เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันสองจิตสองใจว่าควรสารภาพความจริงกับลู่จือสิงดีไหม
ที่เมื่อวานฉันขอลู่จือสิงแต่งงานก็เพียงเพื่อแก้แค้นลู่เว่ยกั๋วเท่านั้น คิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าลู่จือสิงจะเป็นฝ่ายขอฉันแต่งงานแทน
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เชื่อใจฉันแถมยังพูดไม่ดีกับฉัน แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเขารักฉัน
ระหว่างคนรักกันไม่ควรมีเรื่องผลประโยชน์ปิดบังกันแบบนี้ ฉันไม่ต้องการใช้ความรักที่ลู่จือสิงมีให้ฉันไปแก้แค้นลู่เว่ยกั๋ว
“ซูยุ่น”
ขณะที่ฉันกำลังลังเลว่าจะสารภาพเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกับลู่จือสิงดีไหม เขาก็มาหาฉันพอดี
"คุณทำอะไรอยู่น่ะ"
พอฉันเปิดประตูให้ เขาก็มองมาด้วยสีหน้าที่มึนตึง
ฉันใจฝ่อนิดๆ และเม้มริมฝีปากขณะมองเขา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ลู่จือสิงมองฉัน ทันใดนั้นก็ยิ้มเยาะๆ “ซูยุ่น คุณกำลังเล่นปาหี่อะไรอีก”
ฉันเริ่มกังวลจึงรีบเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้ “ไม่มีอะไร ฉันแค่… ฉันแค่…”
“แค่อะไร? แค่ไม่อยากแต่งงานกับฉันใช่ไหม”
เขาพูดจบก็หันหลังกลับ ฉันรีบรั้งเขาไว้ “ลู่จือสิง ฟังฉันก่อน ฉันอยากแต่งงานกับคุณ แต่ฉันแค่… แค่…” ฉันอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคิดหาข้ออ้างขึ้นมาได้ “ฉันแค่หาทะเบียนบ้านไม่เจอน่ะ!”
เขาหันกลับมามองฉันอย่างไม่ไว้ใจ “ซูยุ่น คุณคิดว่าผมเป็นคนหลอกง่ายนักเหรอ”
ฉันอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ “เปล่านะ ฉันพูดจริงๆ คุณเชื่อฉันนะ ฉันลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเก็บทะเบียนบ้านไว้ที่ไหน!”
ฉันไม่กล้าปล่อยมือเขาเพราะกลัวมากว่าถ้าปล่อยไปแล้ว ลู่จือสิงจะจากฉันไปจริงๆ
ฉันรู้… ถ้าฉันปล่อยมือเขาไปอีกครั้ง เขาจะไม่มีวันหันกลับมาหาฉันอีกเลย
นัยน์ตาของฉันเริ่มแดงก่ำเพราะน้ำตา
เขามองอย่างไม่ชอบใจและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ฉัน “ร้องไห้ทำไม ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลย”
เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนลงของเขา ฉันจึงเอ่ยเบาๆ อีกครั้งว่า “ฉันอยากแต่งงานกับคุณ”
ลู่จือสิงฉีกยิ้มที่มุมปาก “ก่อนหน้านี้คุณเก็บทะเบียนบ้านไว้ที่ไหน”
“วางไว้ที่…” ฉันเกือบพลั้งปากพูดออกไปเพราะลืมว่ากำลังโกหกเขาอยู่ จึงแสร้งทำเป็นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองเขาอย่างเศร้าๆ “ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว ก่อนนี้ตอนที่ยายตายฉันหยิบมันออกมา แต่หลังจากนั้นฉันก็วางมันไว้ แต่จำไม่ได้แล้วว่าวางไว้ที่ไหน”
“คุณมีสมองเอาไว้ประดับหัวเฉยๆ หรือไง”
เขามองฉันแล้วส่ายหน้าไปมา เดินเข้ามาพร้อมกับบอกฉันว่า
“เอาเถอะ เดี๋ยวผมหาในห้องนี้ คุณเข้าไปดูที่ห้องนั้น”
