“ซูยุ่น!”
ฉันเข้าไปในลิฟต์ ลู่จือสิงก็วิ่งตามออกมา แต่ฉันเจ็บปวดเพราะเขามามากแล้วจริงๆ
ฉันยอมรับว่ามีความผิด แต่ถึงจะมีความผิด เขาก็ควรจะให้โอกาสฉันได้โต้แย้งบ้าง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นแบบนี้ เรื่องลูกก็เป็นแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อีก และเป็นแบบนี้มาโดยตลอด
เราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนั้น แค่ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานเขายังไม่มีให้เลย!
ฉันกดปุ่มปิดประตูซ้ำๆ แต่การตอบสนองของลิฟต์ช้าเกินไป ลู่จือสิงยื่นมือเข้าไปดึงฉันออกมา
ฉันตีเขา เตะเขา: “คุณปล่อยฉัน คนสารเลว ปล่อยฉัน!”
เขาทำตัวเหมือนไม่ได้ยิน จากนั้นก็อุ้มฉันพากลับไป
“อย่าเอะอะ ซูยุ่น”
ลู่จือสิงวางฉันลงบนโซฟา แล้วรีบเอาคางกดลงบนไหล่ของฉัน พร้อมกับอ้อนวอนฉันด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
ฉันถูกกดเข้าไปในอ้อมอกเขา ฉันอดไม่ได้กัดไปที่หน้าอกของเขา
เขาเจ็บ แต่ไม่ยอมปล่อยฉัน
“ผมขอโทษ ซูยุ่น”
หลังจากเงียบไปสักพัก ฉันก็ได้ยินคำขอโทษจากลู่จือสิง อารมณ์ของฉันเองก็สงบลงมาหน่อยแล้ว ฉันตระหนักได้ว่าปัญหาระหว่างฉันกับลู่จือสิงไม่ง่ายที่จะใช้คำขอโทษครั้งสองครั้งแล้วจบลงได้แบบนั้น
ฉันเงยหน้ามองเขา: “ลู่จือสิง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วค่ะ คุณไม่เชื่อใจฉันมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้วนะคะ”
เดิมทีอารมณ์ของฉันเริ่มคงที่แล้ว แต่ตอนนี้กลับล้มครืนลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำเสียงของฉันแฝงความสะอื้นไห้
เขาประสานมือไว้ที่ท้ายทอย ไม่ยอมให้ฉันมองเขา: “ผมรู้ ผมขอโทษ”
“ลู่จือสิง ฉันว่าเราควรมาไตร่ตรองความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนกันอย่างจริงจังแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาคุณไม่เคยเชื่อใจฉันเลย” ฉันผลักเขาออก แต่ไม่สำเร็จ
“ไตร่ตรองอะไร ซูยุ่น คุณจะไตร่ตรองอะไร?” น้ำเสียงของลู่จือสิงแข็งกร้าวขึ้นมาอีกแล้ว:“จะหย่าหรือ?”
เขายิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก็เงยคางฉันขึ้นมา แล้วมองฉันตรงๆ: “คุณอย่าได้คิด ซูยุ่น”
"ลู่จือสิง คุณไม่คิดบ้างหรือว่าคุณเผด็จการมาก?”
“ซูยุ่น คุณเริ่มขึ้นเองก่อน ผมเคยให้โอกาสคุณจากไป แต่เป็นคุณมาปรากฏตัวแล้วขอผมแต่งงานในงานฉลองวันเกิด ในตอนนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่า ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปอีก!”
ฉันรู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก: “ลู่จือสิง คุณไม่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันดูน่าตลกบ้างหรือคะ? เราสองคนแต่งงานกันแล้ว แต่คุณกลับไม่ให้ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานแก่ฉันเลย แค่บันทึกเสียงเพียงชิ้นเดียว คุณก็ฟันธงแล้วว่าฉันกำลังหลอกคุณ หากวันหน้ามีคนเอาอะไรออกมาอีก คุณก็จะใส่ร้ายฉันอีกหรือคะ?”
