หวานใจคุณชายเสิ่น - ตอนที่ 47
จนกระทั่งสายที่สาม เธอถึงจะยอมกดรับสายแต่โดยดี
แต่ทว่า เสียงปลายสายกลับมีเพียงแค่เสียงลมหายใจเข้าออกที่ทักทายกลับมาเท่านั้น
เสิ่นมั่วเฉิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามด้วยโทนเสียงทุ้มต่ำว่า “ยังอยู่ที่สนามบินรึเปล่า?”
เสียงหายใจเข้าออกของบุคคลปลายสายหยุดชะงัก
แต่เธอก็ยังไม่ยอมตอบคำถามกลับมาอยู่ดี
เสิ่นมั่วเฉิงจึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังมืดมิด และหลับตาพริ้มดื่มด่ำไปกับบรรยากาศยามค่ำคืน ก่อนจะแสร้งพูดต่อด้วยน้ำเสียงโกรธจัดว่า “สมองมีแต่ขี้เลื่อยรึไง? ถ้ารอแล้วไม่เจอใคร หรือโทรหาฉันไม่ติด เธอก็รีบนั่งรถกลับบ้านไปก่อนสิ บื้อจริง ๆ เลย”
“ค่ะ! สมองของหนูมันมีแต่ขี้เลื่อย! แล้วหนูก็บื้อมากด้วย! ที่เชื่อคำพูดของคนอย่างคุณลุงไปได้ หนูอุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ตั้งแต่ 6 โมงเย็น แล้วก็นั่งรอจนรากงอกจนถึงตอนนี้เนี่ย! ตาลุงบ้าเอ้ย แกล้งหนูนี่สนุกมากใช่มั้ย?
หนูเกลียดลุง! ให้ตายยังไงหนูก็จะไม่สนใจลุงอีกแล้ว!”
กู้สวงส่วงตะคอกใส่เสิ่นมั่วเฉิงทั้งน้ำตา ก่อนจะกดตัดสายเขาไปทันที โดยไม่รอให้เขาได้แก้ตัวเลยสักนิด!
เสิ่นมั่วเฉิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะตัดสินใจต่อสายหาเธออีกครั้ง
กล้าวางสายใส่ฉันเหรอ?
ณ โถงใหญ่ในอาคารรองรับผู้โดยสารของสนามบิน
หลังจากที่กู้สวงส่วงได้คำรามใส่เขาไปเมื่อครู่ น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้ตลอดหลายชั่วโมงก่อนหน้าก็พรั่งพรูออกมาเป็นสายอย่างควบคุมไม่ได้
เพราะตั้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไป ทางสนามบินก็ได้มีการประกาศวนไปวนมาอยู่ซ้ำ ๆ ว่า เที่ยวบินจากอเมริกาถึงประเทศของเรา จะมาถึงช้ากว่ากำหนด เนื่องจากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
และด้วยความที่เธอกังวลว่าเขาจะอยู่บนเครื่องบินลำนั้น
เธอจึงพยายามติดต่อเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลยสักสาย จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงรอสายดังขึ้น แต่ทั้ง 8 สายที่เธอพยายามกดโทรออกนั้น ก็ยังไม่มีใครยอมรับสายเธอสักที
แต่พอเธอกดโทรออกเป็นสายที่ 9 ปรากฏว่าคนที่รับสายของเขากลับเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ฟังดูยังเด็กพอ ๆ กับเธอเลยด้วย……
และในวินาทีนั้น ความกังวลที่เดือดดาลอยู่ในหัวเธอมาตลอด 2 ชั่วโมงจึงทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า
ในเมื่อเขามีสาว ๆ สวย ๆ คอยอยู่เคียงข้างแล้วเนี่ย เขาจะอยากให้เธอมาคอยรับที่สนามบินอีกทำไม? ไม่ให้เรียกว่าแกล้งหลอกกัน แล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้อีกละทีนี้?