เมื่อเห็นว่าลู่จือสิงเลือกหาในห้องที่ฉันเก็บทะเบียนบ้านไว้ ฉันจึงแอบถอนใจอย่างโล่งอก
ไม่ถึงสิบนาที ลู่จือสิงก็ออกมากจากห้องพร้อมชูกับทะเบียนบ้านให้ฉันดู “ผมเจอแล้ว ไปสำนักทะเบียนกันเถอะ”
เขาพูดพลางจูงมือฉันเดินออกไป
ระหว่างทางลู่จือสิงขับรถเร็วมาก ฉันพยายามจะสารภาพเรื่องเมื่อวานนี้กับเขาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า
รถหยุดอยู่ที่หน้าประตูสำนักทะเบียน ฉันตื่นเต้นจนอดไม่ได้ เดินอ้อมไปดึงลู่จือสิงให้รีบลงมาจากรถ “ลู่จือสิง คุณจะเสียใจไหมที่แต่งงานกับฉัน”
สีหน้าของเขาขรึมขึ้น “ซูยุ่น ถ้าคุณกล้าบอกว่าจะไม่แต่งงานตอนนี้ละก็ ผมมีหลายวิธีเลยที่จะทำให้คุณทรมานยิ่งกว่าความตาย”
พอเห็นว่าเขาเข้าใจผิดฉันจึงรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ ฉันหมายถึง ฉันเข้าหาคุณด้วยจุดประสงค์อะไรคุณก็รู้ คุณจะ…”
ยังพูดไม่ทันจบ ลู่จือสิงก็โน้มศีรษะลงมาจูบฉันอย่างรวดเร็วและรุนแรงประดุจลมพายุ ฉันถึงกับต้องควานหาอากาศหายใจหลังจากที่เขาผละจากฉัน
“ไม่ใช่แค่ให้ท่า คุณอยากจะอ่อยหรือยั่วยังไงก็ได้ ตามสบายเลย”
ปลายนิ้วของเขาลูบไล้อยู่ที่มุมปากของฉัน นัยน์ตาสีเข้มที่มองมาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เขาทำให้ฉันใจเต้นแรงจนกลัวว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวแล้วดึงเขาเข้ามาจูบอีก จึงรีบเบนสายตาไปที่อื่น “งั้นเราไปจดทะเบียนกันเถอะ”
เรามาถึงที่นี่เร็วจึงยังมีคนต่อแถวรอไม่มากนัก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฉันก็เดินออกมาโดยมีทะเบียนสมรสอยู่ในมือ
“ผมเก็บทะเบียนสมรสไว้เอง”
ยังชื่นชมได้ไม่เต็มที่ ลู่จือสิงก็มาฉกทะเบียนสมรสในมือฉันไป
ฉันมองเขาอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ประธานลู่ ถึงจะต้องการหย่าก็ยังต้องใช้ลายเซ็นของคุณ คุณเก็บทะเบียนสมรสเอาไว้แล้วจะทำอะไรได้”
เขาหันมามองฉัน “แค่ทะเบียนบ้านคุณยังจำไม่ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหน แล้วแบบนี้จะไว้ใจให้เก็บทะเบียนสมรสได้ยังไง”
ฉันเถียงไม่ออก จึงทำได้แค่ยิ้มแหยๆ
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันต่อ”
พอได้ทะเบียนสมรสมาแล้ว จู่ๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
“ไปคุยกับคุณปู่ที่โรงพยาบาล”
ตอนนี้ฉันเพิ่งนึกเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ จึงลองถามเขาอย่างระมัดระวังว่า “เรื่องเมื่อวานนี้ พ่อของคุณ…”
รถหยุดลงเพราะข้างหน้าติดไฟแดงพอดี ลู่จือสิงหันมามองฉัน เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ตอนนี้จำได้ขึ้นมาแล้วเหรอ? เมื่อวานนี้ตอนอยู่บนเวทีเธอกล้ามาก ไม่เกรงกลัวอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”
เขาทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว “ตอนนั้นฉันไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
ฉันไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าลู่จือสิงจะแต่งงานกับฉัน แน่นอนว่าฉันบอกเรื่องนี้กับเขาไม่ได้เด็ดขาด
เขาทำเสียงฮึ่มในลำคอเบาๆ และเลิกจ้องฉัน ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น “ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
เมื่อเขาไม่อยากพูดถึง ฉันจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมคุณปู่ของเขาถึงเข้าโรงพยาบาล ดูเหมือนช่วงที่ฉันเลิกลากับลู่จือสิงจะมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลลู่เช่นกัน
ลู่จือสิงพาฉันเข้าไปในโรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปก็พบว่าจงฮุ่ยหรานอยู่ในนั้นก่อนแล้ว
ฉันหันไปมองลู่จือสิงโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเขาเย็นชามาก เขากระชับมือฉันแน่นขึ้น ไม่แม้แต่จะชายตามองจงฮุ่ยหราน “คุณปู่”
จงฮุ่ยหรานชักสีหน้านิ่งเฉยขณะเหลือบมองฉันก่อนจะหันไปมองลู่จือสิงเต็มตา “จือสิง เมื่อวานนี้พอเธอออกไปแล้ว พ่อของเธอ…”
“คุณจงครับ รบกวนคุณออกไปข้างนอกได้ไหม ผมกับคุณปู่มีเรื่องจะคุยกันภายในครอบครัว”
เขาหันไปบอกจงฮุ่ยหรานเป็นเชิงบังคับ เธอหน้าเจื่อนลงและกัดฟันแน่นจนริมฝีปากสั่น แต่ท้ายที่สุดก็ยอมออกไป
“ซูยุ่น ปิดประตู”
ทันทีที่จงฮุ่ยหรานเดินออกไป ลู่จือสิงก็สั่งให้ฉันปิดประตู เมื่อฉันหันไปจึงเห็นว่าจงฮุ่ยหรานกำลังจ้องมองลู่จือสิงด้วยสายตาถมึงทึง ผิดจากความอ่อนแอที่แสดงให้เห็นเมื่อครู่
พอเห็นว่าฉันมองอยู่เธอก็ชะงักไป เหลือบมองฉันราวกับกำลังพิจารณา จากนั้นจึงก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ฉันปิดประตูลงให้สนิทแล้วเดินไปยืนข้างๆ ลู่จือสิงและคุณปู่ แล้วลู่จือสิงก็พูดขึ้นว่า “คุณปู่ครับ วันนี้ผมกับซูยุ่นไปจดทะเบียนกันมาแล้ว เธอเป็นหลานสะใภ้ของคุณปู่แล้วนะ”
ขณะที่พูดอยู่นั้นเขาก็เอื้อมมือโอบเอวฉันดึงเข้าไปแนบกาย “เรียกคุณปู่สิ”
“หือ?” ฉันงง แต่พอรู้ตัวก็รีบทำตาม “คุณปู่”
ปู่ของเขาดูอ่อนแรงมาก แต่ท่านก็ยิ้มให้ฉัน ไม่เหลือเค้าความเข้มงวดเหมือนครั้งแรกที่พบกันเลย “แล้วพวกเธอวางแผนจะจัดงานแต่งกันเมื่อไหร่ล่ะ”
ฉันหันไปมองลู่จือสิงโดยอัตโนมัติ เขาเองก็ก้มลงมองฉัน “เธอคิดว่าไงซูยุ่น”
ฉันกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลือกฉันเลยต้องบอกไปว่า “ยายของฉันเพิ่งเสียไปไม่นาน ปีนี้คงยังไม่เหมาะจะจัดงานแต่งค่ะ”
พอพูดจบฉันก็มองไปที่คุณปู่ด้วยความกังวลเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นความผิดปกติบนใบหน้าของท่านฉันจึงรู้สึกโล่งใจ
คุณปู่ถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ลู่จือสิงเล่าว่าเรื่องวุ่นวายที่ฉันก่อเมื่อวานเป็นเพราะเขาทั้งหมด เขาบอกว่าเป็นเพราะตอนแรกเขาไม่ยอมตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจึงทำลงไปแบบนั้น
เมื่อออกมาจากห้องคนไข้ ฉันอดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า “ทำไมคุณไม่เล่าความจริงให้คุณปู่ฟังล่ะ”
“ความจริงคืออะไรล่ะ?”
