“ซูยุ่น!”
ฉันกำลังหารือเกี่ยวกับโครงการที่กำลังทำอยู่กับสมาชิกตอนที่ผิงผิงพรวดพราดเข้ามา เธอดูลนลานจนฉันคิดว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเธอ จึงถามไปว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า”
เธอส่ายหน้าเมื่อรู้ว่าฉันเข้าใจผิดและกวักมือเรียกให้ฉันออกไปหา “ออกมานี่หน่อย ฉันมีบางอย่างจะบอก”
ฉันลังเลที่จะออกไปหาผิงผิงเพราะเรากำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ แต่ในที่สุดสมาชิกในกลุ่มก็ดันหลังฉันเบาๆ “ซูยุ่น เธอออกไปคุยก่อนก็ได้ เดี๋ยวพวกเราหารือกันไปก่อน พอกลับมาเดี๋ยวเราจะเล่ารายละเอียดเธอฟังเอง”
ฉันพยักหน้าตกลงเพราะคิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะร้ายแรงกว่าที่ฉันคิดมาก
ขณะที่ฉันกำลังเดินออกจากห้องประชุม ผิงผิงก็รีบมาดึงตัวฉันไป “ฟังฉันนะซูยุ่น ตอนนี้มีนักข่าวกลุ่มใหญ่รออยู่ที่ชั้นล่าง พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกำลังกันไว้ไม่อยู่ เธอต้องออกไปก่อนทางประตูหลัง”
ผิงผิงพูดขณะที่ดันฉันเข้าไปในลิฟต์ ฉันทำหน้างงๆ “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“นี่เธอยังไม่รู้เหรอ?”
ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ “ฉันจะรู้อะไรล่ะ วันนี้พอมาถึงบริษัทฉันก็เข้าประชุมทันที ยังไม่มีเวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลย”
ผิงผิงมองฉันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจนิดหนึ่งก่อนจะบอกในที่สุดว่า “ไม่รู้นะว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่เมื่อคืนมีคนโพสต์รูปของเธอกับประธานซวี่ แล้วบอกว่ากำลังคบชู้กัน”
ฉันรีบปฏิเสธทันที “จะเป็นไปได้ยังไง!”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้! แต่เธอก็รู้ว่าตอนนี้สถานะของตัวเองเป็นยังไง เธอคือคุณนายลู่ ความขัดแย้งในเฟิงเหิงเพิ่งจบไปไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ทุกคนกำลังจับตามองเธอ ไม่มีใครสนหรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง พวกเขาแค่…”
ฉันกับผิงผิงต่างก็ตกตะลึงเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกแล้วเห็นว่ามีนักข่าวขึ้นมาถึงบนนี้แล้ว!
ผิงผิงรีบผลักฉันเลี่ยงไปอย่างรวดเร็ว “ฉันกันให้เอง เธอรีบวิ่งไปเร็ว!”
ฉันไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก จึงพยักหน้าให้ “รบกวนด้วยนะ ฉันจะรีบไปหลบก่อน”
ดูเหมือนประตูลิฟต์จะปิดลงแล้ว แต่ยังฉันยังต้องใช้บันไดหนีไฟวิ่งลงไปอีกหลายชั้น
ฉันไม่คิดว่าขณะที่วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าวจะได้ยินเสียงลู่ป่ายถงเรียกชื่อฉันขึ้นมา
“ซุยุ่น?”
ถึงแม้จะยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่พอผ่านมาสักพักฉันก็เริ่มรับมือได้และตั้งสติได้ดีขึ้นเล็กน้อย ฉันมองเหลือบมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยและติดจะเย็นชา “คุณหาฉัน มีอะไรหรือเปล่า”
ไม่แน่เรื่องนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับลู่ป่ายถงก็ได้… คนตระกูลลู่ ผู้ที่ไม่ต้องการให้ลู่จือสิงถูกดึงลงมา
ลู่ป่ายถงก้มหน้ามองฉันแล้วขมวดคิ้ว เขาเอื้อมมือมาดึงฉันแต่ฉันรีบสะบัดออก “คุณลู่ คุณไม่ควรแตะต้องตัวฉัน”
เขาจำใจปล่อยฉันอิสระ “ผมชื่นชมคุณจริงๆ นะซูยุ่น นึกไม่ถึงเลยว่าขนาดเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณยังมายืนทำตัวไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงนี้ได้”
คำพูดที่หลุดออกมานั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องเตรียมตั้วตั้งรับ ฉันเหยียดริมฝีปากมองเขาอย่างเย็นชา “ฉันขอบคุณคุณมาก ถ้าคุณมาที่นี่เพียงเพื่อจะทำให้ฉันอับอายหรือซ้ำเติมละก็ ฉัน…”
“ซูยุ่น เธอคิดไปเองหรือเปล่าว่าเธอเป็นฝ่ายถูกรังแก? หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วมากับฉัน ฉันให้เลขากันพวกนักข่าวออกไปแล้ว ฉันจะพาเธอไปทางประตูหลัง ตอนนี้เธอต้องกลับไปก่อน ช่วงนี้อย่าเพิ่งเปิดโทรศัพท์หรือเล่นอินเทอร์เน็ตเด็ดขาด”
