หลังจากเห็นข้อความนี้ กุญแจในมือก็ร่วงลงสู่พื้นทันใด
ฉันเพิ่งจะไปพบทนายจ้าวมา คนที่รู้ว่าฉันจะโอนหุ้นให้ลู่จือสิงก็มีเพียงทนายจ้าวคนเดียวเท่านั้น แต่ข้อความนี้……
ฉันคิดว่าคนที่ส่งข้อความมาคือลู่ป่ายถง ฉันจึงหาเบอร์โทรจากในโทรศัพท์มือถือทันที
ครั้งแรกลู่ป่ายถงไม่รับสาย ฉันโทรอีกรอบเขาถึงรับสาย: “ซูยุ่น?”
เขาดูตกใจ ควรจะพูดว่าไม่นึกมาก่อนว่าฉันจะโทรหาเขาเอง
ฉันคลายความสงสัยในตัวลู่ป่ายถงไปมากกว่าครึ่ง หลังจากไตร่ตรองอยู่ซักพัก จึงลองพูดหยั่งเชิงดูว่า: “คุณลู่ คุณทำสำเร็จแล้ว ฉันสนใจในสิ่งที่คุณพูดในวันนั้นแล้วค่ะ”
เสียงผ่านโทรศัพท์ฟังดูเหมือนเขากำลังหัวเราะ แต่ฉันได้ยินไม่ถนัด: “จริงหรือครับ แสดงว่าคุณไปคิดดูแล้วใช่มั้ยครับ?”
ชัดเจนว่าเขาไม่รู้เรื่องที่ฉันไปพบทนายจ้าวมา แสดงว่าข้อความไม่ได้ส่งมาจากลู่ป่ายถง
หลังจากได้ความกระจ่างดีแล้ว ฉันก็ไม่เร่งรีบอะไรอีก: “ขอโทษนะคะ ฉันไปคิดมาอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉันเป็นภรรยาของลู่จือสิง หุ้นที่ได้มาก็เพราะจือสิง ดังนั้นฉันจะถือหุ้นเอาไว้เองค่ะ"
“เธอคิดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าจือสิงจะคิดอย่างเดียวกันนะครับ”
คำพูดของเขาทำให้ฉันขมวดคิ้วขึ้นมา: “คุณลู่หมายความว่าอะไรหรือคะ”
“ไม่มีความหมายอะไรครับ ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่ฝืนใจคุณ ขอให้คุณโชคดีครับ”
น้ำเสียงของลู่ป่ายถงเหมือนคนที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ฉันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เขาจะมีความสุขบนความทุกข์อะไรได้
“คุณลู่ คุณดูดีใจมากเลยนะคะ”
“แน่นอนครับ ผมชอบดูการกระทำของคนโง่ครับ”
คำพูดของเขาชวนให้โมโหจริงๆ เลย: “งั้นฉันก็ขออวยพรให้คุณได้ดูละครฉากที่คุณอยากดูแล้วกันค่ะ!”
