ในบ้านไม่มีคนอยู่ ฉันรู้ดีว่าลู่จือสิงคงไม่กลับมาในเวลานี้
ฉันหยิบกระเป๋าเดินทางออกมา เก็บข้าวของของตัวเองค่อยๆ ใส่เข้าไป
ตกเย็นเวลา 6 โมงกว่า ลู่จือสิงก็ยังไม่กลับมา เขาไม่ติดต่อมาหาฉันเช่นกัน ฉันลงมือต้มมาม่า หลังจากทานเสร็จก็มานั่งบนโซฟารอเขา
กว่าเขาจะกลับมาก็ราวๆ 4 ทุ่มกว่า ฉันเคลิ้มหลับอยู่บนโซฟา เขาเปิดไฟในห้องรับแขก ดวงไฟส่องมาโดนตาจนรู้สึกแสบตา
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองเขา เอ่ยปากพูดแล้วพบว่าตัวเองน้ำเสียงแหบแห้ง: “คุณกลับมาแล้วหรือคะ?"
เขาเหลือบมามองฉันด้วยใบหน้าอันแสนเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง แววตาเยือกเย็นราวกับคมมีดที่แทงเข้ามาที่หัวใจฉัน
ฉันยิ้มอย่างใจเย็น แล้วเปิดโทรศัพท์มือถือ: “คุณลองฟังดูนะคะ”
ลู่จือสิงขมวดคิ้วอย่างรำคาญ: “เธอยังจะใช้อุบายอะไรอีก?”
“ใช้อุบาย?”
ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเท่าตอนนี้เลย ในสายตาของเขา สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดคือการใช้อุบายกับเขา?
น่าขำจริงๆ อุบายของฉันมันน่าสนุกนักหรือ ทำไมฉันจะต้องวางอุบายด้วย ถ้าการรักเขาคือการใช้อุบายล่ะก็ ต่อไปฉันจะไม่ใช้มันอีกแล้ว
ฉันไม่พูดไม่จา เอามือกดเปิดเสียงที่บันทึกไว้
เสียงค่อยๆ ดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ ฉันเงยหน้ามองลู่จือสิง เขามองฉัน สีหน้าดูซับซ้อน
ประมาณ 5 นาทีต่อมา เมื่อเสียงพูดที่บันทึกไว้จบลง เขาก็พูดขึ้นมาว่า: “มันหมายความว่าอะไรกัน?”
ฉันยิ้มอย่างขมขื่น วางโทรศัพท์ลงแล้วยืนขึ้น: “มันไม่มีอะไรแล้วค่ะ ลู่จือสิง เราหย่ากันเถอะ ฉันใช้อุบายมามากพอแล้วค่ะ”
พูดจบ ฉันก็ลากกระเป๋าเดินทางที่ด้านข้าง อ้อมหลังเขาเดินตรงออกไป
เขายื่นมือมาดึงฉัน ฉันออกแรงผลักออกจึงกระเด็นไปบนโซฟา: “ซูยุ่น เธอพูดออกมาให้มันรู้เรื่องหน่อย”
ฉันเงยหน้ามองเขาหัวใจฉันเจ็บปวดราวกับถูกเข็มเงินพันนับเล่มแทงใส่ แต่ความโกรธมีมากกว่า: “ความหมายตามนั้นค่ะ ลู่จือสือ ฉันรักคุณมามากพอแล้ว คุณบอกเองนี่ว่าฉันใช้อุบายกับคุณ ใช่ ฉันชอบใช้อุบาย และอุบายที่ใหญ่ที่สุดที่ฉันเคยใช้ตรงหน้าคุณก็คือ การรักคุณ! แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากใช้อุบายอีกแล้ว แค่ทำตามที่คุณต้องการ เราหย่ากันเถอะค่ะ!”
“หย่าหรือ? นี่คงเป็นจุดประสงค์ของเธอซินะ ซูยุ่น?”
เขามองฉัน สายตาเต็มไปด้วยความโกรธราวกับว่าจะกลืนกินฉันเข้าไป
ฉันแค่อยากพูดประชดประชัน: “ลู่จือสิง คุณมีคุณสมบัติอะไรมาพูดกับฉันหรือคะ? คุณเคยเห็นคุณค่าของการแต่งงานของเราสองคนบ้างมั้ย คุณเคยปฏิบัติต่อฉันในฐานะภรรยาของคุณบ้างมั้ย หรือในความคิดของคุณ ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงที่วิ่งเข้าหาคุณเท่านั้นกันค่ะ?!”
