ไม่กลัว
ฉันบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว แต่เมื่อมองลู่จือสิงที่กำลังสูบบุหรี่และกำลังจ้องมองมาที่ฉันนั้นร่างกายของฉันก็แข็งทื่อไปหมด
ฉันค่อยๆเข็นเป้ยเปยเข้าใกล้เขา ฉันคิดอยากจะหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
ภายในใจของฉันนั้นมีความลังเล ทันใดนั้นฉีซิ่วหรายก็ได้เดินนำหน้าฉัน เขาเข้ามาขวางระยะสายตาของฉันและลู่จือสิง
“ซูยุ่น”
ลู่จือสิงเรียกฉัน ฉันเม้มริมฝีปากและพบว่ามือของฉันนั้นเย็นเล็กน้อย
ฉันไม่ได้ตอบเขาและค่อยๆเดินตามฉีซิ่วหรานไป
เป้ยเปยที่อยู่ในรถเข็นเด็ก ดวงตาที่สดใสของเขากำลังจ้องมองฉีซิ่วหราน ฉีซิ่วหรานหยุดเดิน ฉันเองก็หยุดตามเขา
“ประธานลู่ ผมอยากคุยกับคุณ”
น้ำเสียงของลู่จือสิงนั้นหยิ่งผยอง “ผมไม่ได้อยากคุยกับคุณ ผมอยากจะคุยกับซูยุ่น”
บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ราวกับดาบที่พร้อมจะสู้รบกันตลอดเวลา
ฉันรู้ว่าครั้งนี้ที่ลู่จือสิงมานั้นเขาเตรียมตัวมาอย่างดี ฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถแอบซ่อนมันได้อีกแล้ว ฉันจึงเอื้อมมือไปคว้าฉีซิ่วหราน
ฉีซิ่วหรานหันกลับมามองฉัน เขาขมวดคิ้วแน่น ฉันส่ายหน้าและจ้องมองเขา ท้ายที่สุดเขาก็ถอยหลังออกมาและหลีกทาง
ฉันเงยหน้ามองลู่จือสิง “เดี๋ยวฉันให้เป้ยเปยนอนก่อน”
ลู่จือสิงเหลือบมองฉันจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปมองเป้ยเปยที่อยู่ในรถเข็น เขาเงียบไปและไม่ได้พูดอะไร
ความเงียบเพียงไม่นานนั้นสำหรับฉันมันเหมือนกับระยะเวลาที่ผ่านไปนานนับปี ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะผ่านช่วงเวลานี้ไปอย่างไรจนกระทั่งได้ยินเขาพูดว่า “อืม”
และหัวใจที่รู้สึกกดดันของฉันก็ได้ผ่อนคลายลง ไม่ว่าฉันและลู่จือสิงจะเป็นอย่างไร แต่ฉันไม่ชอบให้มีเรื่องอะไรมากระทบกับเป้ยเปย
เมื่อเปิดประตู ฉันก็อุ้มเป้ยเปยเข้าไป มองไปยังลู่จือสิงที่เดินเข้ามา ฉันอ้าปากค้างและสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้ก็เป็นเวลา 23.00 นาฬิกาแล้ว ฉันก็จะชงนมให้เป้ยเปย หลังจากดื่มนมเสร็จแล้วฉันก็อุ้มเขาอยู่ครู่หนึ่งและกล่อมเขาให้หลับ
เป้ยเปยนั้นเลี้ยงง่ายมาก เมื่อดื่มนมเสร็จแล้วเขาก็หลับไป ตราบใดที่เขาไม่หิว เขาก็จะไม่ร้องไห้โวยวาย
ทันทีที่ฉันวางเป้ยเปยลงบนเปล เมื่อฉันลุกขึ้นยืน ฉันก็เห็นลู่จือสิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตู
ฉันรู้ว่าเมื่อครู่นั้นเขาเฝ้ามองฉันและเป้ยเปยอยู่ตลอด ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าฉันนั้นรู้สึกอย่างไร ราวกับมีความรู้สึกผิดอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาใช้ประโยชน์และหลอกใช้ฉันในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นมานั้นได้หายไปจนหมดสิ้น
ฉันเดินออกมาและปิดประตูห้องนอนจากนั้นมองไปยังลู่จือสิง “คุณอยากคุยอะไร?”
“ฮึ” ลู่จือสิงสบถในลำคอ เขายกมือขึ้นและหยิบกระดาษจากแฟ้มมาให้ฉัน
“ซูยุ่น ผมไปตรวจดีเอ็นเอมาแล้ว เป้ยเปยคือลูกของผม!”
ฉันเพิ่งสังเกตว่าเขาถือแฟ้มเอกสารอยู่ในมือ ผลตรวจความเป็นพ่อนั้นได้วางอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันหน้าซีด ฉันกัดฟันแน่นและจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “แล้วยังไงเหรอ?”
ฉันได้เปรียบเขาและฉันจี้ถามเขา “ลู่จือสิง พวกเราหย่ากันไปนานแล้ว เป้ยเปยเป็นลูกของฉันเท่านั้น”
ทันทีที่เสียงของฉันเบาลง สีหน้าของลู่จือสิงก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายในทันที “เขาก็เป็นลูกของผมด้วย!”
เรื่องราวมาถึงวันนี้ ฉันรู้วึกว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว
ฉันกล่าวอย่างเย็นชา “ประธานลู่ ต้องให้ฉันเตือนสติคุณไหม? คุณเป็นแค่อดีตสามีของฉัน!”