กู้สวงส่วงนั่งน้ำตาไหลพราก ในขณะที่ความคับแค้นภายในใจของเธอก็พร้อมที่จะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ
เธอนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่แบบนั้น โดยไม่คิดสนใจผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด และหลังจากที่เธอปล่อยโฮออกมาจนพอใจแล้ว เธอก็รีบเช็ดหน้าเช็ดตาและลุกขึ้นพาร่างผอมบางของตัวเองไปรอคิวขึ้นรถบัสกลับบ้านต่อทันที
แถมเธอยังสาบานกับตัวเองไว้อีกด้วยว่า ชาตินี้ทั้งชาติ ถ้าหากว่าเธอกลับไปสนใจตาลุงบ้านั่นอีกละก็ ขอให้เธอกลายเป็นหมาไปเลย!
………..
บนรถMPVสีดำ
ผู้ช่วยสาวเหลียวหลังกลับไปถามเจ้านายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านประธาน……เธอยังปิดเครื่องอยู่อีกเหรอคะ?”
เสิ่นมั่วเฉิงจึงวางโทรศัพท์มือถือลง และหลับตาพริ้ม เผยให้เห็นขนตาหนาทึบที่เรียงตัวสวยได้อย่างชัดเจน “อื้ม คงกำลังโกรธน่ะ”
ผู้ช่วยสาวจึงร้องคร่ำครวญในใจ และภาวนาขอให้การที่เธอสะเออะรับสายแทนท่านประธานนั้น ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้คุณผู้หญิงโกรธเคืองท่านประธาน
แต่พอเธอเหลือบมองผ่านกระจกหลัง เธอกลับพบว่า นอกจากท่านประธานจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรเธอด้วยแล้ว เขากลับยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียวด้วยอีกต่างหาก
“ท่านประธานคะ?” ผู้ช่วยสาวเอ่ยเรียกด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นมั่วเฉิงจึงเงยหน้าขึ้น และตอบกลับมาว่า “เธอโกรธผมแบบนี้ ผมควรจะง้อเธอยังไงดี?”
“ยากเลยค่ะ เพราะดิฉันเองก็ไม่เคยเจอคุณผู้หญิงตัวเป็น ๆ ด้วย” ผู้ช่วยสาวตอบกลับด้วยความจนปัญญา
เสิ่นมั่วเฉิงจึงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเริ่มบรรยายด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “เธอก็คล้าย ๆ กับหมาแมวข้างถนนอยู่นะ เพราะเธอชอบทำตัวเป็นเด็กดื้อ ก้าวร้าว ขี้ระแวง ชอบแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ผม แต่ในบางครั้งเธอก็มีมุมซื่อบื้ออยู่เหมือนกัน”
ผู้ช่วยสาวอดแปลกใจไม่ได้ ว่าในโลกนี้มีผู้หญิงที่คล้ายกับหมาแมวด้วยเหรอ?
ท่านประธานอธิบายถึงลักษณะนิสัยของภรรยาสาว ที่ฟังดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ทำไมน้ำเสียงที่เขาใช้บรรยายถึงเธอมันฟังดูอ่อนโยนจังนะ? ตัวจริงของคุณผู้หญิงจะต้องน่ารักมากแน่ ๆ เลย
“ส่งช่อดอกไม้หรือของขวัญให้คุณผู้หญิงไปเลยดีมั้ยคะ ท่านประธาน? เพราะผู้หญิงทุกคนแพ้ของพวกนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ”
“อื้ม” เสิ่นมั่วเฉิงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ แล้วพูดขึ้นลอย ๆ ว่า “ถ้าดอกไม้กับของขวัญยังไม่พอ ฉันก็คงต้องจับเธอโยนลงบนเตียงแล้วล่ะ”
“………”
เอ่อ ท่านประธานคะ ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้เนี่ย พูดกับตัวเองในใจก็พอมั้งคะ……
……..***……..
ผ่านไป 3 วัน หลังจากที่กู้สวงส่วงสาบานกับตัวเองเอาไว้ ว่าเธอจะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับตาลุงบ้านั่นอีก
หลังซ้อมเสร็จ กู้สวงส่วงก็พาร่างที่เหนื่อยล้าของตัวเองกลับหอพักทันที
วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยหนักเอาการ จนเธอไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว นอกจากนอนคุยวีแชทกับเสี่ยวซวงบนเตียงนุ่ม ๆ ของเธอ
จนกระทั่งมีข้อความใหม่จากใครบางคนแทรกขึ้นมา
และพอกู้สวงส่วงกดเข้าไปดู ปลายเท้าที่กระดิกไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มก็หยุดนิ่งไปในทันที
เนื่องจากข้อความนี้ เป็นข้อความจากเขาคนนั้นนั่นเอง [ลุงขอถามอะไรหน่อยสิ สาว ๆ อย่างหนูเนี่ย ไปเอาแรงที่ไหนมาโกรธหรืองอนได้ตลอดเวลาเหรอ?]