“คนที่เสนอตัวจะหย่าในตอนนี้ก็คือเธอ!”
เขาเสียงดังขึ้นมา ฉันเองก็ทนไม่ไหวเพิ่มเสียงขึ้น: “คุณบีบให้ฉันหย่าต่างหาก!”
ลู่จือสิงมองฉันแล้วยิ้มขึ้นมา แต่ในรอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มจริงๆ: “ซูยุ่น เธอไม่ต้องมาแก้ตัว ตั้งแต่เเรกเธอมาขอให้ฉันแต่งงานก็เพื่อต้องการแก้แค้นหยาวตันตันกับถันฮ่าวอวี่ซินะ? ตอนนี้สำเร็จแล้ว บรรลุวัตถุประสงค์ของเธอแล้ว ฉันหมดประโยชน์ เธอก็เลยจะสลัดฉันทิ้ง ใช่มั้ยล่ะ?”
ฉันไม่เคยคิดมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ว่าลู่จือสิงจะมองฉันแบบนี้
ตั้งแต่แรกฉันไม่เคยปฏิเสธว่าฉันล่อลวงเขาเพื่อแก้แค้นหยาวตันตันกับถันฮ่าวอวี่ แต่ก่อนหน้านี้เราเคยคุยกันในเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจแบบนั้น ตอนนั้นเขาก็บอกอยู่ชัดๆ ว่าเขาเชื่อฉัน แต่ตอนนี้เขายังหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
ฉันมองเขาแล้วก็ยิ้ม อยู่ดีๆ น้ำตาก็ร่วงลงมา: “ลู่จือสิง ตั้งแต่ต้นจนจบคุณไม่เคยเชื่อฉันเลยใช่มั้ยคะ? คุณบอกว่าคุณจะเรียนรู้ที่จะเชื่อฉัน พูดว่าจะพยายาม ล้วนไม่เป็นความจริงทั้งนั้น! คุณไม่เชื่อฉันมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเมื่อคืนพอคุณเห็นฉันเป็นแบบนั้น จึงไม่ถามอะไรฉัน ไม่ให้ฉันได้อธิบายอะไร แล้วคุณก็สบประมาทเหยียดหยามฉันออกไปแบบนั้น!”
น้ำตาไหลเข้ามาในปากฉัน มันเค็ม ฉันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออก มองเขาแล้วพูดออกไปทีละคำว่า “ลู่จือสิง สิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดคือการตัดสินใจแบบโง่ๆ ด้วยการเข้าใกล้คุณ แล้วยัง——”
ฉันนั่งยองๆ ลงไป โน้มตัวเข้าไปใกล้และมองตรงไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา: “รักคุณ”
พูดจบ ฉันก็ยกมือผลักเขาออก
เขาตกตะลึง ฉันใช้โอกาสนี้ลากกระเป๋าเดินทางเดินจากไป
เขาดึงชายเสื้อของฉันจากทางด้านหลัง: “ซูยุ่น”
ฉันยื่นมือออกไปแยกนิ้วมือของเขาออกโดยไม่หันหลังกลับ: “ฉันเซ็นหนังสือหย่าเรียบร้อยแล้ว วางไว้ตรงหน้าตู้ภายในห้องนะคะ ถ้าคุณเซ็นชื่อแล้วว่างเมื่อไหร่ คุณก็ ——”
“เธอจะทำอะไร!”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ออกแรงดึงจนตัวฉันหมุน จากนั้นก็กดไว้กับโซฟาแล้วจูบฉัน ฉันหลบหน้าไปด้านข้าง เขาจึงจูบลงบนแก้มฉันแทน
ฉันยกมือขึ้นมากันไว้ตัวเราไว้ มองเขาอย่างเย็นชา: “วันนี้ฉันเห็นเข้าแล้วที่คฤหาสน์หมายเลข 7"
เขาเปลี่ยนสีหน้า มองฉันแล้วขมวดคิ้ว: “เธอเห็นอะไรเข้า?”
ฉันยิ้มเย็นชา: “คุณคิดว่าอะไรล่ะคะ?”
เขาขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น ฉันยกมือขึ้นมาผลักเขาออก ลุกขึ้นยืนมองเขา: “ลู่จือสิง ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับจ้าวชิงหราน แต่ฉันไม่อยากเป็นตัวแทนของพวกคุณเลยซักนิด!”
ในที่สุดสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย: “ฉันกับจ้าวชิงหรานเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอเห็นอะไรเข้ากันแน่?”
“ลู่จือสิง คุณจะต้องให้คนพูดตรงขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
ถึงเขาจะไม่อาย แต่ฉันรู้สึกอาย!
ฉันสะบัดมือเขาออก ไม่คิดจะพูดอะไรอีก
“เธอพูดออกมาให้ชัดเจน ซูยุ่น!”
"พูดให้ชัดเจนอะไร? หรือจะให้พูดว่าฉันเห็นจ้าวชิงหรานนั่งบนขาคุณแล้วจูบคุณหรือคะ?”
ฉันมองเขาด้วยดวงตาสีแดงเข้ม
ฉันโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยรู้สึกอึดอัดอะไรเท่าวันนี้มาก่อน
เขาเป็นคนผิด แล้วทำไมถึงมาถามในลักษณะเชิงตำหนิกับฉันแบบนี้!
“เขาจะจูบฉันจริง แต่ฉันผลักเขาออก!”
ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็คิดว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว: “ลู่จือสิง ช่างเถอะค่ะ ฉันเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ค่ะ”
การรักคนๆ หนึ่งที่ไม่เคยเชื่อใจในตัวเองมันช่างเหนื่อยจริงๆ ฉันไม่แรงที่จะยืนหยัดอีกต่อไปแล้ว
ลู่จือสิงยื่นมือมาโอบกอดฉัน: “ซูยุ่น ฉันขอโทษ”
ฉันยกมือดันเขาออก: “ลู่จือสิง มันมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วนะคะ เราจากกันด้วยดีเถอะค่ะ”
“ขอโทษ เมื่อคืนฉันโกรธจนบ้าคลั่ง โดยปกติถ้าผู้ชายเห็นผู้หญิงของตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้น เชื่อฉันซิ ไม่ว่าใครก็ต้องสติแตกกันทั้งนั้น”
เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เขาก็ยังหาเหตุผลมาเถียงกันข้างๆ คูๆ อีก
ฉันเงยหน้ามองเขา รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย: “แต่คงไม่มีใครเป็นแบบคุณ ที่ไม่เคยฟังคำอธิบายจากฉันเลย”
“ฉันขอโทษ”
ฉันรู้สึกขำ: “ลู่จือสิง คุณลองคำนวณดูว่าคุณไม่เชื่อใจฉันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว? ทุกครั้งล้วนเป็นแบบนี้ คุณขอโทษแต่คุณก็ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้ ฉันรักคุณจริงๆ ค่ะ แต่ฉันก็เหนื่อยมากแล้วจริงๆ เห็นแก่ความรักของฉันที่มีต่อคุณ คุณปล่อยฉันไปเถอะค่ะ!”
ฉันก็เคยลังเลใจ เคยสงสัยกับการตัดสินใจของตัวเองเหมือนกัน แต่เมื่อฉันได้เห็นท่าทีเมื่อครู่ของเขา ฉันก็รู้แล้วว่า ฉันตัดสินใจถูกแล้ว
เขาคือลู่จือสิง เขาถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ความทะนงตนถูกฝังตัวอยู๋ในกระดูกของเขา เขาจึงก้มหัวให้ใครไม่เป็น
“ซูยุ่น เชื่อฉันนะ”
“ลู่จือสิง ฉันก็อยากเชื่อคุณค่ะ แต่คุณไม่เคย……”
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาจึงปล่อยมือ ฉันรีบใช้โอกาสนี้ผลักเขาออก และพยายามจะจากไป แต่เขาเอามือข้างหนึ่งมารั้งฉันไว้
ลู่จือสิงก้มศีรษะมามองฉัน แล้วจึงรับสาย: “ฮัลโหล?”
วินาทีต่อมา สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาวางโทรศัพท์อย่างเร็ว แล้วก้มศีรษะมองฉัน: “คุณปู่เกิดเรื่องแล้ว!”
MANGA DISCUSSION