หลังจากที่หลู่จือสิงออกไปแล้ว ฉันก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ฉันปรับโหมดหม้อหุงข้าวเสร็จก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร จัดเตรียมเสร็จถึงจะขึ้นชั้นบนเพื่อไปอาบน้ำ
ตอนลู่จือสิงเดินลงมา เขาเพิ่งจะลงมาจากลู่วิ่งหมาดๆ ยังมีเหงื่อออกเต็มศีรษะ ขณะที่แสงแดดสาดส่องมายังช่วงบนตัวเขา ขับให้ดูเซ็กซี่เบาๆ
"โจ๊กเสร็จแล้วเหรอ?"
พอได้ยินคำพูดของเขา ฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองใจลอยไปแล้ว จึงรีบกลับเข้าห้องครัว และเอาเนื้อหมูใส่ลงไป
ขณะที่กำลังทานอาหารเช้าก็มีเสียงกดออดขึ้นอีก คราวนี้ลู่จือสิงไม่ได้ให้ฉันไปเปิดประตูเเล้ว เป็นเขาเดินไปเปิดเอง
ขากลับมาเขาหิ้วถุงมาด้วย: "ชุดอยู่ในนี้"
ฉันอึ้งเล็กน้อย แล้วรีบยื่นมือไปรับมา: "ขอบคุณค่ะ"
ฉันมารู้ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าว่า ลู่จือสิงให้คนอื่นเตรียมชุดชั้นในให้ฉันด้วย แถมไซส์——ยังพอดีเป๊ะ!
พอออกมาฉันก็เห็นลู่จือสิงเปลี่ยนเป็นชุดสูทสีดำแล้ว วันนี้ฉันต้องไปรายงานตัวที่บริษัทเฟิงเหิงเช่นกัน จึงเดินตามเขาไปขึ้นรถ
พอรถใกล้จะถึงบริษัท ฉันก็ขอให้ลู่จือสิงจอดรถ
"เกิดอะไรขึ้น?"
ฉันปลดล็อคเซฟตี้เบลไปด้วยตอบเขาไปด้วย: "ฉันขอลงตรงนี้ดีกว่าค่ะ ไม่งั้นมีใครมาเห็นเข้าคงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะค่ะ"
พอฉันพูดจบ ใบหน้าของลู่จือสิงก็กลับมาเย็นชาอีกแล้ว
ฉันเลยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น: "ประธานลู่ ฉันลงรถก่อนนะคะ"
พูดเสร็จฉันก็ผลักประตูลงจากรถ
พอลงจากรถแล้ว รถของลู่จือสิงก็ห่างตัวฉันออกไป
หลังจากเห็นเงารถเข้ามุมหายไปแล้ว ฉันก็ขำออกมาอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าลู่จือสิงคนนี้จะดูเย็นชาไปสักหน่อย แต่บางครั้งก็ชวนดูไร้เดียงสาดี
วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของฉัน แต่ก็ยังไม่มีงานอะไรให้ทำเท่าไหร่ เพื่อนร่วมงานในออฟฟิคดูแลฉันดีมาก พอรู้ว่าฉันเพิ่งเข้ามาใหม่ก็เข้ามาชี้แนะหลายอย่างเลย
ตลอดช่วงเช้า ฉันเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทเฟิงเหิงขึ้นมาก แล้วยังมีเรื่องโครงการในปัจจุบันของแผนกฉันอีก
คืนนี้ที่แผนกจัดงานเลี่้ยงต้อนรับฉันและเพื่อนร่วมงานอีก 4 คนเข้าทำงานเป็นวันแรก
พวกเราทานอาหารค่ำกันในโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่ง ทานเสร็จแล้วก็ตรงไปที่ร้านเย่ฮวาเพื่อเหมาห้องคาราโอเกะ
ตอนทานอาหารค่ำ ฉันดื่มชาไปเยอะ พอนั่งลงไม่นานก็อยากไปเข้าห้องน้ำ
ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอถันฮ่าวอวี่ที่นี่ เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แค่ได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นฉันก็รู้แล้วคนที่กำลังคุยด้วยเป็นใคร
ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าตลอด 4 ปีนั้น เขาไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับฉันมาก่อนเลย
แสดงว่าความรู้สึก 4 ปีนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลยเหรอ?
ฉันไม่รู้เลย และไม่รู้ว่าจะรู้ได้อย่างไร
"ซูยุ่น?"
ฉันไม่รู้ว่าถันฮ่าวอวี่คุยโทรศัพท์เสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ พอคิดจะเดินออกก็ไม่ทันแล้ว
ทำได้เพียงเงยหน้ามองเขา พยายามรักษาอารมณ์ให้มั่นคง: "บังเอิญจังเลยนะ คุณถัน"
"เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงไม่ใช่ตามฉันมาหรอกนะ?"
คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้ฉันโกรธแต่กลับขำออกมาแทน: "ถันฮ่าวอวี่ ใครทำให้คุณมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้? เหลียงจิ้งหรูเหรอคะ? คุณใช้ตาข้างไหนมองเห็นว่าฉันตามคุณมาเหรอคะ?"
"ไม่งั้นเธอจะเอาแต่มองฉันทำไม?"
ฉันยิ้มเยาะออกมา "ฉันก็แค่อยากมองท่าทางของไอ้สารเลวให้แน่ชัด ทีหลังจะได้ระวังหน่อยจะได้ไม่เจอคนชนิดเดียวกันอีก!"
"เธอ……….!ซูยุ่น ไม่ว่าเธอจะสะกดรอยตามฉันรึเปล่า แต่เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว แม้ว่าฉันกับตันตันจะอยู่ด้วยกันเพราะปัจจัยภายนอก แต่เธอเองก็ไม่ดูตัวเองเลย ทำตัวเหมือนตัวเม่นได้ทั้งวัน!"
"ถันฮ่าวอวี่ ต่อหน้าเธอฉันก็ทำตัวเหมือนตัวเม่นตัวหนึ่ง แต่อยู่ต่อหน้าลู่จือสิง มันไม่ใช่แบบนี้หรอกนะ"
พูดจบ ฉันก็หมุนตัวเดินออกไป
แต่เขากลับส่งคำพูดมาปลิดชีวิตฉัน: "ฉันกับตันตันกำลังจะแต่งงานกัน ไม่ว่าเธอจะเข้าใกล้ลู่จือสิงเพื่อจุดประสงค์อะไรก็ตาม เธอก็หยุดยั้งอะไรพวกเราไม่ได้"
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา ฉันก็รู้สึกเหมือนมีกองไฟมาสุมอยู่ในอก สิ่งที่ทุ่มเทไปใน 4 ปีนั้น เอาไปเลี้ยงสุนัขยังจะดีเสียกว่า!
ฉันหันหลังกลับไปมองเขา เอ่ยปากพูดทุกคำทุกประโยคว่า: อ้อเหรอคะ? งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ นะคะ เมื่อถึงตอนนั้นคุณก็คงต้องเรียกฉันว่าคุณน้าสะใภ้แล้วล่ะค่ะ!"
สีหน้าของถันฮ่าวอวี่เปลี่ยนไปทันที ฉันนึกว่าในที่สุดฉันก็ทำร้ายเขาได้แล้ว แต่สายตาของเขากลับเอาแต่มองไปที่ข้างหลังฉัน: "คุณน้า…….ประธานลู่!"
MANGA DISCUSSION