เดิมทีฉันเตรียมที่จะออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ป่ายถง ฉันจึงหยุดเดิน หันกลับมามองเขาและขมวดคิ้ว "คุณลู่ ฉันไม่เข้าใจความหมายของคุณ"
ลู่ป่ายถงมองฉันแล้วยิ้ม "ซูยุ่น ผมนับถือคุณจริงๆ ดังนั้นผมอยากจะเตือนคุณไว้หน่อย ลู่จือสิงไม่ใช่คนอย่างที่คุณรู้จัก"
ฉันรู้สึกใจสั่น แต่สีหน้ากลับเย็นชา "ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูด ฉันขอตัวก่อน"
เขาหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้ดังและไม่ได้เบา แต่ทำให้ฉันได้ยิน และกลับทำให้ใจฉันสับสน
ระหว่างทางฉันควบคุมตัวเองให้ไม่คิดถึงเรื่องที่ลู่ป่ายถงพูดไม่ได้เลย บอกได้เลยว่าลู่ป่ายถงฉลาดมาก เขารู้ว่าอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด
สิ่งที่ไม่ควรพูดเขาก็ไม่ปริปากสักคำ เพราะเขารู้ว่าหากเขาพูดอะไรออกมา เปอร์เซ็นที่น่าเชื่อถือจะลดลงไปกว่าครึ่ง
แต่ถ้าเขาพูดแบบครึ่งๆกลางๆ หรือพูดในเชิงนี้ เพียงแค่พูดคำหนึ่ง ความคิดของฉันก็ถูกเขาชักจูงไปเรียบร้อยแล้ว
ฉันรู้ดีว่านี้เป็นกับดักของลู่ป่ายถง แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะพาตัวเองไปติดกับ
เมื่อกลับถึงบ้านฟ้ายังไม่ทันได้มืด ฉันจึงส่งข้อความไปถามลู่จือสิงว่าคืนนี้จะกลับมากินข้าวที่บ้านไหม เขาไม่ได้ตอบ ฉันจึงได้เตรียมอาหารไว้สำหรับสองคน จนทุ่มกว่าๆฉันถึงได้รับข้อความของเขา
ลู่จือสิงอธิบายว่ากำลังประชุม คืนนี้ยังมีงานอีกจึงไม่สามารถกลับมากินข้าวได้
ที่จริงเรื่องนี้ไม่ควรโทษเขา แต่เมื่อมองอาหารบนโต๊ะแล้ว ฉันไม่รู้ว่าทำไม ในใจก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
ฉันหยิบชามขึ้นมา และนั่งกินอาหารที่สำหรับสองคนทานจนหมด
เมื่อฉันกินอาหารที่ทำไว้หมดแล้ว ฉันรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว และในที่สุดฉันก็อาเจียนออกมา
เมื่อลู่จือสิงกลับมาก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ฉันอาบน้ำเสร็จก็เตรียมตัวจะนอนแล้ว เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา "ผมทำให้คุณตื่นรึเปล่า"
ฉันส่ายหน้า เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาของเขา คำพูดของลู่ป่ายถงก็กลับมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้าห้องน้ำ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเขา "ลู่จือสิง"
เขาหันกลับมามองฉันแวบหนึ่่ง "มีเรื่องอะไรรึเปล่า"
ไฟในห้องน้ำส่งกระทบใบหน้าเขา รอยดำที่ขอบใต้ตาเขาปรากฏขึ้นชัดเจนมาก
ฉันสูดลมหายใจ "คุณอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวคุณออกมาฉันค่อยพูด"
ฉันยังคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไงดี เรื่องนี้ยืดเยื้อมาถึงหนึ่งเดือน ถ้าจะให้ยืดเยื้อต่อไป ฉันคงไม่มีความกล้าพอที่จะพูดอีก
เขาแกะเนคไทและเดินเข้ามา ถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น "คุณมีเรื่องอะไร พูดมาเถอะ"
น้ำเสียงของลู่จือสิงค่อนข้างดัง เขาทำให้ฉันตกใจ มองเขาอึ้งๆ แต่เขากลับก้มหน้าและจับมือฉันไว้ "ซูยุ่น คุณอยากจะพูดอะไร"
ดวงตาของเขาอยู่ตรงหน้าฉัน และครู่หนึ่งฉันก็หมดความกล้าที่จะพูด
เรานิ่งกันไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆเขาก็ปล่อยมือฉัน และหันตัวกลับไปนั่งข้างเตียง "พูดมาเถอะ"
ฉันกัดริมฝีปาก มองเขาแวปหนึ่ง แต่เขากลับก้มหน้า ฉันไม่แน่ใจว่าเขาแสดงสีหน้ายังไง ฉันรู้สึกได้เพียงความเย็นชาตากเขา
ลังเลอยู่นาน ฉันจึงพูดออกไป "วันนี้ลู่ป๋ายถงพี่ชายคุณนัดเจอฉัน"
เขาอึ้ง น่าจะคิดไม่ถึง่าฉันจะพูดเรื่องนี้
เรื่องหารหย่าฉันอาจจะไม่กล้าพูดออกไป เพราะลู่จือสิงอาจเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ไม่ได้
