ฉันมือสั่นและเกือบจะหยุดรถ แต่ก็ยังรั้งไว้ได้และเหลือบมองเขาโดยไม่พูดอะไร
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อไม่นานนี้ฉันเห็นเขา ที่แท้เขาก็ย้ายมาอยู่ใกล้คอนโดฉัน
ฉันไม่พูดอะไร เขาก็ไม่พูดอะไร ภายในรถเงียบมากจนอยากจะขับรถให้เร็วขึ้น
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ฉันกับลู่จือสิงก็ลงมาจากรถ
เมื่อลงจากรถเขาก็ยังเดินตามฉัน จนฉันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า:“ลู่จือสิง คุณไม่ต้องตามฉัน !”
เขาก้มมองฉันด้วยท่าทีไร้เดียงสา:“ ผมไม่ได้เดินตามคุณ ผมก็พักอยู่ตึกนี้ ”
ฉันอึ้งไปชั่วขณะ ไม่พูดอะไรออกมาและกดลิฟต์ชั้นที่จะไป
ลู่จือสิงเดินตามเข้ามาและกดลิฟต์ เมื่อฉันมองดูชั้นของเขา ใจฉันก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
เดิมทีฉันคิดว่าเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกับฉัน แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะอยู่ชั้นบนบ้านฉัน
ลิฟต์กำลังขึ้นไปเรื่อยๆ ในใจฉันก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่า:“คุณย้ายขึ้นไปชั้นบนบ้านฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
“ ครึ่งปีก่อน ”
“ครึ่งปีก่อน ?”หน้าฉันซีดเซียวลง:“ตอนที่คุณส่งเอกสารของทนายมาให้ฉัน คุณก็รู้แล้วว่าฉันอาศัยอยู่ที่นี่ ?”
“ อืม ”
ฉันไม่รู้จะพูดะไร มีความรู้สึกโกรธแต่ยิ่งไปกว่านั้นคืออารมณ์ว้าวุ่นที่กดดันฉัน จนฉันไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไร
โชคดีที่ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี
ฉันเดินออกมา แต่ครั้งนี้ลู่จือสิงไม่ได้เดินตามฉันออกมา:“คุณกลับไปพักผ่อนให้สบายเถอะ”
ฉันขมวดคิ้ว มองไปที่ประตูลิฟต์ที่ค่อยๆปิด ในที่สุดใบหน้าของเขาก็ถูกประตูลิฟต์ปิดกั้นไว้
ฉันเดินกลับไปที่บ้าน เมื่อเดินไปครึ่งทาง ก็นึกขึ้นมาได้ว่า——ยาของเขายังอยู่กับฉัน !
จริงๆเลย !
หลังจากลังเลอยู่สองสามนาที ในที่สุดฉันก็กดลิฟต์
ลิฟต์ลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ลงไปข้างล่างเรื่องๆ ฉันจึงต้องรอให้ขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่จือสิงอาศัยอยู่ชั้นบนของบ้านของฉัน ดังนั้นขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น ฉันแค่เดินไปตามเส้นที่กลับบ้านก็ได้แล้ว
ฉันยกมือขึ้นกดกริ่งประตู ลู่จือสิงก็เปิดประตูทันที
“คุณขึ้นมาได้ยังไง ? ”
เขามองฉันด้วยความประหลาดใจ
ฉันยื่นยาที่อยู่ในมือส่งให้:“ ยาของคุณ ”
เมื่อฟังฉันพูด ดวงตาของเขาก็ดูเศร้าลง และเอื้อมมือมาหยิบมา “ คุณจะเข้ามาไหม ? ”
ฉันส่ายหัว ไม่ได้คิดที่จะเข้าไป:“ฉันกลับละ ถ้าคุณมีอะไร คุณก็เรียกหลี่จื้อเถอะ”
ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
คำพูดของฉันทำให้หน้าของเขาดูเศร้าลง ฉันคิดว่าเขาจะโกรธ แต่ปรากฎว่าเขาไม่ได้พูดอะไร
เงียบไปสองสามนาที ฉันหันกลับไปโดยไม่พูดอะไร
เดินไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นเขาก็เรียกฉันขึ้นมา:“ซูยุ่น”
ฉันไม่ได้หันกลับไป:“ยังมีอะไรอีกไหม ?”
“ผมปวดหัว อยากกินโจ๊ก รบกวนคุณทำให้ผมหน่อยได้ไหม ?”
ฉันกัดฟันหันกลับไปมองเขา และปฎิเสธ : “คุณสั่งมากินเถอะ ฉันไม่มีเวลา ”
“อืม”
เขาตอบกลับมาและไม่พูดอะไร เพียงแค่ใช้ดวงตาสีดำคู่นั้นมองฉัน เหมือนกับฉันเปิดประตูไปเจอสุนัขที่รอฉันให้อาหารอย่างนั้น
ฉันไม่มองเขาและหันกลับเข้าลิฟต์
กลับมาถึงบ้านก็ประมาณแปดโมงกว่าแล้ว ฉีซิ่วหรานออกมาจากห้องนอน:“ทำไมกลับมาเร็วจัง ?”
ฉันพยักหน้า “เขาหายไข้แล้ว ฉันกลับมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
“คุณกินข้าวเช้ารึยัง ?”
ฉันส่ายหัว:“ เป้ยเปยไม่ได้วุ่นวายใช่ไหม ?”