“ความจริงก็คือตอนแรกฉันไม่ตกลงแต่งงานกับคุณ แต่ก็มารู้สึกเสียใจทีหลัง เลย…”
“เข้าใจล่ะ ความจริงมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? ยังไงเราสองคนก็แต่งงานกันแล้ว เธอหนีไม่พ้นหรอก”
“แต่ว่า…” จะพูดยังไงดีล่ะ ยิ่งเขารับความผิดไว้เองแบบนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด
“ไม่ต้องแต่แล้ว หาอะไรกินกันไหม กินอะไรรองท้องสักหน่อย จะได้ไม่ต้องมาบ่นหิวทีหลัง”
ฉันคิดมาตลอดว่ามีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดของลู่จือสิง แต่ตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ถูก
หลังจากกินอาหารเสร็จลู่จือสิงก็พาฉันกลับไปที่บ้านของฉันอีกครั้ง เขาบอกให้ฉันเก็บข้าวของก่อนจะพาฉันกลับไปที่คอนโด
ฉันไม่คิดว่าหลังจากผ่านมาสามเดือนฉันจะมีโอกาสกลับมาที่ห้องนี้อีก
ขณะมองทุกอย่างที่คุ้นตา ใจฉันกลับรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่ฉันยังคิดอะไรเพลินๆ ลู่จือสิงก็เข้ามากอดฉันจากทางด้านหลัง เขาจุมพิตเบาๆ ที่คอของฉันและไล่มาเรื่อยๆ ฉันเกร็งตัวขึ้นนิดหนึ่งและค่อยๆ ดันตัวเขาออก “ลู่จือสิง…”
“หือ?”
เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจและไม่ได้หยุดมือของตัวเองเลย เพียงไม่นานเขาก็ถอดเสื้อผ้าของฉันออกจนหมด ฉันพยายามใช้มือหยุดเขา แต่เขากลับกระซิบที่ข้างหูฉันว่า “ซูยุ่น… เราเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันหมาดๆ วันนี้เลยนะ”
เสียงทุ่มต่ำที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ร่างกายของฉันอ่อนยวบในทันที
เห็นได้ชัดว่าต้องกลายเป็นเหมือนเมื่อคืน…. ทว่าวันนี้ลู่จือสิงไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด เขาเรียกร้องฉันไปถึงห้าครั้งกว่าจะยอมหยุด
ตอนนี้ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ฉันนอนอยู่บนที่นอนและไม่อยากขยับตัวทำอะไรอีก
ลู่จือสิงนอนตะแคงหันมาทางฉัน มือข้างหนึ่งลูบไล้อยู่ที่เอวของฉันอย่างที่มักจะทำอยู่เสมอ เขาเย้าแหย่อย่างสนุกเช่นนี้ตลอด ฉันยกมือขึ้นตีเขาเบาๆ “คุณอย่าบีบตรงนั้นสิ”
ทันทีที่เสียงของฉันหยุดลง เขาก็เลื่อนมือขึ้นมาวางบริเวณหน้าอกของฉัน “แล้วบีบตรงไหนดีล่ะ ตรงนี้ดีไหม”
เขาทำให้ฉันอายจนหน้าแดง ฉันจับมือของเขาออก ดึงผ้าห่มมาไว้ที่ตัวแล้วพลิกตัวไปอีกทาง
เขาได้แต่จ้องฉันอยู่แบบนี้ “ซูยุ่น ถ้าอยากเห็นฉันก็บอกมาตรงๆ ไม่เห็นต้องดึงผ้าห่มออกเลย”
ตอนนี้ฉันเพิ่งพบว่าเนื้อตัวของเขาเปลือยเปล่าเนื่องจากผ้าห่มมากองอยู่บนตัวของฉันจนหมด