พูดจบฉันก็กดวางสายทันที แต่ความรู้สึกในใจอีกนานกว่าจะดีขึ้น
ครั้งแรกเป็นลู่ป่ายถง ต่อมาเป็นทนายจ้าว จากนั้นก็เป็นข้อความลึกลับนั่นอีก ทุกอย่างล้วนต้องการเตือนให้ฉันระวังลู่จือสิง
ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการแยกเราสองคนออกจากกันอยู่หรือไม่ ฉันแยกไม่ออกเลย แต่ยอมรับอยู่อย่างว่าตอนนี้ฉันสับสนมาก ไม่มีวิจารณญาณจะมาไตร่ตรองเรื่องราวแม้แต่น้อย
เวลาประมาณ 6 โมงกว่าลู่จือสิงบอกฉันว่าคืนนี้เขาจะไม่กลับมาทานข้าว สองสามวันมานี้ฉันชินเสียแล้ว อีกอย่างหลังจากที่ไปเจอทนายจ้าวมาวันนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับลู่จือสิงอย่างไรดี
ฉันและลู่จือสิงเริ่มต้นอย่างไม่ธรรมดา จากนั้นมาแต่งงานกันโดยไม่คาดคิดและอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ได้ ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ชายหญิงที่บรรลุนิติภาวะแล้วเดิมทีก็เป็นเรื่องง่ายที่จะถูกฮอร์โมนดึงดูดให้เข้าหากันอยู่แล้ว ในยุคที่มีความรักแบบอาหารจานด่วนเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ
คนเราไม่ควรคิดฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็จะยิ่งพบว่ามีบางอย่างผิดปกติมากขึ้น
พอทานข้าวเสร็จฉันก็ดูหนังอยู่คนเดียว หลังจากปล่อยวางได้แล้วก็พบว่าตัวเองไม่ได้เอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นอีก
เดิมทีฉันวางแผนว่าจะบอกลู่จือสิงเรื่องโอนหุ้นให้เขา แต่ลู่จือสิงกลับมาดึกมาก นาฬิกาชีวิตของฉันรอไม่ไหว พอห้าทุ่มกว่าฉันก็หลับไป
ประมาณตีหนึ่งกว่าเหมือนลู่จือสิงจะกลับมาแล้ว ฉันได้ยินเสียงเปิดประตู แต่ด้วยความที่หลับลึกมากจึงลุกไม่ขึ้น ฉันมึนๆงงๆ เล็กน้อยจากนั้นก็หลับต่อ
ช่วงที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ดูเหมือนลู่จือสิงจะจูบฉันหนึ่งที
ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาก็เห็นลู่จือสิงกำลังใช้มือข้างเดียววนตัวฉันอยู่ แสงจันทร์ส่องมาที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เพียงชั่วพริบตาเดียวนี้ฉันก็รู้สึกว่าข้อสงสัยทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องตลก
ฉันเป็นคนข้างหมอนของลู่จือสิง เขาปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ฉันจะไม่รู้เลยเชียวหรือ?
ฉันตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ลู่จือสิงไปวิ่งเพิ่งกลับเข้ามา เห็นฉันเขาก็ผงะไปชั่วขณะ: “ฉันทำให้เธอตื่นหรือ?”
ฉันส่ายศีรษะ: “คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ ฉันไปทำอาหารเช้าก่อน อีกสักครู่ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณนะค่ะ”
ลู่จือสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามอะไร จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
ฉันเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จเขาก็อาบน้ำเสร็จออกมาแล้ว: “เธอจะพูดอะไรหรือ?”
เขานั่งอยู่ตรงข้ามฉัน ดวงตาสีดำมองฉันตรงๆ ให้ความรู้สึกกดดันเล็กน้อย
ฉันขยับโจ๊กมาวางตรงหน้าเขา: “เมื่อวานฉันไปพบทนายจ้าวมาค่ะ”
เขาขยับมือ: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ?”
“ไม่มีค่ะ” ฉันส่ายศีรษะ: “ฉันอยากจะโอนหุ้นให้คุณค่ะ วันนี้ทนายจ้าวน่าจะจัดการเอกสารเสร็จแล้วค่ะ”
“เรื่องที่เธอจะบอกคือเรื่องนี้หรือ?”
“ใช่ค่ะ” ฉันผงกศีรษะ มองเขาอย่างกังวลใจเล็กน้อย: “คุณไม่ดีใจหรือคะ?”