อะไรอีกละเนี่ย? กะจะพูดจากำกวมเพื่อหลอกล่ออะไรเธออีก?
กู้สวงส่วงถอนใจด้วยความรำคาญ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า [หนูเองก็มีคำถามค่ะ ทำไมผู้ชายอย่างลุงถึงได้มีผู้หญิงมากหน้าหลายตามาคอยรับสายแทนอยู่เรื่อยเลยเหรอคะ!]
แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย หรือว่าเขาจะกระอักเลือดตายไปแล้ว!
และในขณะที่เธอกำลังหงุดหงิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ดันมีเสียงเคาะประตูดังแทรกขึ้นมาอีก
กู้สวงส่วงจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง ก่อนจะพบว่าคนที่มาเคาะห้องเธอนั้น คือเด็กผู้หญิงข้างห้อง ที่มาพร้อมกับถุงผ้าใบหนึ่ง “กู้สวงส่วง ป้าที่ดูแลหอบอกว่ามีคนฝากมาให้เธอน่ะ”
“มันคืออะไรเหรอ?”
เด็กหญิงส่ายหัว ก่อนจะก้มดูที่ถุงผ้า แล้วพูดขึ้นว่า “ระวัง ๆ หน่อยก็ดีนะ ฉันไม่รู้ว่าข้างในนี้คืออะไร แต่ดูเหมือนว่ามันจะขยับได้”
กู้สวงส่วงจึงรับถุงผ้าใบนั้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะพามันเข้ามาวางบนโต๊ะ และไม่ลืมที่จะเปิดประตูค้างเอาไว้ แล้วจากนั้นเธอถึงจะรูดซิปกระเป๋าผ้าออกอย่างช้า ๆ
แล้วก้อนปุกปุยสีขาวดุจหิมะก็กระโดดออกจากถุงผ้าทันที ตามด้วยเสียงทักทายที่ดังลั่นห้อง “ม๊าวว~”
“……เสี่ยวซานเอ๋อ?”
กู้สวงส่วงทั้งแปลกใจและดีใจที่ได้เจอกับเจ้าแมวอ้วนเสี่ยวซาน หลังจากที่เธอไม่ได้เจอะเจอกับมันมานาน!
พอเธอกอดหอมเสี่ยวซานจนพอใจแล้ว เธอก็ค่อย ๆ วางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ก่อนจะพบว่าเสี่ยวซานกำลังคาบอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่
ซึ่งมันก็คือดอกกุหลาบสีแดงสดที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง แถมบนกิ่งกุหลาบยังมีสร้อยข้อมือเพชรเส้นผอมที่ห้อยต่องแต่งและส่องแสงระยิบระยับมาอีกด้วย
กู้สวงส่วงถูกตาต้องใจกับเพชรเม็ดจิ๋ว 3 เม็ดที่ถูกออกแบบมาอย่างวิจิตร และดูเหมือนว่ามันจะเป็นงานที่มีราคาสูงไม่เบาด้วยสิ
แต่ด้วยความที่เสี่ยวซานเอ๋อรู้สึกแปลกที่ ขนทั้งตัวของมันจึงชูชันขึ้นด้วยความหวาดหวั่น
ดวงตากลมโตจ้องมองมาที่ใบหน้าของกู้สวงส่วงอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกู้สวงส่วงหันมา เสี่ยวซานเอ๋อจึงจะร้องเรียกออกมาว่า “ม๊าวว” พร้อมทั้งหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
และเพียงแค่นั้น กู้สวงส่วงก็สามารถเข้าใจได้ในทันที ว่าเสี่ยวซานเอ๋อกำลังจะสื่ออะไร
เธอจึงเดินไปที่ริมหน้าต่าง และก้มหน้ามองลงไปด้านล่าง
ซึ่งบนทางเท้าตรงข้ามหอพักของเธอก็ปรากฏร่างของเขายืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
เขากำลังยืนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงความซับซ้อนของชายวัย 30 กว่า ๆ
