เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินลู่จือสิงใช้น้ำเสียงแบบนี้เรียกฉัน พูดได้ว่า ใจฉันตอนนี้—-เต้นแรง
แต่ก็เบาลงในทันที
ตาของฉันร้อนผ่าว แต่ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างหนัก และมองเขาอย่างเย็นชา : “ คุณบ้าไปแล้วเหรอ ยังฉีดยาอยู่ได้ !”
เขาคลายมือออกเล็กน้อย แต่ยังก็ไม่ยอมปล่อย : “ ซูยุ่น อย่าไป “
เมื่อครู่เขาทำให้ฉันโกรธ ตอนนี้มากอดฉันห้ามฉันอย่าไปแบบนี้ ฉันจะไปไหนได้
แม้ว่าจะปากแข็งแค่ไหน ในใจก็ไม่สามารถควบคุมได้
ฉันหายใจเข้าลึกๆ :“ ไม่ไปไหนหรอก คุณปล่อยฉันก่อน ฉันจะเรียกพยาบาลมาช่วยคุณฉีดยา ”
น้าชายของหยาวตันตันก้มมองฉัน และคิดถึงความเป็นจริงในคำพูดของฉัน
สักพัก เขาก็ปล่อยฉัน และหันหลังกลับขึ้นเตียงไป
ฉันยกมือขึ้นกดกริ่ง และหันไปมองน้าชายของหยาวตันตัน พร้อมปรับอารมณ์ให้คงที่ : “ ลู่จือสิง ไม่ว่าคุณจะเข้ามาหาฉันด้วยจุดประสงค์อะไร แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ”
ระหว่างฉันกับเขา มีหนามใหญ่ขวางกั้นอยู่ ไม่เพียงแต่เขาหลอกใช้ฉัน แต่ฉันไม่สามารถเชื่อใจเขาอีกต่อไป
ฉันยอมรับว่าฉันไม่มีทางปล่อยเขา เหมือนกับว่าตอนนี้ไม่มีทางที่จะเพียงแค่หันหลังจากไป
แต่ฉันก็รู้ดีว่า ถึงแม้ว่าฉันจะรักเขามากพอที่จะอยู่ด้วยกัน แต่อดีตก็จะเป็นสิ่งที่ขวางกั้นเราไว้
เขาเคยหลอกใช้ฉัน อย่างไม่ต้องสงสัย
ความไว้ใจที่ฉันมีต่อเขา มันถูกทำลายไปจากสิ่งที่เขาทำกับฉันแล้ว
เหมือนกับมันเอ่อล้นออกมา มันไม่สามารถกลับไปได้แล้ว
ลู่จือสิงมองฉัน โดยไม่พูดอะไร
เมื่อครู่ฉันออกแรงในการตบเขา ทำให้ตอนนี้รอยตบนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น
“ ขอโทษนะ เมื่อครู่ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี ”
“ ซูยุ่น ฉันรู้ว่าคุณ——”
เมื่อเขากำลังจะพูด ทันใดนั้นพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามา “มีอะไรคะ ?”
ฉันชี้ไปที่เข็ม :“เขาทำเข็มหลุดค่ะ”
บางทีอาจเป็นเพราะรอยตบที่หน้าลู่จือสิง หลังจากพยาบาลฉีดยาเสร็จก็หันมามองฉัน “คุณหนู อย่าปล่อยให้แฟนของคุณทำอะไรตามใจ นอกจากแผลที่มือเขาจะลึกแล้ว อย่าทำให้แผลฉีกอีก”
ฉันกำลังจะเอ่ยปากอธิบายว่าความสัมพันธ์ของฉันกับลู่จือสิงไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อพยาบาลพูดจบ เขาก็เดินออกไปเลย ทิ้งให้ฉันนั่งปวดหัวอยู่ตรงนั้น
“ซูยุ่น ที่ผมพูดครั้งที่แล้วผมจริงใจ ไม่ใช่เพราะเป้ยเปยถึงกลับไปหาคุณ แต่ผมอยากกลับไปหาคุณ ผมยอมรับความผิดพลาดในอดีต แต่คุณเชื่อผมเถอะ ครั้งนี้ ผมไม่หลอกคุณแล้ว ผมรักคุณจริงๆ ซูยุ่น”
เขามองฉัน ทีละคำพูด ทีละประโยค ใบหน้าเขาดูอ่อนลง แต่ดวงตาคู่ดำนั้นดูสดใส
ฉันรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย แต่ว่าฉันไม่ใช่ซูยุ่นคนเดิมเมื่อสามปีก่อนอีกแล้ว ที่จะรู้สึกกับคำพูดไม่กี่คำของเขา
“ลู่จือสิง พวกเรากลับไปไม่ได้แล้ว”
เขาเป็นคนปากแข็ง :“พวกเราไม่ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอก แค่เริ่มต้นใหม่ก็พอ”
ฉันยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเขาแล้ว:“ คุณยังมีไข้ พักผ่อนก่อนเถอะ ฉันไม่ไปไหนหรอก”
เขาอ้าปาก เหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง
ฉันลุกขึ้นหยิบแก้ว:“ ฉันจะไปเติมน้ำให้คุณ จะได้กินยาและนอนพัก”
พูดจบ ก็เดินออกมาจากห้อง ไม่เปิดโอกาสให้ลู่จือสิงได้พูด
รับปากลู่จือสิงว่าจะไม่ไปไหน ฉันจึงนอนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
ยาลดไข้คงมีฤทธิ์ทำให้นอนหลับ ครั้งนี้ลู่จือสิงจึงนอนหลับสนิท
กลางดึกฉันให้พยาบาลมาถอดเข็มออก เขาก็ไม่ตื่นขึ้นมา