สีหน้าของลู่จือสิงที่มองมาดูซับซ้อน: “ไม่เลย ฉันดีใจมาก ซูยุ่น”
ตอนที่เขาพูดคำนี้ออกมาสายตาเขาลดต่ำลงเล็กน้อย ทำให้ฉันแยกไม่ออกว่าเขาดีใจจริงๆ หรือแกล้งดีใจ
ฉันลองหยั่งเชิงเรียกชื่อเขา: “ลู่จือสิงคะ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉัน: “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”
ฉันรู้ว่าเขาโกรธแล้ว แต่ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด จึงเม้มริมฝีปาก รู้สึกโกรธไม่พูดไม่จาไปด้วย
ลู่จือสิงทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปทำงาน ตอนออกไปก็ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ
ยามบ่ายทนายจ้าวโทรหาฉันบอกว่าได้จัดเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ให้ฉันมาเซ็นชื่อ
ก่อนที่จะเซ็นชื่อ ทนายจ้าวถามฉันอีกรอบว่าคิดดูดีๆ แล้วจริงหรือ
ฉันนึกถึงปฏิกิริยาของลู่จือสิงเมื่อเช้าก็อดขำออกมาไม่ได้: “ฉันคิดดีแล้วค่ะ”
พูดเสร็จ ฉันก็ลงมือเซ็นชื่อ
ทนายจ้าวถอนหายใจออกมา: “ซูยุ่น คุณเป็นคนดีจริงๆ ครับ”
ฉันยิ้มจนตาหยี: “คุณก็เป็นทนายความที่ดีเช่นกันค่ะ
ทนายจ้าวหัวเราะฮาฮาออกมา: “โอเค ขอให้คุณและจือสิงอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าเลยนะครับ”
“ขอบคุณคุณมากค่ะ ทนายจ้าว”
ฉันดูออกว่าทนายจ้าวกับคุณปู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเขาก็ปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความจริงใจเช่นกัน
ออกมาจากสำนักทนายความ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมแล้ว
ตกเย็นฉันเอาหนังสือโอนหุ้นมาให้ลู่จือสิง กอดปลอบใจเขาไปทีหนึ่ง เขาถึงยอมคุยกับฉัน
หนึ่งเดือนต่อมาลู่จือสิงอาศัยหุ้นในมือจำนวน 25% จึงได้อำนาจสิทธิขาดในการบริหาร
งานบริษัทเฟิงเหิง และสามารถจัดการความวุ่นวายภายในบริษัทให้สงบลงได้ในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง
อีกไม่นานก็จะถึงการประชุมบริษัทประจำปี การประชุมวันนั้นฉันต้องแต่งชุดสวยหรูออกงานเคียงคู่ลู่จือสิง
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนรู้จักสถานะของฉันอยู่ไม่น้อย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ครั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่กระจ่างหมดจดแล้ว สถานภาพของลู่จือสิงในยามนี้ก็มั่นคงชัดเจนแล้ว
ลู่จือสิงเข้ามาในงานก็ต้องพบปะกับผู้คน ฉันอยู่เป็นเพื่อนเขาราวๆ ครึ่งชั่วโมง เขาเห็นฉันสวมรองเท้าสูง 12 ซ.ม. จึงให้ฉันไปหยิบอาหารที่จุดบริการอาหาร จุดประสงค์เพื่อให้ฉันแยกตัวไปพักผ่อนนั่นเอง
ฉันเข้าใจความหมายของเขา จริงๆ ฉันก็รู้สึกเหนื่อยอยู่เหมือนกัน จึงไม่ได้พูดอะไรและเดินไปหยิบเครื่องดื่มที่จุดบริการอาหาร
เมื่อไปถึงจุดบริการอาหารฉันก็มองเห็นหยาวตันตัน มีผู้หญิงอีกสองคนยืนอยู่ข้างเธอ พวกเขาเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนคนหนึ่งในบริษัท ดูจากที่สามคนนี้ยืนอยู่ด้วยก็พอมองออกว่าสนิทสนมกัน แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน
“ตันตัน นี่ภรรยาท่านประธานใหญ่ไม่ใช่หรือ?”
“ภรรยาท่านประธานใหญ่อะไรกัน ก็แค่หญิงละโมบโลภมากคนหนึ่งเท่านั้น”
ไม่ได้เจอหยาวตันตันมาเกือบสองเดือน รู้สึกว่าไอคิวในสมองของเธอไม่กระเตื้องขึ้นเลย พูดอะไรเรื่อยเปื่อยออกมาได้
ฉันไม่อยากไปสนใจ จึงหยิบเฉพาะของที่ตัวเองและลู่จือสิงชอบทาน ตั้งใจว่าจะเดินออกไป แต่เธอกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์กลับมาขวางทางฉัน: “รอก่อน พวกเรากำลังคุยกับเธออยู่นะ ภรรยาท่านประธานใหญ่ไม่ได้ยินหรือ?”
ฉันเช็ดใบหน้าแล้วแสร้งยิ้มออกมา: “มีคนกำลังพูดอยู่หรือ ฉันนึกว่าแมลงวันกำลังร้องอยู่ซะอีก”
MANGA DISCUSSION