สำหรับคำว่า อดีตสามี ฉันจงใจเน้นการออกเสียง
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ฉันก็ตัวสั่นด้วยความโกรธ ฉันก้าวไปเผชิญหน้าเขา “แล้วคุณล่ะ? ลู่จือสิง ในตอนที่คุณใช้ประโยชน์จากฉันเพื่อหุ้นของเฟิงเหิง หลังจากใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็เขี่ยฉันทิ้ง ตอนนี้คุณจะมีหน้ามาพูดเรื่องราวในตอนนั้นกับฉันอยู่อีกเหรอ!”
เขามองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่เย็นชา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเพราะคำพูดของฉัน
สิ่งเดียวที่ฉันกระทำผิดนั่นคือฉันให้กำเนิดเป้ยเปยโดยไม่บอกเขา แต่ความผิดของเขาล่ะ มีมากมาย
ฉันสูดลมหายใจเข้า หยิบเอกสารยืนยันความเป็นพ่อของเขาขึ้นมาและฉีกมัน จากนั้นฉันก็โปรยเศษกระดาษใส่หน้าเขา “ลู่จือสิง ฉันจะบอกให้ เป้ยเปยคือลูกของฉันคนเดียวเท่านั้น เขาเป็นลูกของฉัน!”
“ซูยุ่น!” จู่ๆเขาก็ยกมือขึ้นมาจับมือของฉันไว้ ก้มศีรษะมองฉันด้วยดวงตาสีแดงก่ำ “คุณอย่าบังคับผม!”
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ยินเรื่องตลกขบขัน “บังคับคุณ? ฉันไปบังคับอะไรคุณเหรอ? ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา คุณก็มีชีวิตของคุณ ฉันเองก็มีชีวิตของฉัน ฉันแค่หวังว่าระหว่างเรานั้นจะเป็นคนแปลกหน้าที่จะอยู่กันอย่างสงบสุข”
“ไม่ ผมเป็นพ่อของเป้ยเปย!”
“แล้วคุณทำหน้าที่พ่อแล้วเหรอ?”
“นั่นมันเป็นเพราะว่าคุณซ่อนลูกเอาไว้!”
ฉันแทบจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “เป็นเพราะว่าเราหย่ากันแล้วและมันคือสิทธิ์ของฉัน!”
และในทันใดนั้นเป้ยเปยที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้องก็ร้องไห้ขึ้น เสียงร้องไห้ทำให้ฉันค่อยๆสงบลง ฉันผงะไปชั่วขณะและปัดมือของลู่จือสิงออกในทันที “ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับคุณและไม่อยากจะคุยอะไรกับคุณอีก เรื่องระหว่างเรามันไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว”
หลังจากพูดจบ ฉันก็ก้าวเท้าเดินเข้าห้องไป
ฉันคิดว่าเป้ยเปยอาจจะปัสสาวะ แต่เมื่อตรวจดูแล้วก็เห็นว่าผ้าอ้อมนั้นสะอาดและไม่มีอะไรผิดปกติ
ฉันจึงอุ้มเป้ยเปยขึ้นมาและเขาก็ได้เงียบลง
เมื่อเห็นเขาแล้ว ฉันรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แม้แต่เป้ยเปยเองก็ยังไม่อยากให้ฉันทะเลาะกับลู่จือสิง
“ซูยุ่น ฉันไม่ยอมแพ้หรอก”
ลู่จือสิงได้ทิ้งท้ายประโยคเอาไว้และได้จากไป ฉันนั้นอยู่ในห้องพร้อมกับกอดเป้ยเปยเอาไว้หลังจากนั้นฉันก็กลั้นร้องไห้เอาไว้ไม่อยู่
เมื่ออารมณ์ของฉันเริ่มเป็นปกติ เป้ยเปยที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันก็ได้เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว
ฉันอุ้มเป้ยเปยกลับไปไว้ที่เปลจากนั้นก็เดินออกไปจัดการเศษกระดาษดีเอ็นเอที่ฉันได้ฉีกไว้
“เขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”
ในขณะนี้ ฉีซิ่วหรานก็ได้เปิดประตูและเดินเข้ามา
ฉันยิ้มเยาะ “เขาจะทำอะไรฉันได้?”
ฉีซิ่วหรานขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด “เขาก็เลยจากไปงั้นเหรอ?”
“แล้วไม่ใช่หรือไง แล้วเขาจะทำอะไรได้? ทุบตีฉันงั้นหรือ?”
ฉันแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย แต่จู่ๆฉีซิ่วหรานก็ได้คว้ามือฉัน “ซูยุ่น”
เขาก้มลงมามองฉัน ดวงตาสีดำคู่นั้นกำลังบอกให้ฉันกล่าวความจริง
ฉันดิ้นรนและดึงมือกลับ “ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมแพ้เรื่องเป้ยเปย”
ฉันรู้ว่าลู่จือสิงเป็นคนที่พูดจริงทำจริง แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร และฉันไม่มีทางที่จะสู้กลับ
ฉันรินน้ำหนึ่งแก้วและเดินออกมาจากห้องครัว พบว่าฉีซิ่วหรานยังคงยืนอยู่เช่นนั้น ฉันอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ฉีซิ่วหราน คุณเป็นอะไรไป?”
เขาหันกลับมามองฉัน สายตาคู่นั้นทำให้ร่างกายฉันเกร็งไปหมดและคิดอยากจะหลบหนี
“ซูยุ่น”
ฉีซิ่วหรานได้ก้าวเข้ามา ไม่รู้ว่าทำไม ฉันถึงรู้สึกว่าฉีซิ่วหรานในท่าทางแบบนี้นั้นฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“อ๊ะ?”
ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
เขารีบเดินเข้ามาหาฉัน ก้มศีรษะลงมามองฉัน การแสดงออกของเขานั้นมีท่าทีจริงจังมาก “ผมมีวิธี”
MANGA DISCUSSION