ประมาณตีสาม ในที่สุดฉันก็จับไม่ไหว จึงขึ้นไปนอนข้างลู่จือสิงบนเตียง
ด้วยความมึนงง ฉันรู้สึกว่ามือไปโดนอะไรบางอย่าง
ถึงแม้จะง่วงนอน แต่นอนทับแบบนี้ ฉันก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ดังนั้นเมื่อรู้สึกได้ว่ามือถูกสัมผัส ฉันก็จะสะดุ้งตื่นทันที
เมื่อฉันลืมตาขึ้นมา ก็พบว่ามือของลู่จือสิงจับมือฉันอยู่
ฉันคิดว่าเขาตื่นแล้ว จึงจะบอกให้เขาปล่อยมือ แต่เมื่อมองไปก็เห็นดวงตาที่ยังปิดสนิทของลู่จือสิง “ซูยุ่น——”
ริมฝีปากของเขาขยับ และพูดคำสองคำออกมาอย่างชัดเจน
ฉันรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเหมือนถูกอะไรทิ่มแทง แสบๆร้อน ทำให้คนรู้สึกแย่จริงๆ
ไฟในห้องหรี่ลง แสงไฟแบบนี้ ทำให้รอยตบบนหน้าของเขานั้นเห็นไม่ชัด มีแต่เพียงหน้าของเขาเท่านั้นที่เห็นชัดเจน
ไม่รู้ว่าเขาฝันถึงอะไรคิ้วของเขาถึงขมวด แต่หลังจากริมฝีปากของเขาเรียกชื่อของฉันแค่สองคำ ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย
ฉันพยายามลองเอามือออก แต่เมื่อฉันขยับ ลู่จือสิงกลับจับแน่นกว่าเดิม
กลัวว่าจะปลุกเขาตื่น สุดท้ายฉันจึงปล่อยให้เขานั่งแบบนั้น
ตอนกลางคืนอากาศเย็น และด้วยเครื่องทำความร้อนภายในห้อง ทำให้ฉันง่วงมากหลังจากผ่านไปสิบนาที ฉันก็เผลอหลับไปอีกครั้ง
ครั้งนี้กลายเป็นฉันฝัน ฉันฝันถึงฉันอยู่กับลู่จือสิงอีกครั้ง และเปลี่ยนนามสกุลของเป้ยเปยเป็นของเขา จากนั้นเขาก็อุ้มเป้ยเปยขึ้นสูงและนอนอยู่บนพื้นละฉันก็นอนหนุนตักของเขา “ซูยุ่น เธอนี่โง่จริง ผมหลอกคุณคุณก็เชื่อ คุณคิดว่าผมทำเพื่อคุณจริงเหรอ ? ผมทำเพื่อเป้ยเปย ผมไม่มีวันให้ลูกชายของผมเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อ !ส่วนคุณ จะเป็นไงก็ช่าง !”
เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาพูดอย่างจริงใจกับฉัน
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ลู่จือสิงกระซิบข้างหูว่า :“เป็นอะไรไป ซูยุ่น ?”
เมื่อเขาพูด ลมหายใจของเขาก็กระทบเข้าหูฉันอย่างชัดเจน
ฉันตัวแข็งและนึกได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลกับลู่จือสิง ฉันรีบลุกขึ้นนั่ง เขาก็ลุกตามและพูดว่า “ยังเช้าอยู่ คุณเป็นอะไร ? ”
ฉันมองเขาด้วยสายตาเย็นชา และกระโดดลงมาจากเตียง :“คุณอุ้มฉันขึ้นมา ? ”
เขามองฉัน โดยไม่ปฎิเสธ “ผมดูว่าคุณนอนไม่สบาย”
ถ้าเขาไม่ยอมรับฉันคงถามต่อ แต่เขากับพูดตรงๆ ฉันอ้าปากเตรียมจะพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ กินอ่อนไม่กินแข็ง
ฉันเลิกสนใจกับปัญหานี้และถามว่า “กี่โมงแล้ว ? ”
“ ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ”
ฉันพยักหน้าและยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเขา “ไข้คุณลดแล้ว ยังมีตรงไหนที่ไม่สบายอีกไหม ? ”
เขามองฉันอย่างไม่วางตา ถ้าหากผมยังไม่สบาย คุณจะยังอยู่กับผมไหม ?
สายตาของเขาตรงมองมาที่ฉัน
เมื่อรู้ตัวว่าฉันจะใจอ่อน จึงกำมือไว้และพูดว่า :“ในเมื่อไข้คุณลดแล้ว ฉันกลับก่อนนะ เมื่อวานทั้งคืนก็รบกวนให้ฉีซิ่วหรานดูแลเป้ยเปย”
ลู่จือสิงกระโดดลงจากเตียง:“ ถ้างั้นผมก็จะออกโรงพยาบาล”
ฉันเหลือบมองเขา “ตามใจคุณ ร่างกายคุณเอง”
ลู่จือสิงออกจากโรงพยาบาล เขาไม่พูดว่าจะไปไหน เปิดประตูและขึ้นไปนั่งบนรถฉัน
ฉันมองไปที่เขา อยากให้เขาลงรถไป แต่เมื่อเห็นว่าตอนเช้ามันวุ่นวาย สุดท้ายฉันก็ทนไม่ได้ สตาร์ทรถและถามว่า “คุณจะไปที่ไหน ? ”
“กลับคอนโด”
เรื่องนี้ทำฉันประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าเขาจะมากับฉัน
ฉันเม้มริมฝีปากถามว่า “คอนโดคุณอยู่ที่ไหน ? ”
“ใกล้กับคอนโดคุณ”
MANGA DISCUSSION