หวานใจคุณชายเสิ่น - ตอนที่ 44
ลู่ซีหลีจึงแสร้งพูดกับเธออย่างเป็นกันเองว่า “คงเป็นเพราะเรื่องนี้มันทำให้ฉันหวนนึกถึงตัวเองในสมัยก่อนมั้งจ้ะ ด้วยความที่ตัวฉันเองอยากจะเป็นนักออกแบบมืออาชีพ มันก็เลยทำให้ฉันกล้ายืนหยัดต่อสู้กับคำสบประมาทต่าง ๆ เหล่านั้น และตัวฉันเองก็เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วด้วย”
พอลู่ซีหลีพูดออกมาแบบนั้น ความตึงเครียดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของกู้สวงส่วงก็ผ่อนคลายลงได้ในทันที ที่แท้พี่คนสวยก็แค่เห็นอกเห็นใจเธอเท่านั้นเอง เพ้อเจ้ออีกแล้วกู้สวงส่วง
และเมื่อกู้สวงส่วงได้เห็นลู่ซีหลีในมุมนี้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าลู่ซีหลีนั้น เป็นคนใจกว้าง ไม่เหมือนกับนายหญิงใหญ่ที่มีนิสัยใจคอดุร้ายอย่างในละครหลังข่าวเลยสักนิด
เมื่อบรรยากาศระหว่างการสนทนาเริ่มผ่อนคลายลงได้ เธอทั้งคู่จึงเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของชีวิตในวัยเรียนจนถึงวัยทำงานของลู่ซีหลี
จนกระทั่งตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า
กู้สวงส่วงก็ได้สารภาพกับลู่ซีหลีแบบยิ้ม ๆ ว่า “พี่ลู่คะ คือจริง ๆ แล้ว หนูเคยเจอพี่มาก่อนค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“เราสองคนเคยยืนรอใครคนหนึ่งอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังเดียวกัน แต่หนูไม่แน่ใจว่าพี่ลู่จะยังจำได้รึเปล่า?”
ลู่ซีหลีจึงหลับตาพริ้ม ทำท่าเหมือนกำลังนึกย้อนไปในอดีต “ใช่เหรอ?”
อันที่จริงแล้ว กู้สวงส่วงอยากจะถามลู่ซีหลีใจจะขาด ว่าเธอคือแขกของคุณลุงตัวท็อปรึเปล่า?
แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะพูดถึงคุณลุงตัวท็อปแทน “เขาอายุประมาณ 30 กว่า ๆ เห็นจะได้ค่ะ รูปร่างหน้าตาก็จัดได้ว่าหล่อเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าเขาจะมีมุมดุบ้าง ขี้แกล้งบ้าง แต่รวม ๆ แล้วเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยค่ะ”
เมื่อได้พูดถึงเขาคนนั้นขึ้นมา หัวใจของกู้สวงส่วงที่กำลังสั่นไหวก็หยุดนิ่งไปในทันที เพราะเธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า อีกแค่อาทิตย์เดียว เขาก็จะกลับมาแล้ว
ลู่ซีหลีจึงยกน้ำขึ้นจิบ ก่อนจะเงยหน้ามองกู้สวงส่วงแล้วพูดว่า “ช่างบังเอิญจริง ๆ อดีตสามีของพี่ก็นิสัยแบบนี้เลยล่ะ”
“อดีตสามี?”
กู้สวงส่วงตกตะลึงหนักมาก เพราะในสายตาของเธอ ลู่ซีหลียังดูเด็กเกินกว่าที่จะเคยแต่งงานกับใครมาก่อน
พูดจบ ลู่ซีหลีก็หยิบเงินสดขึ้นมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ และส่งยิ้มมาให้กู้สวงส่วงอย่างมีเลศนัย “ต่อจากนี้ไป เราสองคนก็เป็นเพื่อนกันแล้วเนอะ? เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาส
พี่จะพาเธอไปเจออดีตสามีของพี่ อ้อไม่สิ! ถึงยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีกแน่นอน และพอถึงตอนนั้น เธอเรียกเขาว่าพี่เขยได้เลยนะ”
กู้สวงส่วงรีบตอบรับอย่างสุภาพ “ได้ค่ะ ไว้พบกันอีกนะคะ”
“จ้ะ อีกไม่นานเกินรอแน่นอน”
ลู่ซีหลีส่งยิ้มให้กับกู้สวงส่วง และหันหลังเดินจากไปอย่างสง่างาม
……….
