“ซูยุ่น เธอเป็นอะไร?”
ฉันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของฉีซิ่วหราน เมื่อดึงสติกลับมาก็เห็นว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใช้ตะเกียบคีบอะไรก็ไม่รู้อยู่นอกจานข้าว
ฉันอายเล็กน้อย
“ไปเจอเรื่องอะไรมาหรือเปล่า? ทำไมคืนนี้ดูใจลอยชอบกล”
ฉันไปเจออะไรมาน่ะหรือ?
ฉันไม่ได้เจออะไรทั้งนั้น แค่วันนี้ลู่จือสิงมีบางอย่างผิดปกติ
แต่ฉันบอกเรื่องนี้กับฉีซิ่วหรานไม่ได้ เมื่อคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ยิ้มแหยๆ “ไม่มีอะไร”
ฉีซิ่วหรานขมวดคิ้วแต่ไม่ถามอะไรอีก
อาหารเย็นมื้อนี้ผ่านไปอย่างเงียบเชียบกว่าปกติ เมื่อฉีซิ่วหรานไปแล้วฉันจึงจัดการเอาเสื้อผ้าไปซัก
ฉันมองไปยังที่นอนของเป้ยเปยและอดนึกถึงลู่จือสิงขึ้นมาไม่ได้
วันนี้เขาแทบไม่พูดอะไรเลย แถมยังไม่พยายามตามฉันเข้ามาด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่น ตอนนี้เอง เสียงออดประตูก็ดังขึ้น
แว๊บแรกฉันคิดว่าคงเป็นฉีซิ่วหราน เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ฉันรู้จักในเมือง D ยิ่งมาหาฉันกลางดึกขนาดนี้ ยังไงก็ต้องเป็นเขาแน่ๆ
ฉันเปลี่ยนชุดจากชุดนอนเป็นชุดลำลองและเดินไปเปิดประตูโดยไม่ได้มองตาแมว “ฉีซิ่วหราน นาย…”
ฉันชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นลู่จือสิง แล้วสีหน้าของฉันก็เยือกเย็นลงอย่างฉับพลัน “คุณมาทำไม?”
“ซูยุ่น ฉันไม่สบาย”
อยู่ๆ เขาก็ทิ้งตัวลงมาหาฉัน ตอนแรกฉันตั้งใจจะผลักเขาออก แต่มาถึงตอนนี้ฉันกลับทำไม่ได้
ตอนนี้ตัวของลู่จือสิงร้อนอย่างกับไฟเลยทีเดียว มิน่าเล่าวันนี้เขาถึงดูแปลกๆ
“คุณเป็นอะไรน่ะ”
ตอนแรกฉันมีคำพูดมากมายจะพูด แต่พอเขาเป็นแบบนี้ ฉันจึงต้องหักใจอย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่บอกอะไรนอกจากบอกว่าไม่สบาย
ไม่สบาย ไม่สบาย… ฉันมองเขาด้วยความโกรธที่เริ่มคุกรุ่น ทว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยประคองเขาเข้าไป
“คุณมาวัดไข้ก่อน”
ฉันพูดพลางส่งปรอทวัดไข้ให้เขา
ลู่จือสิงนั่งลงบนโซฟา สภาพของตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ที่ร่วงโรย ดูไร้ชีวิตชีวาต่างจากเวลาปกติโดยสิ้นเชิง เขาปิดเปลือกตาลงเล็กน้อยพลางเอนหลังพิงพนักแล้วเรียกชื่อฉัน “ซูยุ่น ซูย่น…”
เสียงนี้ทำให้ฉันนึกอยากจะปาผ้าขนหนูในมือใส่เขา
แต่สุดท้ายฉันก็ทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นไม่ลง ฉันหยิบปรอทวัดไข้มาแล้วบอกเขาว่า “ยกแขนขึ้น”
“ฟู่…”
อยู่ๆ เขาพ่นลมหายใจออกทางปาก จนฉันสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ลู่จือสิงชอบสวมชุทสูทและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ ตอนแรกฉันจึงไม่ทันสังเกตว่าที่แขนของเขามีเลือดออก
“ลู่จือสิง เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงเลือดไหล!”
ฉันมองเลือดที่เปื้อนมือและสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ครู่หนึ่งเขาจึงเงยหน้ามองฉัน ขณะที่เขาเรียกฉัน ฉันรู้สึกว่านัยน์ตาของตัวเองเริ่มแดงเรื่อ
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่”
“ฉันไม่สบาย”
เขายกมือขึ้นมาโอบฉันและกดศีรษะของฉันลงแนบอกของเขา ร่างกายของเขาร้อนรุ่มไปทั้งตัว
ฉันรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันทำอะไรได้ไม่มากนักจึงพยายามผละออกจากอ้อมกอดเขา “คุณรอเดี๋ยวนะ!”
เขาใช้มือข้างหนึ่งรั้งฉันไว้ “เธอจะไปไหน?”
“ฉันจะไปเรียกฉีซิ่วหรานมาช่วย!”
“อย่า!”
เขาปฏิเสธเสียงดัง
ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง “ถึงขนาดนี้แล้ว คุณอย่าขยับนะ ฉันจะไปตามฉีซิ่วหราน!”
ฉันบอกและรีบไปเคาะประตูบ้านฉีซิ่วหรานโดยไม่สนใจเขาอีก
“ฉีซิ่วหราน ฉีซิ่วหราน!”
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับลู่จือสิง แต่เมื่อเห็นมือที่เปื้อนเลือดจากแขนของเขา ฉันก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว
ฉีซิ่วหรานรีบมาเปิดประตูให้และยื่นมือมาประคองฉัน “เกิดอะไรขึ้น?”