ฉันทนต่อการใส่ร้ายจากผู้อื่นได้ แต่ถ้าการใส่ร้ายมาจากคนที่ฉันรักที่สุด ความเจ็บปวดที่ราวกับจะเสียดแทงหัวใจเช่นนี้ ฉันคงรับไม่ไหว!
“ฟังเรื่องเล่ามั้ย?”
จู่ๆ เขาก็ปล่อยมือ จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามาโอบกอดฉันแทน
เขาไม่ได้พูดทันที แต่กลับลูบกระเป๋าหยิบบุหรี่จากในกล่องขึ้นมามวนหนึ่ง
ฉันยื่นมือไปดึงเขาเอาไว้: “อย่าสูบเลยค่ะ”
เขามองฉันครู่หนึ่ง: “ไม่สูบก็ได้”
เขาพูดแล้วก้มศีรษะมองดูบุหรี่ ริมฝีปากบางๆ ขยับเล็กน้อย: “แม่ของผมเสียชีวิตไปตอนฉันอายุ 7 ขวบ จากไปไม่ถึง 2 ปีจงฮุ่ยหรานก็เข้าบ้าน จริงๆแล้วในช่วงแรกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับจงฮุ่ยหรานมากนัก ยังออกจะเคารพอยู่ แต่เธอไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นภายนอก ผมเป็นลูกหลงของลู่เว่ยกั๋ว เขาเอ็นดูผมมากมาโดยตลอด แต่หลังจากจงฮุ่ยหรานเข้าบ้านมา ลู่เว่ยกั๋วนับวันก็ไม่ชอบผมมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งอายุ 8 ขวบปีนั้น ลู่หงฉิงก็ผลักผมไปใกล้สระว่ายน้ำ”
ลู่จือสิงจู่ๆ ก็เงียบไป เขาก้มศีรษะมองฉัน: “ซูยุ่น คุณเข้าใจความรู้สึกตอนที่หายใจไม่ออกบ้างมั้ย? ความรู้สึกเหมือนกำลังจะเข้าใกล้ความตายทีละน้อยๆ อยู่ในสระน้ำนั้น แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ลู่หงฉิงบอกว่าผมเป็นคนผลักเธอลงไป จงฮุ่ยหรานบอกว่าผมใส่ยาพิษในนมของเธอ ฆ่าพี่สาววางยามารดา ทุกคนต่างบอกว่าลูกชายของลู่เว่ยกั๋วน่ากลัวเกินไปแล้ว สิ่งนี้ยังไม่เท่าไหร่ แม้แต่พี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูผมมาตลอด ก็ถูกจงฮุ่ยหรานซื้อตัวไป เพื่อให้เธอแอบใส่ยาพิษลงในนมที่ผมดื่มทุกคืน คนรอบตัวผมทุกคนต่างคิดหาวิธีกำจัดผม เพราะหากกำจัดผมได้ บริษัทเฟิงเหิงก็จะเป็นของพวกเขา”
ฉันตกตะลึงจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ฉันเคยคิดว่ากับครอบครัวแบบนั้น เขาคงผ่านชีวิตมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อย่างมากที่สุดที่สุดก็คือการถูกทารุณกรรม แต่ไม่คิดเลยว่าจะต่างฝ่ายต่างพยายามหลอกลวงกันแบบนี้
ทันใดนั้นฉันก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่เชื่อใจฉัน ในยามที่พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว คุณลุงคุณอาสะใภ้ของคุณคิดจะทำร้ายคุณ คุณจะสิ้นหวังและไม่กล้าเชื่อใครทั้งสิ้น
“ลู่จือสิง………”ฉันอ้าปาก อยากจะเอ่ยคำพูดปลอบใจ แต่กลับพูดไม่ออก
หลังจากได้ฟังสิ่งที่เขาพูดจบแล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย ฉันกอดเขาแน่น “ฉันจะไม่หลอกคุณ ลู่จือสิง ฉันจะไม่หลอกคุณอีกแล้วค่ะ”
สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ลูกก็ไม่มีแล้ว คุณยายก็จากไปแล้ว ฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวเหล่านี้ได้แล้ว
ในโลกใบนี้ คนที่ฉันใส่ใจมากที่สุดก็มีเพียงลู่จือสิงเท่านั้น ฉันก็จะขอเห็นแก่ตัวสักหน่อย จะไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยกับความขมขื่นเหล่านั้นอีก
“ซูยุ่น ผมจะพยายามเชื่อคุณ”
ฉันรู้ว่านี่เป็นความจริงใจที่สุดของเขาแล้ว ในใจฉันทั้งอบอุ่นและนุ่มนวลราวกับแช่อยู่ในน้ำอุ่น
“ต่อไปฉันก็จะไม่เอ่ยคำพูดแบบนั้นออกมาอีกแล้วค่ะ ลู่จือสิง……..”ฉันเงยหน้ามองเขา เอามือประคองใบหน้าของเขา แล้วเอาปลายจมูกของตัวเองชนกับดั้งจมูกของเขา: “ฉันรักคุณ ที่ฉันแต่งงานกับคุณก็เพราะฉันรักคุณค่ะ”
บางทีก็อาจจะมีความไม่เต็มใจอื่นๆ อยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะฉันรักคุณ
เขามองฉันจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา ความเย็นชาบนหว่างคิ้วคลายออก เหมือนดอกไม้ที่แย้มบานอย่างอบอุ่น
ชั่วพริบตานั้น ฉันราวกับมองเห็นดอกไม้ไฟกำลังบานอยู่ตรงหน้า ในใจฉันรู้สึกเดือดพล่านไม่ยอมหยุด ฉันจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อคลายความตื่นเต้นสั่นสะเทือนนี้โดยเร็ว
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงโอบคอของลู่จือสิงแล้วจูบลงไปบนริมฝีปากบางๆ ของเขา เขาเอามือรองท้ายทอยฉัน จากนั้นพวกเราก็เหมือนฟืนที่เห็นไฟ ไม่นานก็ลุกเป็นไฟทันที
คืนนี้ลู่จือสิงเหมือนคนโด๊ปยาเลย เขาดึงฉันจากโซฟาในห้องรับแขกไปจนถึงเตียงในห้องนอน ฉันนับไม่ถูกแล้วว่าพวกเราทำไปห้าหรือหกครั้งแล้ว สุดท้ายฉันทนไม่ไหวแล้วจึงขอร้องเขา เขาถึงยอมปล่อยฉัน
หลังจากการออกกำลังกายอันหนักหน่วง ฉันก็อยากจะนอนอย่างเดียว แต่ลู่จือสิงสั่งอาหารมาเยอะมาก บังคับให้ฉันทานให้ได้ ฉันปฏิเสธไม่ได้จึงทานโจ๊กไปสองชาม เขาถึงยอมปล่อยให้ฉันไปนอน
ฉันนอนสนิทตลอดคืน เมื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าลู่จือสิงตื่นแล้วออกไปวิ่ง ฉันจึงรีบลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า รอเขากลับมาอาบน้ำเสร็จก็ทานได้เลย
ก่อนจะออกประตูไปทำงาน ลู่จือสิงดึงฉันไปจูบตรงโถงทางเดิน ลิปสติกถูกเขาจูบจนเลอะไปหมดแล้ว เขาถึงยอมปล่อยมือ
ก่อนที่จะลงจากรถเขาไม่ปลดล็อกเหมือนทุกที: “ซูยุ่น คุณสนใจจะมาเป็นผู้ช่วยผมที่บริษัทเฟิงเหิงมั้ย?”
ฉันได้ยินแล้วก็ขำไม่ออก: “ประธานลู่ คุณอยากให้ทั้งบริษัทรู้ใช่มั้ยว่าฉันคือนักโดดร่ม?”
