หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ - ตอนที่ 110 คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?
“วะ วิธีอะไร?”
ไม่รู้ว่าทำไม ฉันถึงไม่อยากได้ยินวิธีของฉีซิ่วหราน แต่แววตาของเขานั้นดื้อรั้นจนฉันไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
“ซูยุ่น เราแต่งงานกันเถอะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉีซิ่วหรานกล่าวมานั้น ฉันตกใจมาก “อะไร จะเป็นไปได้อย่างไร! คุณ คุณอย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้!”
เดิมทีฉันคิดว่าฉีซิ่วหรานจะสารพภาพรัก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะวางระเบิดเช่นนี้
เรื่องการคบหากันนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่พูดคุยเรื่องจะแต่งงานกันเลย
ฉันไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะอยู่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา จนกระทั่งในตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิด แต่ในเวลานี้เขาบอกว่าเขาจะแต่งงานกับฉัน ฉันล่ะตกใจกลัวจริงๆ
ราวกับเขารู้ว่าฉันกำลังตกใจ “ซูยุ่น คุณอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้จะบีบบังคับคุณ ผมไม่ได้ล้อเล่นด้วย คุณฟังผมอธิบายก่อน”
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ฉันก็พอจะรู้ตัวว่าฉันอาจจะคิดไปไกลดังนั้นฉันจึงชี้ไปยังโซฟา “งั้นเรามานั่งคุยกัน?”
เขาพยักหน้าและเดินตามฉันมานั่งตรงโซฟา
ฉันใช้เวลาร่วมกับฉีซิ่วหรานมานาน เขาเป็นคนอย่างไรฉันเองก็พอรู้
เมื่อครู่นั้นฉันเองกำลังตกตะลึงกับคำว่า แต่งงาน ดังนั้นเลยคิดน้อยไป
ตอนนี้ฉันใจเย็นลงแล้ว ฉันก็รู้ว่าการที่ฉีซิ่วหรานกล่าวมาแบบนี้ เขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ฉันหยิบผลส้มขึ้นมา พลางปอกเปลือกและถามเขา “ความหมายของคุณคืออะไร?”
เขามองมาที่ฉัน “ตอนนี้ลู่จือสิงรู้แล้วว่าเป้ยเปยคือลูกของคุณ ซูยุ่น ฉันเคยถามคนอื่นว่าในสถานการณ์ปัจจุบันของคุณ หากว่าลู่จือสิงต้องการลูกไป คุณก็ไม่มีโอกาสทำอะไรเขาได้ หากว่าลู่จือสิงนั้นรอให้เป้ยเปยโตกว่านี้อีกหน่อย คุณจะไม่มีสิทธิ์ชนะเลย”
ฉันพยักหน้า ภายในใจนั้นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “ที่คุณพูดมา ฉันเข้าใจ ฉันเองก็ได้ไปหาข้อมูลมาบ้างแล้ว”
สถานการณ์ของเธอนั้นไม่ได้ดีเท่ากับลู่จือสิงเลย ตอนนี้เธอใช้เงินที่ลู่จือสิงมอบให้กับเธอก่อนที่เขาจะหย่ากับเธอ และเมื่อเธอคลอดเป้ยเปย เธอก็ไม่ได้บอกลู่จือสิง
นอกจากนี้ ลู่จือสิงและเฉินฮวนเหยียนกำลังจะแต่งงานกัน เขามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ส่วนฉันเป็นเพียงแม่เลี้ยงเดี่ยว ยากนักที่จะสู้รบกับเขา
“ตอนนี้เป้ยเปยยังเด็กมาก ลู่จือสิงก็อาจคิดเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังไม่ลงมือจัดการเรื่องเป้ยเปย แต่อีก2ปีข้างหน้านั้นอาจไม่แน่นอนนัก เมื่อถึงเวลาที่เป้ยเปยสามารถจากแม่ไปได้แล้ว ลู่จือสิงอาจจะเอาเป้ยเปยไปได้โดยไม่ยาก”
ฉันไม่ขัดกับบทสนทนาของเขา ทำได้เพียงแค่กัดฟันและฟังเขาพูดเท่านั้น
“ผมไม่ได้บีบบังคับคุณเรื่องแต่งงาน คุณรู้ว่าผมชอบคุณ ผมเองก็รู้ว่าคุณลืมลู่จือสิงไม่ได้ ถ้าคุณแต่งงานกับผม ผมก็จะมีทะเบียนสมรสให้กับคุณ คุณแต่งงานกับผมแล้ว ค่าใช้จ่ายของคุณกับเป้ยเปย ผมจะรับผิดชอบเองทั้งหมด เป้ยเปยและคุณจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ หากว่าลู่จือสิงต้องการตัวเป้ยเปย คำพูดของฉีซิ่วหรานทำให้ฉันตกอยู่ในการไตร่ตรอง ฉันรู้ว่าเขาพูดถูก แต่วิธีที่เขาพูดมานั้นแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นถูกฉันเอารัดเอาเปรียบ
และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไร เมื่อเห็นฉันเงยหน้ามองเขา เขาก็กล่าวดักคำพูดฉัน “ซูยุ่น นี่คือสิทธิ์ของผม คุณไม่ต้องรู้สึกผิด ผมมีความสุขที่ได้ช่วยคุณ”
“ฉัน—-”
ฉันนั้นไม่มีเหตุผลที่สามารถหักล้างคำพูดเขาได้
แต่เรื่องการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่
ฉันไม่อยากให้การแต่งงานครั้งที่สองของฉันนั้นจบลงอย่างไร้เหตุผล