กู้สวงส่วงกลับถึงมหาวิทยาลัยพร้อมด้วยนามบัตรของท่านประธานใหญ่แห่ง CC International
พอเธอกลับถึงหอพัก เธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที เนื่องจากเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันได้ดูดพลังงานของเธอไปจนหมด
วันต่อมา กู้สวงส่วงก็เริ่มปฏิบัติการลับของเธอต่อทันที
ซึ่งเธอได้เลือกออกตามหาตัวจังเหว่ยลี่ก่อนเป็นอันดับแรก
เพราะเธอเชื่อว่าการลอกเลียนแบบผลงานในครั้งนี้ ยังมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ และตัวจังเหว่ยลี่เองก็ไม่ได้ด้อยทักษะไปกว่าเธอ ดังนั้นจังเหว่ยลี่จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน?
และภารกิจต่อไป คือเธอจะต้องติดต่อเวินหลิง และเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา
แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่สามารถทำสองภารกิจนี้ได้สำเร็จตามเป้า
เพราะทันทีที่เธอหาที่อยู่ของจังเหว่ยลี่พบ ตัวจังเหว่ยลี่เองก็ดันหนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว และรูมเมทของจังเหว่ยลี่ยังบอกอีกว่า หลังจากที่จังเหว่ยลี่กลับถึงห้องเมื่อวานนี้ เธอก็รีบเก็บข้าวของออกจากห้องไปทันที
กู้สวงส่วงจึงไปสอบถามจากฝ่ายทะเบียนของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม จนได้รู้ว่าจังเหว่ยลี่นั้นทำเรื่องลาออกกับทางมหาวิทยาลัยไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังไม่มีใครรู้อีกด้วย ว่าตอนนี้เธอหนีหายไปอยู่ที่ไหน
ส่วนเวินหลิง เธอไม่เพียงแต่จะขาดเรียนในวันนี้ แต่เธอยังกล้าบล็อกเบอร์ของกู้สวงส่วง
ทั้ง ๆ ที่พวกเธอทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะกลับมาพูดคุยกันได้เหมือนเดิมแล้วด้วยซ้ำ
กู้สวงส่วงพยายามมองหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ยังมองไม่เห็นถึงแรงจูงใจที่จะทำให้เวินหลิงกล้าหักหลังเธอได้ และตัวเธอเองก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับสองคนนั้นสักหน่อย ทำไมจู่ ๆ สองคนนั้นถึงได้รวมหัวกันเล่นงานเธอแบบนี้นะ?
ถ้านี่ไม่ใช่แค้นส่วนตัว ก็แสดงว่าต้องมีใครคอยบงการอยู่เบื้องหลังน่ะสิ? แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มันคือใครอีกละเนี่ย?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ใครกันนะ ที่มาโกรธเกลียดนักศึกษาตัวเล็ก ๆ อย่างเราได้?
หรือว่าเราจะคิดมากไปเองอีก? กู้สวงส่วงส่ายหน้ารัว ๆ ให้กับความเพ้อเจ้อของตัวเอง
…………..