“ก็โดดร่มมาอยู่ข้างผมซิ ใครจะกล้าพูดอะไรได้”
ฉันยิ้ม: “ไม่พูดแล้ว ฉันจะไปทำงาน คุณก็เปิดประตูได้แล้วค่ะ”
เขาส่งเสียง ฮึ อย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ปลดล็อกประตูให้
ฉันมองดูเขาโกรธเหมือนเด็กๆ ก็อดใจไม่อยู่หันกลับไปจูบเขาหนึ่งที: “ประธานลู่ เชื่อฟังนะคะ”
“ซูยุ่น คุณใช่……”
“ปึ๊ก!”
ฉันปิดประตูรถ ปล่อยให้เขาพูดอยู่ในรถต่อไป
หลังจากที่ฉันกับลู่จือสิงได้เปิดใจกันในคืนนั้น ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนตัวติดกันตลอดเวลาเหมือนติดกาวเอาไว้ ลู่จือสิงมีแผนการมากมายที่จะผูกฉันไว้ข้างตัว ฉันดีใจมากที่ตัวเองยืนหยัดไม่ลาออกแล้วไปอยู่กับบริษัทเฟิงเหิง
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น คุณปู่ของลู่จือสิงก็ออกจากโรงพยาบาล ตอนเที่ยงลู่จือสิงโทรมาบอกกับฉันว่าคืนนี้จะกลับบ้านไปทานข้าว
หลังทราบข่าวฉันก็งานยุ่งตลอด ในที่สุดฉันก็สรุปแผนงานจนเสร็จก่อนเวลาเลิกงาน
เพิ่งจะปิดคอมไป ลู่จือสิงก็โทรเข้ามาบอกว่าเขาอยู่ใต้ตึกแล้ว
ฉันบอกให้เขาอย่าขึ้นมา แล้วหยิบกระเป๋าวิ่งลงไป
คนในบริษัทยังไม่รู้ว่าฉันกับลู่จือสิงคบกันอยู่ ฉันเองก็ไม่อยากให้ใครรู้มากนัก
พอออกมาจากประตูทางเข้าบริษัทก็เห็นรถของลู่จือสิง ฉันมองดูก่อนว่ามีคนรู้จักในบริษัทอยู่แถวนั้นหรือไม่ จากนั้นก็รีบเปิดประตูรถเข้าไป: “ทำไมต้องรีบเร่งด้วย?”
เขาเห็นฉันไม่ตอบ: “ผมพบกับใครไม่ได้เลยหรือ?”
“หา” ฉันอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบส่ายศีรษะ “ไม่ใช่พบใครไม่ได้ แต่เป็นเพราะคุณมีชื่อเสียงมากค่ะ ประธานลู่ หากให้คนมาเห็นว่าเราคบกันอยู่ เกรงว่าเพื่อนร่วมงานจะมีประเด็นกับฉันได้นะค่ะ”
“งั้นก็ดีเลย ลาออก กลับมาเฟิงเหิง”
เห็นเขายังดึงดันกับเรื่องนี้ ฉันก็รีบเปลี่ยนประเด็นทันที: “คุณปู่ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ยคะ?”