ฉันรีบแบ่งผ้าห่มกลับไปให้เขา ทันใดนั้นเขาก็ดึงทั้งผ้าห่มและฉันเข้าไปแนบชิดกับอกกว้าง เมื่อฉันพยายามดิ้นเขาก็กดคางลงมาบนศีรษะของฉัน “อย่าขยับ ให้ฉันกอดนะ”
ฉันหยุดดิ้นแล้ว… ภายในก็ห้องเงียบมาก เราแอบอิงกันแนบชิด ได้ยินเสียงลมหายใจของเขาค่อยๆ สม่ำเสมอ… ตั้งแต่เกิดมา ฉันคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุด
ทว่าเมื่อนึกถึงลู่จือสิง ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
“ลู่จือสิง ถ้าฉันทำอะไรที่ไม่ดีลงไป คุณจะให้อภัยฉันไหม”
ในที่สุดฉันรวบรวมความกล้าสารภาพออกมา แต่กลับพบว่าลู่จือสิงหลับไปเสียแล้ว
ไม่เหลือความเย็นชาอยู่บนใบหน้าที่กำลังหลับไหลของเขา ใบหน้าของลู่จือสิงที่ซุกอยู่กับผ้าห่มตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากใบหน้าของเด็กชายตัวโตๆ เลยสักนิด
ขณะที่มองเขาฉันก็ตัดสินใจละทิ้งความคับแค้นใจระหว่างตัวเองกับลู่เว่ยกั๋ว นี่คือทางที่ดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตกับลู่จือสิง
เนื่องจากตอนกลางวันนั้นวุ่นมาก ตอนกลางดึกลู่จือสิงจึงสั่งอาหารขึ้นมากิน หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จพวกเราก็พักผ่อนกันครู่หนึ่งจึงกลับเข้านอนอีกครั้ง
เช้าวันต่อมาระหว่างที่ยังหลับ อยู่ๆ โทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น เมื่อมองดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลก จนสายตัดไปครั้งหนึ่งก่อนจะโทรมาเป็นครั้งที่สอง
“ใคร?”
“ไม่รู้ เบอร์แปลกน่ะ”
ฉันพูดพลางกดรับโดยไม่คิดอะไร คิดไม่ถึงว่าปลายสายจะเป็นเสียงของลู่เว่ยกั๋ว “ลู่จือสิงอยู่ไหน”
ฉันหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ดีดตัวลุกขึ้นนั่งและหันไปมองลู่จือสิงอย่างมึนงง “โทรศัพท์จากพ่อคุณ”
ใบหน้าของลู่จือสิงเคร่งขรึมขึ้นทันที หยิบโทรศัพท์ไปจากฉันและลุกออกไปคุย
ฉันไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน พอลู่จือสิงนำโทรศัพท์มาคืนฉัน สีหน้าของเขาดูไม่ดีเลย “ผมออกไปข้างนอกก่อนนะ กินข้าวเที่ยงได้เลย ไม่ต้องรอผม”
เขาไม่พูดอะไร แต่ฉันรู้ว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของฉันกับเขาแน่ๆ ลู่เว่ยกั๋วจึงเรียกหาเขาแบบนี้
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมา ถ้าฉันไม่ไปสร้างความวุ่นวายในงานวันเกิดของลู่เว่ยกั๋ว พ่อของเขาก็คงไม่โกรธ และลู่จือสิงก็คงไม่ต้องมาพบเจออะไรแบบนี้
MANGA DISCUSSION