วันที่ 19 พฤศจิกายน
ในที่สุด รายชื่อของผู้ที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันออกแบบในครั้งนี้ก็ถูกประกาศออกมาสักที
ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลพิเศษในการแข่งขัน ก็คือกู้สวงส่วง
แถมเธอยังได้รับการประเมินจากทาง CC International อีกด้วยว่า “แนวคิดแตกต่าง แต่มาถูกทางแล้วนะ”
แต่กู้สวงส่วงก็ยังมีความรู้สึกแปลก ๆ กับเรื่องรางวัลพิเศษนี่อยู่ดี เพราะถึงแม้ว่าผลงานของเธอจะออกมาดูดีและตอบโจทย์ตลาดแฟชั่นในปัจจุบัน แต่ผลงานอื่น ๆ ที่เข้ารอบมาพร้อมกัน ก็ไม่ได้ดูด้อยไปกว่าเธอเลยสักนิด
พี่คนสวยจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับรางวัลพิเศษนี่มั้ยนะ?
กู้สวงส่วงจึงตัดสินใจต่อสายหาลู่ซีหลีตามเบอร์ติดต่อในนามบัตรทันที
และพอลู่ซีหลีได้ฟังความจากกู้สวงส่วงไปแล้ว เสียงหัวเราะของเธอก็ดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์มือถือของกู้สวงส่วงเล็กน้อย “พี่เป็นหัวหน้างานก็จริง แต่ผลการแข่งขันในครั้งนี้เนี่ย พี่ไม่ได้ตัดสินแค่เพียงคนเดียวนะจ้ะ ทุก ๆ อย่างมาจากการลงมติของเหล่านักออกแบบในบริษัท ส่วนรางวัลที่เธอได้รับมา พี่เองก็เพิ่งรู้จากเธอนี่แหละ เพราะงั้นยินดีด้วยนะจ้ะ”
กู้สวงส่วงแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ “หนูต้องขอโทษพี่ลู่อีกครั้งนะคะ……”
“ไม่เป็นหรอก แต่ต่อไปนี้เธอต้องมั่นใจในตัวเองได้แล้วนะ” ลู่ซีหลีกล่าว ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “และสำหรับตัวพี่เองเนี่ย พี่ชอบสไตล์การออกแบบของเธอมาก”
กู้สวงส่วงตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เธอวางหูโทรศัพท์ลง เธอก็กระโดดกอดจ้าวเสี่ยวเอ๋อร์กับโจวเป้ยทันที “ในที่สุดก็มีคนเข้าใจสไตล์ของฉันแล้ว มีคนชอบงานออกแบบของฉันแล้วววว”
และการที่ผู้บริหารระดับสูงของ CC International ออกปากชื่นชมผลงานของเธอแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกภูมิใจยิ่งกว่าการที่เธอได้รับรางวัลพิเศษนี่เสียอีก
–
ทางด้านลู่ซีหลี หลังจากที่เธอวางหูโทรศัพท์ลง เธอก็เอนหลังพิงเก้าอี้และจับจ้องไปยังต้นฉบับของงานออกแบบที่วางอยู่ตรงหน้า
ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาฉีกทึ้ง และโยนทิ้งลงถังขยะไปทันทีอย่างเลือดเย็น
…………..
เมื่อได้รับรางวัลพิเศษทั้งที ก็ต้องมีการเฉลิมฉลองกันหน่อย
กู้สวงส่วงกับเพื่อนร่วมชั้นอีก 30 กว่าชีวิตจึงพากันมาดื่มกินที่ร้านหม้อไฟใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยในคืนวันนั้น
และในขณะที่กู้สวงส่วงกำลังดื่มกินกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนานอยู่นั้น จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังแทรกขึ้นมากลางวง
กู้สวงส่วงจึงต้องปลีกตัวออกมานอกร้านเพื่อกดรับสาย
แต่ทันทีที่กู้สวงส่วงก้มดูหน้าจอโทรศัพท์ เธอกลับพบว่าหมายเลขปลายทางที่ขึ้นหราอยู่บนหน้าจอนั้น มีรหัสพื้นที่แทรกเข้ามาจนทำให้หมายเลขปลายทางดูยาวเหยียดผิดปกติ
และกู้สวงส่วงก็ลังเลอยู่นาน กว่าจะกล้ากดรับสายแปลกหน้าสายนั้นได้ แต่พอเธอได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งดังแทรกเข้ามาในหู ใบหน้าและแววตาของเธอก็แข็งเกร็งเหมือนถูกแช่แข็งไปในทันที——
“เป็นอะไรไปเนี่ย? ปล่อยให้ฉันรออยู่ได้ตั้งนาน”
“คุณลุงตัวท็อป….”