“ไม่เป็นไรแล้ว คุณหมอบอกให้ลดเรื่องกังวลก็จะดีขึ้น”
รถขึ้นทางด่วน ไม่นานก็ถึงบ้านสกุลลู่
พอเห็นรถตรงทางเข้า ฉันถึงรู้ว่าวันนี้มีคนมาทานข้าวจำนวนไม่น้อย ลู่จือสิงที่อยู่ข้างๆ เห็นฉันงงๆ จึงอธิบายให้ฟัง: “คุณปู่อยากจะใช้โอกาสนี้แจ้งเรื่องของเราสองคนให้บ้านสกุลลู่ได้รับรู้ จากนั้นอีกซักพักค่อยแจ้งสื่อต่างๆ”
ฟังเขาพูดแล้ว ฉันอดไม่ได้ที่จะกังวล เขาเห็นท่าทางของฉัน ก็กุมมือฉันไว้: “อย่ากลัว มีผมอยู่”
ฉันผงกศีรษะ แต่ใจยังเต้นรัว
พอเข้าไปก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ มีคุณลุง คุณอาสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้อง และคนอื่นๆ ประมาณ 10 กว่าคนนั่งล้อมรอบคุณปู่ ฉันอดไม่ได้หยิกลู่จือสิงไปที
เขาเห็นฉันกังวล จึงดึงฉันเข้าไปกอด แนะนำตัวฉันน้ำเสียงด้วยน้ำเสียงปกติ: “ภรรยาผม ซูยุ่น”
สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของคุณปู่ จึงไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจ
พอแนะนำตัวเสร็จ คุณปู่ก็บอกว่าอยากจะทานข้าวแล้ว
"คุณปู่ ลุงรองยังไม่กลับมาหรือคะ”
ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าลู่เว่ยกั๋วและจงฮุ่ยหรานไม่อยู่ตรงนี้
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา พวกเราทานกันก่อนเถอะ”
พอคุณปู่พูดแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
ระหว่างทานข้าวคุณปู่ถามถึงงานแต่งของฉันกับลู่จือสิงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งลู่จือสิงจะเป็นคนตอบเป็นหลัก
“เธอสองคนคิดว่าจะจัดงานแต่งต้นปีหรือปลายปีดี?”
คุณปู่ของลู่จือสิงดูเหมือนจะเร่งๆ ให้พวกเรากำหนดวันที่แน่นอนออกมา
ฉันมองไปที่ลู่จือสิงแต่เขาไม่ได้มองฉัน เขาตอบอย่างพอเหมาะพอเจาะว่า “ปลายปีดีกว่าครับ ต้นปีดูเร่งรีบเกินไป ผมอยากจะเตรียมงานแต่งให้ซูยุ่นดีๆ ครับ”
“งั้นพวกเธอก็ตัดสินใจกันเอาเองแล้วกัน”
จากนั้นคุณปู่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก บางครั้งคุณลุง คุณอาสะใภ้ก็มีถามคำถามพอเป็นพิธีออกมา ฉันก็ตอบพอเป็นพิธีกลับไป
บรรยากาศใช้ได้เลย ดูท่าทุกคนพยายามที่จะรักษาความปรองดองกันเอาไว้
แต่ก็มีคนที่อยากจะสร้างความเดือดร้อนอยู่ หยาวตันตันจ้องหน้าฉันมาตั้งแต่ตอนเริ่มทานข้าวแล้ว ดูท่าเธอคงจะทนมานานพอแล้ว
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไม่นานเท่าไหร่เธอก็พูดโจมตีฉัน:“ซูยุ่น เอ๊ะไม่ใช่ซิ คุณน้าคะ ฉันต้องบอกเลยว่าฉันรู้จักคนมาก็มาก แต่คนที่ฉันเลื่อมใสที่สุดก็คือคุณค่ะ จะพูดอย่างไรดี คุณน้าฉันออกจะจัดการยากซะขนาดนี้ เธอยังทำได้ ฉันไม่แปลกใจเลยว่าตอนที่รู้จักกับถันฮ่าวอวี่เขาบอกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอเลยค่ะ”
เธอดูแปลกมากๆ แล้วยังดึงเรื่องสมัยนั้นของฉันกับถันฮ่าวอวี่มาพูดอีก ตอนนี้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูน่าอึดอัดมาก
ขณะที่ฉันกำลังจะพูดอะไรออกไป ลู่จือสิงก็มองไปที่หยาวตันตันด้วยสายตาที่เย็นชา: “ถันฮ่าวอวี่ไม่คู่ควรกับซูยุ่นอยู่แล้ว ก็เหมือนเธอที่ไม่ใช่คนบ้านสกุลลู่ ถึงแม้จะมานั่งที่โต๊ะตัวนี้ แต่เธอก็ไม่คู่ควร ถ้าอยากจะทานข้าวก็ทานให้มันดีๆ ไม่งั้นก็ออกไป บ้านสกุลลู่ยังไม่จำเป็นจะต้องให้คนสกุลอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์”
MANGA DISCUSSION