ฉันอยากได้เวลาคิดอีกสักหน่อย”
เขาพยักหน้า “คุณไม่ต้องเก็บไปคิดมาก ผมแค่บอกคุณว่าแม้ว่าลู่จือสิงจะรู้แล้วว่าเป้ยเปยเป็นลูกของเขา พวกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีทางรับมือกับเขา ส่วนเรื่องการแต่งงานของผมกับคุณ คุณค่อยๆคิดก็ได้”
ทุกคนพูดของเขานั้นทำให้ฉันคิด ฉันเงยหน้ามองฉีซิ่วหราน ฉันรู้สึกซาบซึ้งจนอยากร้องไห้
“ดึกแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ”
เขาตบไหล่ฉันเบาๆจากนั้นก็ลุกขึ้นและจากไป
แต่คำพูดของซวี่ชิงหรานทำให้ฉันเริ่มตั้งคำถามมากมาย ที่ผ่านมานั้นฉันได้เพียงแค่หนี แต่มีเรื่องบางเรื่องที่ฉันไม่อาจหนีมันไปได้
ลู่จือสิงเป็นพ่อของเป้ยเปย เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้
คำพูดของฉีซิ่วหรานทำให้ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน วันถัดมาเวลาฟ้าใกล้จะสว่างฉันจึงจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
คำพูดของเขาเตือนสติฉัน ตอนนี้เป้ยเปยยังเด็กมาก ลู่จือสิงคิดอยากจะทำอะไรก็คงยังไม่สามารถทำได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันเองก็ผ่อนคลายลง
ในช่วงกลางเดือนเมษายน อากาศของเมืองDก็ได้อบอุ่นขึ้น แสงแดดข้างนอกนั้นกำลังดี ฉันจึงพาเป้ยเปยออกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์
คำพูดของฉีซิ่วหรานทำให้ฉันกังวลเรื่องลู่จือสิงน้อยลง แต่นี่ไม่ได้หมายความฉันจะยินดีที่จะพบเจอเขา
ดังนั้นเมื่อฉันได้เจอลู่จือสิงอีกครั้ง ฉันก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ “ประธานลู่ บริษัทใหญ่ของคุณไม่ต้องการคนดูแลบริหารหรืออย่างไร? คุณว่างมาเมืองDแทบทุกวันเชียวหรือ?”
เขามองมาที่ฉันและมองข้ามฉันไปจากนั้นก็ก้มศีรษะลงไปมองเป้ยเปย “สวัสดีเป้ยเปย ผมคือพ่อของคุณ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าฉันก็เปลี่ยนไปในทันที “ลู่จือสิง คุณช่วยมียางอายหน่อยได้ไหม?”
คงเป็นเพราะคำพูดฉันทำให้เขาไม่สบอารมณ์ ในตอนนี้เขาจึงลุกขึ้นและมองมาที่ฉัน “ผมไม่มียางอายตรงไหน?”
คำพูดคำจาของเขาทำให้ฉันนิ่งงันไปชั่วขณะ คำพูดนั้นฉันไม่มีคำตอบ แต่ฉันไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ “พวกเรา—”
“เป้ยเปยเป็นลูกของผม!”
ก่อนที่คำว่า “หย่าร้าง” จะถูกพูดออกไป เขาก็ขัดคำพูดของฉัน ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองฉันและยิ้มเยาะเย้ย “ซูยุ่น คุณเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวมาก!”
คำพูดของเขาทำให้ร่างกายของฉันแข็งทื่อ เมื่อนึกถึงความยากลำบากที่ฉันต้องเผชิญเพียงคนเดียวในเวลาสองปีที่ผ่านมา ดวงตาของฉันก็เริ่มแดงก่ำ “คุณมีสิทธิ์อะไรมากล่าวว่าฉันแบบนี้?”
ลู่จือสิงจ้องมองฉัน ดวงตาของเขาสั่นไหว เขาเอื้อมมือมาคิดจะสัมผัสตัวฉัน “ซูยุ่น—-”
“อย่ามาแตะต้องฉัน!”
ฉันหลบเขาโดยจิตใต้สำนึก ฉันไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขาและเข็นเป้ยเปยไปด้านหน้า
ฉันกลัวว่าเขาจะไล่ตามมา ฉันเดินออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นประมาณหนึ่งนาที ฉันหันกลับไปมองและพบว่าลู่จือสิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมและคอยเฝ้ามองฉัน การก้าวเท้าของฉันก็ค่อยๆช้าลง
เขายืนอยู่เช่นนั้น สายตาเขาจ้องมองมาที่ฉัน และฉันก็พบว่า ยิ่งนานเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าลู่จือสิงคิดอยากจะทำอะไรกันแน่
หลังจากวันนั้นที่เจอลู่จือสิง อีกไม่กี่วันต่อมา ฉันก็เจอลู่จือสิงอีก
ครั้งนี้ฉันเพิ่งกลับมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตพร้อมกับเป้ยเปย หลังจากลงจากรถแท็กซี่ก็เห็นลู่จือสิงยืนอยู่ตรงประตูชั้นล่าง
เขาเห็นฉันและค่อยๆเดินเข้ามา ฉันกำลังเข็นเป้ยเปยอยู่ ฉันอยากจะขว้างผลไม้ใส่หน้าเขา
แต่ฉันก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ฉีซิ่วหรานบอกแล้วว่าตอนนี้ฉันไม่ควรยั่วโมโหลู่จือสิง
ฉันกัดฟันแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ให้มากที่สุด “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”