ใบหน้าของกู้สวงส่วงเริ่มร้อนผ่าว โดยที่ตัวเธอเองก็แยกไม่ออกเหมือนกัน ว่ามันเกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเสียงของบุคคลปลายสายกันแน่
และในขณะที่กู้สวงส่วงกำลังฟังเสียงหัวใจของตัวเองอยู่นั้น
บุคคลปลายสายก็ตะคอกกลับมาอีกว่า “ฉันโทรหาตั้งแต่วันที่ 17 แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมรับสายฉันเลยห้ะ?”
วันที่ 17 ก็คือวันที่เราเกือบจะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยหนิ? โธ่ นี่เรามัวแต่คิดฟุ้งซ่านจนลืมคุณลุงไปเลยเหรอเนี่ย
แล้วนี่เขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเรารึเปล่าวะ?
แล้วจู่ ๆ บุคคลปลายสายก็ดันโพล่งขึ้นมาอีกว่า “พรุ่งนี้วันเสาร์แล้วใช่มั้ย?”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้ตอน 6 โมงเย็น อย่าลืมมารอรับฉันที่สนามบินด้วยนะ”
แต่กู้สวงส่วงกลับลังเลว่าจะปฏิเสธเขาดีหรือไม่ เพราะถึงยังไง เธอกับเขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำไมเธอต้องไปรอรับเขาถึงสนามบินด้วยล่ะ?
“คุณลุงตัวท็อป คือว่าหนู……”
“อย่ามาสายล่ะ”
พูดจบ เสิ่นมั่วเฉิงก็วางสายใส่เธอทันที กู้สวงส่วงจึงทำได้เพียงแค่บีบโทรศัพท์ไว้ในมือจนแน่น ก่อนจะเดินสับเท้ากลับเข้าไปในร้านด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แถมเธอยังไม่มีกะจิตกะใจที่จะกินดื่มกับเพื่อน ๆ ต่อแล้วด้วย
เพราะใจของเธอในตอนนี้ มันกำลังถูกใบหน้าอันหล่อเหลาและน้ำเสียงอันนุ่มลึกของชายร่างสูงหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา
กู้สวงส่วงยกมือขึ้นทาบอก จนเธอสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่กำลังสนั่นหวั่นไหวจนแทบจะทะลุออกมาจากอก
แค่ไปรอรับที่สนามบินแค่นี้เนี่ย จะตื่นเต้นอะไรนักหนา
–
วันต่อมา กู้สวงส่วงยังคงยุ่งอยู่แต่กับการซักซ้อมสำหรับการแสดงครั้งใหม่
เนื่องจากในคืนสุดท้ายของเดือนธันวาคมนั้น จะมีการจัดงานปีใหม่ไนท์ปาร์ตี้ขึ้น และห้องของกู้สวงส่วงก็ได้รับมอบหมายให้จัดแสดงละครเวทีในค่ำคืนนั้นด้วย แต่ด้วยความที่กู้สวงส่วงเป็นดาวเด่นในงานแข่งขันออกแบบครั้งก่อน
เธอจึงถูกเพื่อน ๆ เสนอชื่อเป็นตัวเอกหญิงในการแสดงครั้งใหม่นี้ไปโดยปริยาย!
และด้วยความที่เธอไม่สามารถออกมาซักซ้อมการแสดงในเวลาเรียนได้ เธอจึงต้องหาเวลาว่างในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มาแทน
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึง 4 โมงครึ่ง กู้สวงส่วงก็เริ่มเกิดอาการวิตกขึ้นมาในทันที