“นาย… นายมานี่ที ลู่จือสิงเขา…. เขา…”
ฉันไม่รู้จะพูดยังไงจึงทำได้แค่พาเขาไปที่บ้านของฉัน
“คุณเป็นอะไรน่ะ ประธานลู่?”
ลู่จือสิงยกเปลือกตาขึ้นและเหลือบมองฉีซิ่วหราน “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ฉันยกมือขึ้นหยิกเขาเบาๆ “คุณยังจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรอีก เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่?”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ตายหรอกน่ะ”
เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาจับฉัน
ฉันตกใจรีบหยิบปรอทวัดไข้ออกมาดูจึงเห็นว่าเขามีไข้สูงถึงสามสิบเก้าองศา จึงรีบบอกให้ฉีซิ่วหรานให้พาเขาไปโรงพยาบาล “เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนและมีไข้ด้วย ไม่รู้ว่าอักเสบจากการติดเชื้อหรือเปล่า นายช่วยฉันพาเขาไปส่งโรงพยาบาลที”
“ซุยุ่น เธอไปกับฉัน!”
ฉันตีเขาเบาๆ ทีหนึ่ง “คุณหยุดเรื่องมากได้แล้ว ฉันแบกคุณไม่ไหว แถมยังต้องมีคนอยู่ที่นี่ดูแลเป้ยเปยด้วย!”
“เธอไปกับฉัน”
เขาดื้อรั้นจนอยากจะตบเข้าให้สักทีสองที แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าซีดขาวนั้นฉันก็ทำไม่ลง
ฉีซิ่วหรานหันมามองฉัน ฉันพยักหน้าให้ “ฉีซิ่วหราน นายอย่าไปสนใจเขา ฉันไปกับเขาไม่ได้”
ทันทีที่ฉันพูดจบลู่จือสิงก็ยกมือขึ้นโบกไล่ฉีซิ่วหราน เขาลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองแล้วมองตรงมาที่ฉัน “ฉันไปเองได้ ซูยุ่น เธอไปโรงพยาบาลกับฉัน ถ้าเธอไม่ไป ฉันก็ไม่ไป”
ลู่จือสิงเกือบจะทำให้ฉันร้องไห้ออกมาจริงๆ หากเขาดึงดันแบบนี้ เขาอาจไม่ให้ความร่วมมือเมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ได้ คิดแล้วฉันจึงหันไปขอร้องฉีซิ่วหราน “ฉีซิ่วหราน นายช่วยดูแลเป้ยเป้ยแทนฉันหน่อยได้ไหม ฉันจะพาเขาไปโรงพยาบาล”
เมื่อนึกถึงเลือดบนฝ่ามือของตัวเองฉันก็ไม่กล้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ คราวนี้ลู่จือสิงไม่พูดอะไรอีกและทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ฉัน
ฉันยกมือขึ้นพยุงเขา เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ฉีซิ่วหราน ขอยืมรถนายหน่อยได้ไหม”
“ระวังตัวด้วยนะซูยุ่น ถึงโรงพยาบาลแล้วบอกฉันด้วยนะ”
ฉันพยักหน้าให้และไม่มัวชักช้าอยู่อีก รีบประคองลู่จือสิงไปโรงพยาบาลทันที
ฉันสอบใบขับขี่ไว้นานแล้วแต่แทบไม่ได้ขับรถ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันขับรถเร็วขนาดนี้
เมื่อรถติดไฟแดงฉันก็อดหันไปมองลู่จือสิงไม่ได้ เขามองฉันแล้วยิ้มให้ “ซูยุ่น เธอยังเป็นห่วงฉันอยู่”
ฉันกัดฟันและยิ้มเยาะ “คุณบอกเองนี่ว่าคุณเป็นพ่อของเป้ยเปย ถ้าคุณตายฉันจะอธิบายกับเป้ยเปยยังไงล่ะ”
เขายิ้มนิดหนึ่ง ไม่ตอบคำพูดของฉัน ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดเซียวจนน่ากลัว
ปกติต้องใช้เวลาขับรถถึงครึ่งชั่วโมง แต่ฉันใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็พาลู่จือสิงมาถึงโรงพยาบาล
“หมอคะ! หมอ!”
เวลาดึกๆ แบบนี้ที่โรงพยาบาลมักมีแพทย์อยู่ไม่มากนัก โชคดีที่พอฉันพยุงลู่จือสิงเข้าไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีพยาบาลเข้ามาช่วย “สามีของคุณเป็นอะไรคะ”
“เขา…”
“มีไข้สามสิบเก้าองศา แผลอาจจะอักเสบ”
ลู่จือสิงเอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะ พอฉันได้ยินที่เขาพูดก็เลิกสนใจสิ่งที่พยาบาลพูดเมื่อครู่ เงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณไปโดนอะไรมา?”
“โดนอะไรมา?”
ฉันกับพยาบาลถามขึ้นมาพร้อมกัน
เขาเหลือบมองฉัน ก่อนจะหันไปตอบพยาบาลว่า “ถูกแทง”
ฉันตื่นตกใจ “ถูกแทง… คุณถูกแทงได้ยังไง ลู่จือสิง เกิดอะไรขึ้น…”
เขากุมมือฉันไว้ ฉันเพิ่งสังเกตว่าตัวเองกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่เป็นไร”
ฉันกัดฟันแน่น ปล่อยให้เขากุมมือไว้อย่างนั้น “ลู่จือสิง คุณจะให้ฉันมารับรู้ทำไม!”
MANGA DISCUSSION