“ซูยุ่น”
ฉันเผลอหลับไปขณะที่นั่งอยู่บนเตียงเพราะเมื่อคืนฉันไม่ได้นอนเลย เมื่อตื่นมาก็พบลู่จือสิงยื่นอยู่ข้างเตียงของฉัน
ฉันได้กลิ่นบุหรี่ทันทีที่เขาเริ่มเอ่ยปาก
เขาก้มลงมองฉันด้วยสายตาที่ทำให้ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อยและช่วยพยุงฉันให้ลุกขึ้นนั่ง “มีอะไรหรือ”
“ผลตรวจครรภ์ครั้งก่อนออกมาดีไม่ใช่หรือ”
ฉันพยักหน้าตอบเขา เมื่อนึกถึงลูกขึ้นมาก็รู้สึกเศร้าจนน้ำตาไหลพาลไหลออกมาคลอเบ้า “ใช่ค่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้”
ไม่รู้ว่าฉันมองผิดไปหรือเปล่า แต่ฉันเห็นลู่จือสิงยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งและเย็นชาจนฉันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
ฉันคิดแค่ว่าคงมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเขาแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงยื่นมือออกไปจับมือเขาโดยไม่รู้ตัว “หมอว่ายังไงบ้างคะ”
ตั้งแต่เกิดเรื่องฉันยังไม่มีเวลาถามเลยว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เมื่อฉันพูดจบลู่จือสิงกลับสะบัดมือฉันออก “เธอมีพี่ชายใช่ไหม?”
ฉันใจหายทันทีเมื่อรู้ว่าเขากำลังเข้าใจผิด จึงรีบบอกไปว่า “ลู่จือสิง ฟังฉันก่อน ฉันก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าพี่ชายของฉันไปพบพ่อของคุณโดยบังเอิญ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาขอเงินพ่อคุณ”
เขาหันมามองฉันพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ ที่แฝงอยู่ในแววตา “ไม่รู้จริงๆเหรอ หรือว่าจนถึงตอนนี้เธอยังเล่นละครอยู่”
ฉันชะงัก จับมือเขาไว้หลวมๆ และมองอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณหมายความว่ายังไง”
“อะไรรึ?… ช่างเถอะ เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง พรุ่งนี้ฉันต้องบินไปทำธุระที่ยุโรปครึ่งเดือน ระหว่างนี้เธอก็พักผ่อนให้เต็มที่แล้วกัน”
เขาเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่แล้วก็หยุด ไม่ยอมพูดสิ่งที่อยากพูดออกมา
ฉันรู้สึกเจ็บที่หัวใจเมื่อเฝ้ามองเขาหันหลังเดินจากไป จึงตัดสินใจลงมาจากเตียงพร้อมกับเรียกให้เขาหยุด “ลู่จือสิง”
“มีอะไรอีก?”
“ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่ฉันไม่รู้เรื่องที่พี่ชายของฉันขอเงินพ่อคุณจริงๆ” พูดมาถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนพูดไม่ออก ฉันไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเขาจึงได้แต่ฝืนกลั้นเอาไว้
“มีอะไรอีกไหม?”
ความเฉยชาของเขาเป็นเหมือนค้อนทุบลงมาบนศีรษะฉันอย่างแรง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่กำลังสูญเสียซึ่งทุกสิ่งอย่าง
หากเขาเลือกแล้วว่าจะไม่เชื่อ… ต่อให้ฉันพูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ
ฉันยิ้มอย่างหมดหวังและหันหลังกลับไปที่เตียง “ไม่มีอะไรแล้ว”
ฉันรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่พูดจบ สุดท้ายก็อดไม่ได้จึงถามไปว่า “ลู่จือสิง… เราจะยังแต่งงานกันอยู่ไหม?”
เขาไม่ตอบคำถามฉัน… ความเงียบที่ยาวนานทำให้ฉันคิดว่าเขาจากไปแล้ว แต่ฉันรู้ว่าเขายังไม่ไปไหน
ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าเขาจะหันกลับมามองฉัน ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้ม ทว่าสายตานั้นกลับเย็นชา “เธอคิดว่าไงล่ะ ซูยุ่น”
ฉันยิ้มออกมา แต่นัยน์ตาเริ่มมีน้ำใสๆ คลอจนมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน “ฉันเข้าใจละ คุณไปเตรียมตัวเดินทางเถอะ แล้วเรา… ค่อยคุยกันหลังจากคุณกลับมา”
“จากกันด้วยดีนะ” ท้ายที่สุดฉันก็พูดคำนี้ออกไป
ลู่จือสิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะก้าวออกจากห้องพักผู้ป่วยไปโดยไม่มีการหยุดรั้งใดๆ อีก
น้ำตาที่ฉันฝืนกลั้นมานานค่อยๆ ไหลผ่านแก้มลงมาจรดริมฝีปาก ท่วมท้นไปถึงภายในใจที่แห้งแล้งของฉัน
ฉันพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกราวหนึ่งสัปดาห์ มันนานจนฉันเกือบทนไม่ไหว แต่สุดท้ายก็ได้ออกมาเสียที
ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลฉันบังเอิญเจอหยาวตันตันกับถันฮ่าวอวี่ รอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าของทั้งคู่ดูช่างแตกต่างกับใบหน้าที่ซีดเซียวของฉันเหลือเกิน
“ออกจากโรงพยาบาลแล้วรึว่าที่น้าสะใภ้?”
แค่เรื่องลูกและลู่จือสิงก็ทำให้ฉันหมดเรี่ยวแรงแล้ว ตอนนี้ฉันจึงไม่อยากมีเรื่องกับหยาวตันตันอีก แม้จะรู้ว่าคำพูดของเธอเต็มไปด้วยความสะใจ แต่ฉันก็ไม่คิดจะโต้ตอบและตัดสินใจเดินเลี่ยงไป
แต่เห็นได้ชัดว่าหยาวตันตันไม่ต้องการปล่อยฉันไป เธอยื่นมือออกมาขวางฉันไว้ “ทำไมรีบไปนักล่ะว่าที่คุณน้า ไม่ใช่เพราะรู้ว่าคุณน้าไปฝรั่งเศสเพื่อรับรักแรกของเขากลับก็เลยกลัวหรอกนะ”
“หมายความว่าไง”
“หมายความว่าไง? ยังไม่เข้าใจหรือ? น้าของฉันไปยุโรปครั้งนี่ รักแรกของเขาอยู่ที่นั่น ไปครั้งนี้ก็เพื่อรับรักแรกของเขากลับมา เธอไม่รู้หรือไง”
คำพูดของหยาวตันตัน ไม่ต่างอะไรจากหนามแหลมที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของฉัน ฉันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น รู้สึกเย็นเยียบไปทั่วร่างกาย
MANGA DISCUSSION