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย และเล่าเรื่องเมื่อตอบบ่ายให้ฟัง เมื่อตอนบ่ายเขาโทรหาฉัน ฉันคิดว่าเขาก็เป็นแค่พี่ชายคุณ ฉันเลยไปเจอเขา ไม่คิดว่าเขาจะขอให้ฉันขายหุ้นให้เขา"
ลู่จือสิงนิ่ง พลางเงยหน้ามองฉัน "คุณล่ะ ซูยุ่นคุณคิดยังไง"
เขามองมาที่ฉัน ดวงตาสีดำเข้ม ภายนอกฉันมองออกได้อย่างชัดเจน แต่ภายในฉันไม่รู้
ฉันรู้ว่าลู่จือสิงต้องเข้าใจผืด แต่ฉันก็ทำได้แค่ข่มความโกรธไว้ พยายามพูดออกมาให้มั่นคงที่สุด "แม้ฉันจะไม่รู้ว่าคุณปู่มอบมรดกให้ฉันทำไม แต่แต่ไหนแต่ไรมาฉันไม่เคยคิดจะอยากได้สมบัติของตระกูลลู่ นี่เป็นของคุณ ฉันจะโอนมันคือให้
หลังจากฉันพูดจบ ลู่จือสิงก็มีแววตาที่ซับร้อนขึ้น
ฉันคิดว่าตัวเองมอบอะไรผิดไป เมื่อฉันกำลังจะพูด จู่ๆเขาก็กดฉันลงบนเตียง และก้มลงมาจูบฉัน
ฉันนี้ลู่จือสิงค่อนข้างยุ่ง พวกเราจึงไม่มีเวลาที่จะแสดงความรักต่อกัน ลู่จือสิงหันกลับมามองฉัน และมือของเขาก็ถอนเสื้อผ้าของฉันอย่างอ่อนโยน
ความต้องการคืนนี้ของลู่จือสิงมีเยอะมาก ฉันนอนอยู่บนเตียงอย่างขยับตัวไม่ได้ สุดท้ายลู่จือสงก็อุ้มฉันเข้าไปในห้องน้ำ
เมื่อเธอถูกเขาอึ้งออกจากเตียง ลู่จือสิงกอดฉัน และเหมือนจะก้มลงมาจูบ "ซูยุ่น ในเมื่อคุณปู่ให้คุณ ก็ต้องเป็นคุณ คุณไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก อยู่ในมือคุณดีที่สุด เมื่อคุณคิดว่าไม่อยากรับไว้ เอาไปให้ใครก็ไร้ประโยชน์"
ฉันรู้สึกง่วงนอนมาก เพราะอย่างนั้นเมื่อเขาพูดอะไรขึ้นมาฉันจึงรู้สึกฟังไม่ชัด เพียงแต่รู้ว่าเขากำลังพูด ฉันได้แต่ส่งเสียงอืออืมตอบกลับไป
วันรุ่งขึ้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาก็ค่อยๆคิดถึงคำพูดของลู่จือสิง ตอนนี้เก้าโมงกว่าแล้ว ลู่จือสิงไปบริษัทตั้งนานแล้ว
ฉันนั่งอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็กดโทรศัพท์โทรหาทนายผู้รับผิดชอบพินัยกรรมของคุณปู่
ฉันนัดเจอคุณทนาย ปรึกษาเขาเรื่องการโอนหุ้น
ทนายจ้าวมองฉันด้วยความประหลาดใจ "คุณจะโอนหุ้นในมือให้จือสิงเหรอ"
ฉันพยักหน้า "ค่ะ หุ้นมาอยู่ในมือฉันฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้จือสิงต้องเผชิญหน้ากับคนในเฟิงเหิง แม้ว่าหุ้นในมือฉันจะไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มี"
เฟิงได้รับการจดทะเบียนในช่วงปีแรก ๆ ดังนั้นหุ้นจึงไม่กระจุกตัวเหมือนบริษัทในช่วงแรก แม้ว่าส่วนแบ่ง 2.5% ดูเหมือนจะไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นที่สามารถระบุชื่อได้ในเฟิงเหิง
หลังจากที่ทนายจ้าวได้ยินฉันพูด ก็ขมวดคิ้วและมองฉัน "ซูยุ่น คุณต้องรู้ว่าทำไมคุณท่านลู่ถึงมอบหุ้นส่วนนี้ให้คุณ"
ฉันไม่รุ้ "ฉันไม่ได้ปิดบังทนายจ้าว ฉันไม่รู้จริงๆ"
ทนายจ้าวประหลาดใจครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆก็ถอนหายใจ "ช่างเถอะ นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกคุณ แต่ผมหวังว่าคุณจะไตร่ตรองให้ละเอียด แม้หุ้นในมือคุณจะไม่เยอะ แต่อย่างน้อยก็สามารถรับประกันสถานะของคุณในตระกูลลู่ได้ แม้กระทั้ง…………"
ฉันเข้าใจความหมายของทนายจ้าว เขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลัวการเปลี่ยนแปลงในการแต่งงานของลู่จือสิงกับฉันในอนาคต "ฉันอดที่จะยิ้มไม่ได้ "ทนายจ้าว วางใจเถอะ เรื่องนี้ฉันได้คิดไว้แล้ว"
เมื่อเขาเห็นความแน่วแน่ของฉัน เขาก็ไม่พูดอะไรอีก "ในเมื่อคุณคิดดีแล้ว งั้นผมจะช่วยคุณเตรียมเอกสาร"
ฉันพยักหน้า "รบกวนด้วยทนายจ้าว"
เขายิ้มและไม่พูดอะไร
หลังจากแยกจากทนายจ้าวฉันก็กลับบ้าน ทนายจ้าวบอกว่าพรุ่งนี้จะเอาเอกสารมาให้ฉัน
ฉันที่เพิ่งจะถึงบ้าน จู่ๆก็ได้รับข้อความจากเบอร์แปลก ถ้าเธอจะโอนหุ้นให้ลู่จือสิง เธอจะต้องเสียใจซูยุ่น
MANGA DISCUSSION