และเสน่ห์ของเขาก็ทำให้กู้สวงส่วงเกิดอาการสั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน เด็กสาวคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวนั้น ก็พากันส่งยิ้มทักทายเขามาแต่ไกล
โดยที่สีหน้าของเขานั้นเรียบนิ่ง แต่ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้ด้วยการพยักหน้าตอบรับ
แต่จู่ ๆ เขากลับเงยหน้าขึ้นมองมาอย่างกะทันหัน ด้วยสายตาที่แลดูลึกล้ำและสยองขวัญสุด ๆ
กู้สวงส่วงตื่นตระหนกจนต้องกดตัวเองให้นั่งลงกับพื้น
“ส่วงเอ๋อ ไปนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ?” จ้าวเสี่ยวเอ๋อร์ที่เพิ่งกลับเข้าหอมาเมื่อครู่นี้เอ่ยถามขึ้น
“นี่มันแมวหนิ?” โจวเป้ยเหลือบมองแขกตัวน้อยที่นั่งตัวตรงอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
กู้สวงส่วงจึงค่อย ๆ ดึงม่านหน้าต่างลง โดยที่เธอไม่ทันจะได้ซ่อนของขวัญชิ้นสำคัญที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ในมือ
“ว้าวว มีคนให้ดอกกุหลาบมาด้วยโว้ยยย!”
“เห้ย ๆ มีสร้อยข้อมือเพชรด้วยว่ะ บอกมานะ ว่าเขาคนนั้นคือใคร?”
“มะ ไม่ใช่…..” ใบหน้าของกู้สวงส่วงเริ่มแดงก่ำ
และถึงเธอจะอธิบายให้ตายยังไง เพื่อน ๆ ก็คงไม่มีทางเข้าใจได้ในทันทีหรอก
กู้สวงส่วงจึงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะใจหนึ่งเธอก็กลัวว่าเขาจะทนไม่ไหวจนต้องบุกขึ้นมาถึงห้อง แต่อีกใจหนึ่งเธอก็กลัวเพื่อน ๆ จะรับไม่ได้ ถ้าหากได้รู้ว่า ทั้งแมวน้อยและของขวัญเหล่านี้นั้น มาจากอาจารย์หนุ่มสุดฮอตที่ใคร ๆ ต่างก็หมายตา!
และเมื่อถึงเวลาที่ประตูหอพักต้องถูกปิดลงตามเวลา 4 ทุ่มครึ่งของทุก ๆ วัน
กู้สวงส่วงจึงจะสามารถไล่เด็กสาวที่เข้ามามุงดูเสี่ยวซานให้กลับออกไปได้
แล้วจากนั้นกู้สวงส่วงถึงจะมานั่งมองดอกกุหลาบสีแดงสดและสร้อยข้อมือที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้เป็นของมีค่าราคาแพงอะไรนัก แต่มันกลับถูกตาถูกใจกู้สวงส่วงตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังใจอ่อนเพราะเธอชอบของขวัญ หรือคนส่งของขวัญกันแน่ ต้องรอดูกันต่อไป
กู้สวงส่วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้ ก่อนจะหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาคล้องคอเสี่ยวซานแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก แถมเธอยังหยิบดอกกุหลาบสีแดงสดขึ้นมาให้เสี่ยวซานคาบไว้อย่างเดิมด้วย
จากนั้นกู้สวงส่วงก็ลูบหัวแมวน้อยอย่างเบามือ และพูดกับมันว่า “เก่งมาก เดี๋ยวฉันจะพาเธอลงไปส่งนะ จำไว้ว่าต้องเดินตรงไปอย่างเดียว เพราะรถของพ่อเธอจอดอยู่ตรงนั้น แต่เธอเก่งขนาดนี้ เธอทำได้อยู่แล้วแหละเนอะ?”
แล้วกู้สวงส่วงก็อุ้มเสี่ยวซานลงไปถึงชั้น 1 ก่อนจะนั่งลงตรงข้างรั้ว เพื่อส่งตัวเสี่ยวซานรอดรั้วออกไป โดยที่เธอไม่ยอมให้เขาได้เห็นเธอแม้แต่ปลายขากางเกง