างกดฉันไว้ไม่ให้ขยับ ก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือดึงเสื้อเชิ้ตของฉันออก
หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองฉัน “ทำอะไรน่ะหรือ? มีอะไรกับเธอไง!”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาจนเกินคาดของเขาทำให้ใบหน้าของฉันแดงเรื่อ ฉันพยายามดิ้นรนแต่ถูกเขาพันธนาการไว้แน่น ทำให้ฉันรู้เลยว่าวันนี้เขาจะไม่ปล่อยฉันไปแน่ๆ… ทว่าฉันรู้สึกไม่สบายจริงๆ เมื่อต้องอยู่ในอิริยาบถนี้ จึงบอกด้วยเสียงอ่อนลงว่า “คุณปล่อยฉันก่อนได้ไหม ฉันเจ็บมือ”
เขาตกใจเล็กน้อยและปล่อยฉัน ทว่าวินาทีต่อมาเขากลับพลิกตัวฉันคว่ำลงแล้วคร่อมฉันไว้ ก่อนจะเชยคางฉันขึ้นแล้วประทับจูบลงมา
วันนี้ลู่จือสิงไม่คิดจะปล่อยฉันไปแน่แล้ว หลังจากคลอเคลียฉันอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เริ่มสานต่อ
เราทั้งคู่ยังไม่พร้อมและขณะนี้เราต่างรู้สึกอึดอัด ฉันร้องออกมานิดหนึ่งอย่างทนไม่ไหว แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับยังหนักหน่วง “เจ็บหรือ?”
ฉันน้ำตาคลอเพราะความเจ็บ “เจ็บ คุณเบาหน่อยสิ!”
เขาส่งเสียงทุ่มต่ำในลำคอแล้วบอกว่า “เจ็บก็ถูกแล้ว หลังจากนี้ยังจะพูดเรื่องหย่าอีกไหม”
ฉันรู้สึกโกรธขึ้นมาเมื่อเขาพูดแบบนี้ “คุณเป็นคนพูดก่อน!”
ลู่จือสิงไม่โต้ตอบฉันด้วยคำพูด แต่ใช้การกระทำให้ฉันต้องยอมจำนน
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากฉันปากแข็งก็รังแต่จะทำให้ตัวเองอึดอัด
ฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะทำตัวเป็นเด็กขนาดนี้ เราสองคนทำอะไรต่อมิอะไรกันตั้งแต่สิบเอ็ดโมง หลังจากนั้นฉันทั้งเหนื่อยและก็หิว นอนเอนกายอยู่บนที่นอนไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน
ลู่จือสิงกอดฉันที่นอนพักอยู่ “ซูยุ่น… ลาออกแล้วไปทำงานที่เฟิงเหิงนะ”
ก่อนนี้ฉันปฏิเสธมาตลอดเนื่องจากไม่อยากทำงานบริษัทเดียวกับลู่จือสิง เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะแสดงให้เห็นว่าฉันเป็นแค่พวกที่ชอบอาศัยทางลัด
แต่คราวนี้ฉันต้องคิดให้มากขึ้น ตอนนี้ทุกคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับลู่จือสิงแล้ว แม้จะพยายามปกปิดยังไงก็ไม่มีประโยชน์
แม้ว่าตอนนี้หัวหน้าของฉันที่บริษัทจะไม่ให้โอกาสฉันแสดงความสามารถมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จะเป็นแบบนั้น
ทว่าสิ่งสำคัญตอนนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับลู่จือสิงผูกโยงกันแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำอะไร เรื่องของฉันก็จะถูกนำไปเกี่ยวพันกับลู่จือสิงเสมอ
แต่ตอนนี้งานที่ฉันทำอยู่ก็กำลังไปได้ดี ผู้จัดการก็ตั้งความหวังกับฉันไว้สูง หากออกจากบริษัทที่ทำอยู่ไปทำงานที่เฟิงเฟิง การทำอะไรหลายๆ อย่างของฉันก็จะถูกจำกัด
เพราะเป็นทางเลือกที่น่าลำบากใจทั้งคู่ ฉันจึงให้คำตอบกับลู่จือสิงตอนนี้ไม่ได้ “ฉันขอไปคิดก่อนนะ”
เขาจับฉันพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเขา และตรึงฉันไว้ด้วยนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้น “ซูยุ่น เรื่องบางเรื่องเราก็หลีกเลี่ยงมันได้ ถ้าเธอไม่ป้องกันซะตั้งแต่ตอนนี้ พอถึงเวลานั้นมันอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่านี้ก็ได้นะ”
ลู่จือสิงไม่เคยคุยเรื่องจริงจังกับฉันอย่างนี้มาก่อน ฉันรู้สึกไม่ค่อยชินแต่ก็รู้สึกสะท้านใจเล็กน้อยเช่นกัน
เขาเป็นคนที่มั่นคงในเส้นทางของตัวเองมาตลอด จิตใจของเขาหนักแน่น แม้แต่ฉันที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาก็อาจจะยังไม่รู้อะไรมากนัก
แต่ตอนนี้ลู่จือสิงกำลังเปลี่ยนไป เขาเริ่มยอมรับว่าตัวเองกำลังโกรธอย่างตรงไปตรงมา เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มเชื่อใจฉันมากขึ้นแล้ว