“ไม่ ร้องไห้แค่ตอนหิว ”
ฉันยิ้ม :“ถ้าไม่ใช่คุณ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”
ฉีซิ่วหรานไม่ตอบฉัน:“ฉันทำแซนวิส คุณจะกินไหม ? ”
อดมาทั้งคืน เช้านี้ฉันหิวจะแย่แล้ว ทำไมถึงจะไม่กินล่ะ
“ซูยุ่น ?”
ในขณะที่ฉีซิ่วหรานเรียกฉัน ฉันกำลังกัดแซนวิสพลางนึงถึงคำพูดของลู่จือสิงเมื่อครู่
เขาบอกว่าปวดหัว อยากกินโจ๊ก
เขาออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมกับฉัน ก็เกือบประมาณสิบชั่วโมงแล้วที่ไม่ได้กินอะไร
คำพูดของซิ่วหรานเรียกสติฉัน ฉันสลัดความคิดและถามว่า:“มีอะไรเหรอ ?”
“นมหมดแล้ว จะให้ฉันรินให้อีกแก้วไหม ? ”
ในตอนนี้ฉันถึงได้เห็นว่าแก้วของฉันว่างเปล่า แต่ก็ยังกระดกมันเข้าปากอยู่
รู้สึกอายเล็กน้อย “ไม่ต้องแล้ว ฉันกินอิ่มแล้ว”
เมื่อพูดจบ ฉันก็ยัดแซนวิสชิ้นสุดท้ายเข้าปาก หยิบกระดาษทิชชู่และพูดว่า “คุณจะไปบริษัทต่อไหม ?”
“ตอนบ่ายฉัน——”
ฉันรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงพูดแทรกขึ้นมาว่า:“ฉันกลับมาแล้ว คุณอย่าลางานเลย ฉันรู้สึกเกรงใจคุณจริงๆที่ทำให้คุณเสียเวลางาน”
“ซูยุ่น——”
ฉันคุยกับฉีซิ่วหรานเกือบห้านาที ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไปทำงาน
เมื่อฉีซิ่วหรานกลับไปฉันก็มาดูเป้ยเปย เป้ยเปยนอนหลับสบาย ฉันนอนอยู่บนเตียงว่าจะนอนพักสักหน่อย
แต่เมื่อนอนอยู่บนเตียง ทำยังไงฉันก็นอนไม่หลับ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องที่ลู่จือสิงพูดกับฉันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนว่าเขาอยากกินโจ๊ก
น่ารำคาญจริงๆ !
ในที่สุดฉันก็อดไม่ได้ลุกขึ้นมาทำโจ๊กหมู หลังจากนั้นก็เอาใส่กระติก และอุ้มเป้ยเปยขึ้นไปหาเขา
ครั้งนี้ลู่จือสิงใช้เวลานานมากกว่าจะเปิดประตู นานจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขามีปัญหาอะไรรึเปล่า
เมื่อฉันกำลังจะเคาะประตู เขาก็เปิดออก :“ ซูยุ่น ? ”
เขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ มีปอยน้ำบนผม เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งอาบน้ำ
เขาใส่เสื้อคลุมอาบน้ำแบบหลวมๆเป็นรูปตัวVทำให้เห็นกล้ามหน้าท้องของเขาอย่างชัดเจน
ตาของฉันสบเข้ากับมัน ทำให้หน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาและรีบหันหน้าหนี
เขาไม่ทันสังเกต “คุณ——”
ฉันยกกระติกขึ้นมา:“ทำโจ๊กมาให้คุณ คุณกินเสร็จแล้วกินยานอนพักผ่อนซะ ฉันจะพาเป้ยเปยลงไป——”
ฉันยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆเขาก็อุ้มเป้ยเปยมาจากรถเข็นและเดินเข้าไปข้างใน
“ลู่จือสิง คุณทำอะไร——”
ฉันตามเข้าไป เขาวางรถเข็นไว้ที่ห้องรับแขกและหันไปปิดประตู:“วันนี้อากาศไม่ดี มีเมฆมาก อย่าออกไปข้างนอกเลย”
“งั้นฉันจะกลับบ้าน”
ฉันวางกระติกลง และเอื้อมมือไปจับรถเข็น แต่ก็ถูกเขาจับมือและกดเข้ากับกำแพง
ลู่จือสิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กลิ่นเจลอาบน้ำบนตัวเขาหอมมาก เมื่อก่อนเราใช้เจลอาบน้ำนี้ด้วยกัน มันเป็นแบรนด์โปรดของฉัน
ไม่คิดเลยว่าเขาจะยังใช้อยู่
ใจของฉันเหมือนถูกอะไรบางอย่างต่อย
ลู่จือสิงก้มลงมองฉัน:“ ซูยุ่น เมื่อครู่คุณมองอะไร ?”
ฉันไม่ตอบสนอง:“เมื่อครู่ฉันมองอะไร ?”
จู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา นานแล้วที่ฉันไม่เห็นเขาหัวเราะ ตอนนี้เห็นเขายิ้มฉันก็อดไม่ได้ที่จะเขินอายเล็กน้อย
ทันใดนั้นฉันก็รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่มันก็สายไปแล้ว——
เสี้ยววินาที ฉันรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของฉันถูกเขาจับและกดร่างและหู-ของฉันแนบ เขาพูดไปด้วยพลางดึงมือฉันไปจับที่หน้าอกของเขา “เมื่อครู่เห็นคุณหลงใหลมันขนาดนั้น ไม่อยากสัมผัสหน่อยเหรอ ?”
MANGA DISCUSSION