ลู่ป่ายถงพูดขณะที่พาฉันขึ้นลิฟต์พิเศษสำหรับผู้บริหารซึ่งเป็นลิฟต์ที่ต้องใช้บัตร ดังนั้นเวลาปกติพนักงานทั่วไปจึงไม่สามารถใช้ได้
ลิฟต์ตัวนี้ไม่ได้มีแค่เพื่อให้พวกผู้บริหารใช้ลิฟต์ได้สะดวก แต่ยังใช้เมื่อต้องต้อนรับลูกค้า เพื่อไม่ให้ลูกค้าและพนักงานต้องแออัดอยู่ภายในลิฟต์ตัวเดียวกันด้วย ทว่าตามปกติลิฟต์ตัวนี้แทบไม่ได้ใช้งานมากนักเพราะพวกผู้บริหารเองก็มักใช้ลิฟต์ธรรมดาเหมือนกัน
ฉันนึกไม่ถึงว่าลู่ป่ายถงจะมีบัตรสำหรับใช้ลิฟต์พิเศษนี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีโอกาสและก็ไม่ใช้เวลาจะมาถามว่าทำไมเขาถึงมีมันด้วย
ลู่ป่ายถงคว้าข้อมือฉันขณะดึงบัตรลิฟต์ออก เขาจูงฉันเดินลงไปที่ชั้นสอง หลังจากนั้นจึงนำฉันไปที่ทางออกฉุกเฉิน “มากับฉัน”
ระหว่างทางฉันไม่ได้พูดอะไรเลยเพราะไม่แน่ใจว่าลู่ป่ายถงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ จนเมื่อเข้ามาที่ทางออกฉุกเฉินแล้วฉันจึงถามเขาว่า “ลู่ป่ายถง คุณจะทำอะไรกันแน่”
เขาหันกลับมามองฉันแว้บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้า “ซู่ยุ่น จะว่ายังไงดี… ตอนนี้ฉันก็ถือว่าเป็นพี่ชายของเธอคนนึง ฉันจะช่วยเธอบ้างไม่ได้หรือไง?”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรและไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเขานัก เพราะเมื่อเดือนก่อนเขายังเอารูปของลู่จือสิงมาขู่ให้ฉันออกไปพบอยู่เลย คนแบบนี้น่ะหรือจะมาช่วยฉัน?
ฉันกับลู่ป่ายถงเดินผ่านทางออกฉุกเฉินไปจนถึงชั้นหนึ่ง แม้ว่าเลขาของเขาจะกันนักข่าวส่วนมากออกไปแล้ว แต่ว่ายังมีบางคนลังเลที่จะออกไปและตัดสินใจรออยู่เผื่อว่าจะได้ข่าวอะไรไปบ้าง
ประตูทางออกฉุกเฉินที่ชั้นหนึ่งมีนักข่าวคอยเฝ้าอยู่สองคน ทั้งคู่เกือบจะเห็นฉันแล้ว แต่โชคดีที่ลู่ป่ายถงไหวตัวทันจึงรีบหันกลับมาดึงฉันกลับไปอย่างรวดเร็ว
เขาจับมือฉันดึงเข้ามา พอนึกขึ้นมาได้ฉันก็รีบดึงมือออกทันที
ลู่ป่ายถงหันกลับมามองฉันแว้บหนึ่งแต่ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ฉันทำเมื่อครู่ เขาเฝ้ามองนักข่าวสองคนนั้นแล้วกระซิบบอกฉันว่า “ฉันจะกันคนพวกนั้นไป ประตูอยู่ทางซ้าย พอถึงแล้วเธอรีบวิ่งไปเลย เข้าใจไหม”
เขาหันกลับมามองฉันขณะที่พูด แล้วทันใดนั้นจู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นยิ้มล้อเลียน “น้องสะใภ้สาม”
ฉันเคยติดต่อพูดคุยกับลู่ป่ายถงมาก่อนและรู้สึกมาตลอดว่าเขาเป็นคนที่จริงจังมาก คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ เขาจะแสดงรอยยิ้มอย่างเด็กขี้เล่นให้ฉันเห็น จนฉันได้แต่มองเขาอย่างอึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกตัว
ฉันวางตัวไม่ค่อยถูกจึงรีบเบนสายตาไปทางอื่น
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจอะไร และเดินออกไปหานักข่าว “พวกคุณมาตามหาตัวซูยุ่นใช่ไหมครับ”
คนทั้งสองจำลู่ป่ายถงได้ พวกเขาเพียงแค่ตอบรับสั้นและไม่พูดอะไร
ลู่ป่ายถงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ซูยุ่นกำลังอยู่ในลิฟต์วีไอพี ผมเป็นคนไปส่งเธอไปเอง”
เขาพูดทีเล่นทีจริงทำให้สองคนนั้นลังเลเล็กน้อย หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวจึงถามขึ้นมาว่า “คุณลู่ อย่าล้อเราเล่นสิ ถ้าคุณพาซูยุ่นไปเอง คุณจะบอกเราทำไม?”
ลู่ป่ายถงถอยไปพิงผนังขณะที่มองสองคนนั้น “พวกคุณรู้ไหมว่าผมกับลู่จือสิงเป็นอะไรกัน?”
พวกเขาหันหน้ามองกันและกันเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เฮ้ อย่าเพิ่งไปไหนนะ มาคุยกันเป็นการส่วนตัวดีกว่า”
เมื่อทั้งสองวิ่งออกไปแล้วรอยยิ้มของลู่ป่ายถงก็จางหายไป เขาหันกลับมามองตรงที่ฉันซ่อนตัวอยู่ “ยังไม่ไปอีกเหรอ?”
ฉันขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดขณะที่เตรียมวิ่ง
เขาบอกให้ฉันออกไปทางประตูหลังขณะที่ฉันวิ่งออกไป
ก่อนจะออกไปฉันอดไม่ได้ หันกลับไปถามเขาว่า “คุณเป็นอะไรกับลู่จือสิงน่ะ?”
เขาหัวเราะเบาๆ และพอได้ยินเสียงนักข่าวดังมาจากด้านหลังก็รีบดันฉันออกไป ก่อนประตูจะปิดเขาพูดทิ้งท้ายกับฉันว่า “เป็นศัตรูหัวใจ
MANGA DISCUSSION