ฉันเอื้อมมือไปกอดเขาไว้และซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง “ฉันรู้”
ลู่จือสิงไม่ได้ผลักไสฉันอีก แถมเรายังคืนดีกันด้วย… การทะเลาะกันแบบนี้มีแต่จะทำให้เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ช่วงบ่ายเราทั้งสองคนต้องไปสะสางเรื่องยุ่งๆ ที่เกิดขึ้น ลู่จือสิงต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อประชุมสร้างความสบายใจให้แก่ผู้ถือหุ้น ส่วนฉันต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้
โชคดีที่ทางบริษัทเข้าใจฉันและชวี่ชิงหนานก็แถลงข่าวไปแล้ว ผู้จัดการไม่กล้าทำอะไรที่ผิดใจชวี่ชิงหนาน จึงไม่ได้ทำอะไรให้ฉันลำบากใจ
แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากเลิกงานก็ยังมีหลายคนมองมาที่ฉันแล้วรวมกลุ่มซุบซิบนินทา แม้จะพอจะเดาได้ว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่เมื่อตัวเองเข้ามาอยู่ท่ามกลางข่าวลือของจริงที่แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ฉันกลับทนแทบไม่ไหว
ผิงผิงตบบ่าฉันเบาๆ อย่างเข้าใจความรู้สึก “ไม่ต้องคิดมากนะ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะงั้นไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ที่พวกเขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะอิจฉาเธอที่เธอแต่งงานกับลู่จือสิงเท่านั้นแหละ”
ฉันยิ้มออกมาได้และตัดสินใจว่าจะไม่ใส่ใจอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไรฉันก็บังคับคนอื่นไม่ได้ ใครอยากพูดอะไรก็เรื่องของเขา
แต่ทางด้านเฟิงเฟิงนั้นค่อนข้างมีปัญหา เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทเริ่มตกเพราะข่าวของฉัน
เมื่อกลับถึงบ้านในตอนเย็น ฉันจึงปรึกษาลู่จือสิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ฉันควรทำยังไงดี”
เขาหันมามองฉัน “ผู้ถือหุ้นต้องการให้เราจัดงานแถลงข่าวแล้วเชิญนักข่าวมาเพื่อ ‘อธิบาย’ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น”
เขาจงใจเน้นคำว่า “อธิบาย” ซึ่งฉันรู้ว่าเขาหมายได้หมายถึงการอธิบายธรรมดาๆ เดาว่าพวกเขาคงต้องการให้ชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับชวี่ชิงหนานให้ชัดเจน หลังจากนั้นจึงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น และเรื่องที่เล่ามาจะต้องสมเหตุสมผลและไม่ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของเฟิงเหิงด้วย
ฉันพยักหน้า “จะแถลงข่าวเมื่อไรคะ?”
ลู่จือสิงมองฉันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เธอคิดดีแล้วหรือ?”
“คิดดีแล้ว มันก็แค่การแถลงข่าวเท่านั้นเอง ไม่น่ามีอะไรหรอก”
เขาขมวดคิ้ว ฉันรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ว่ามีคนเยอะขนาดนั้นไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้
ฉันฉวยโอกาสจากความลังเลของเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า “หลังจากคุณจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว บอกฉันแค่คำเดียว แล้วฉันจะไปเอง”
“ซุยุ่น…”
เขายังไม่ต้องการให้ฉันไป แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉันโดยตรง ฉันจึงมีส่วนต้องรับผิดชอบ
ฉันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เย็นนี้คุณอยากกินอะไรคะ”
เมื่อเห็นว่าฉันตั้งใจแน่วแน่ เขาจึงไม่พูดอะไรอีก “เอาที่เธอชอบเลย ฉันขอไปตรวจดูเอกสารในห้องหนังสือก่อน”
พูดจบเขาก็ก้าวเดินไปที่ห้องหนังสือ
ฉันคิดว่าลู่จือสิงกังวลมากเกินไป จนคาดไม่ถึงว่าในวันแถลงข่าวนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ
MANGA DISCUSSION