หวานใจคุณชายเสิ่น - ตอนที่ 20
เสิ่นมั่วเฉิงยกบุหรี่ขึ้นสูบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วริมฝีปากบางของเขาก็ขยับพูดต่อว่า “บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของเรามีโครงการอะไรร่วมกับกู้โป๋บ้างรึเปล่า? ถ้ามีก็ยกเลิกให้หมด แต่ถ้าไม่มีก็ทำลายโครงการของกู้โป๋ให้ราบคาบ! ให้พวกขี้โกงพวกนั้นได้รู้แจ้งเห็นจริงซะบ้าง ว่าผู้หญิงที่มันกำลังรังแกอยู่น่ะ เป็นผู้หญิงของใคร”
ในขณะที่กู้สวงส่วงยังคงยืนตัวสั่นอยู่กลางห้อง จู่ ๆ ประตูห้องพักครูก็ถูกผลักเข้ามาโดยชายร่างสูง เสิ่นมั่วเฉิงเดินเข้ามาในห้องพักครูพร้อมกับกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ที่ปะปนกับกลิ่นฟีโรโมนเฉพาะตัวของชายหนุ่มจนคละคลุ้งไปทั่ว
หลังจากที่เขาพุ่งตัวเข้ามาช่วยเธออย่างกล้าหาญ ใจของเธอก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ แถมระดับความหล่อของเขายังพุ่งสูงขึ้นจนเธอไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอีกด้วย
ซึ่งการที่เธอต้องมาเผชิญหน้ากับเขาสองต่อสองแบบนี้ มันก็ทำให้ใจของเธอเริ่มเต้นแรงยิ่งกว่าเก่า จนเธอต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางที่ประหม่าเล็กน้อยว่า “ขะ ขอบคุณ”
และในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปนั้น จู่ ๆ มือหนาใหญ่ของเขาก็คว้าแขนของเธอกลับเข้ามายืนอยู่ที่เดิม ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวลูบเบา ๆ ที่รอยช้ำข้างแก้ม และด้วยความที่ผิวของเธอนั้นบอบบางมาก มันจึงทำให้รอยแดงเหล่านั้นดูเด่นชัดมากขึ้นตามไปด้วย เสิ่นมั่วเฉิงลูบไล้แก้มนุ่มของเธออย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า "เจ็บมั้ย?"
พอสิ้นเสียงของเขาปุ๊บ ความคับข้องใจตลอดทั้งสัปดาห์ก็เดือดพล่านขึ้นมา จนกู้สวงส่วงไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ “อาจารย์ทำแบบนี้ได้ยังไงคะ? ที่เตะหนูไปอยู่ห้องอื่น แถมยังเมินเฉยใส่หนู และแสร้งทำเหมือนไม่รู้จักกันอีก! แล้วตอนนี้ก็อยากจะลูบหัวปลอบใจหนูงั้นเหรอ? สรุปแล้วอาจารย์เห็นหนูเป็นตัวอะไรกันแน่ ?! คิดจะเขี่ยทิ้งแล้วเก็บกลับมาเล่นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้เหรอคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาและสีหน้าของเขาก็มืดครึ้มลงในทันที “เธอยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอ? แล้วการที่ฉันเตะเธอออกจากห้อง 1 เนี่ย มันไม่สมควรยังไง?”
“ทำไมหนูจะถามไม่ได้?!” กู้สวงส่วงเริ่มโมโหจัดจนควบคุมน้ำเสียงไม่อยู่
“หนูทำอะไรผิด อาจารย์ถึงได้เตะหนูไปอยู่ห้องอื่น แล้วเมินเฉยใส่หนูแบบนี้! และถ้าให้พูดตามความจริงเนี่ย คนที่ล่วงเกินหนูในวันนั้น ก็คือตัวอาจารย์เองนะคะ!”
“เหอะ ทำอย่างกับว่าเธอไม่ชอบงั้นแหละ แต่ถ้าเธอไม่ชอบจริง ๆ ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่หยุดฉันล่ะ? หนำซ้ำเธอยังกดหัวและจิกหลังฉันจนเป็นรอยอีกต่างหาก”
“นะ หนู หนู……” กู้สวงส่วงหน้าแตกจนพูดจาติดอ่างไปหมด
แล้วจู่ ๆ เธอก็ปล่อยโฮออกมา พร้อมทั้งเถียงกลับไปว่า “เหลวไหล! อาจารย์ใส่ร้ายหนู! หนูจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง!…….หนูไม่ได้ทำนะ….”
เสิ่นมั่วเฉิงจึงดึงปกคอเสื้อออกเล็กน้อย จนเผยให้เห็นรอยจิกที่ต้นคอด้านหลังอย่างชัดเจน “ยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ย?”
“………”
ดวงตาทั้งสองข้างของกู้สวงส่วงเบิกกว้างขึ้นมาในทันที! ไม่นะ! รอยแดงแบบนี้มันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ ฉันออกจะรักนวลสงวนตัว ฉันจะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ยังไง!
กู้สวงส่วงจึงยกมือขึ้นกุมขมับและพยายามนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ในเช้าวันนั้น——ตอนนั้นเธอถูกเขาระดมจูบจนตัวเธอเองไม่สามารถควบคุมจิตใจและร่างกายเอาไว้ได้…..บ้าเอ้ย แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมฉันถึงคิดไม่ออก!
หรือเป็นไปได้ว่าเธออาจจะ…..เผลอทำให้เขาเจ็บตัวไปแล้วจริง ๆ ?”
เมื่อเขาเห็นว่ากู้สวงส่วงเถียงไม่ออก เขาจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังทันทีว่า “เพราะฉะนั้น เธอพอจะตอบฉันได้มั้ย ว่าฉันสมควรจะจับเธอย้ายไปอยู่ห้องอื่นรึเปล่า? มันสมควรแล้วมั้ย ที่ฉันจะโกรธและเมินเฉยใส่เธอ?แต่ถ้าเธอลองคิดดูดี ๆ ที่ฉันทำกับเธอแค่นั้น ก็ยังถือว่าฉันเมตตาเธอสุด ๆ แล้วนะ”
แม้ว่าน้ำเสียงจริงจังของเขาจะทำเอากู้สวงส่วงหมดความมั่นใจในตัวเองไป แต่เธอก็ยังจ้องมองเขาตาเขม็ง พร้อมกับน้ำใส ๆ ยังคงเอ่อล้นอยู่เต็มตา “เมตตาหนูสุด ๆ แล้วงั้นเหรอคะ! หนูว่าไอ้รอยนั่นน่ะ อาจารย์ตั้งใจยัดเยียดให้เป็นความผิดของหนู ทั้ง ๆ ที่มันเป็นฝีมือของผู้หญิงคนอื่นต่างหาก หนูพูดถูกใช่มั้ยละคะ?”
แววตาอันมืดมนของเขาคล้อยต่ำลงบนริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ก่อนจะลามลงมาเรื่อย ๆ จนถึงซอกคออันขาวเนียน แต่ปอยผมที่เรียงตัวกันเป็นเส้น ๆนั้น ทำให้เขานึกถึงหนวดของเสี่ยวซานลูกรักขึ้นมาในทันที
พอเขาได้สติกลับมา เขาก็ส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรและพูดว่า “ลุงพูดจริง ๆ นะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองเอานิ้วหรือเล็บของหนูมาเทียบรอยดูสิ”
แต่นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้สวงส่วงจะหลอกง่ายขนาดนี้ เพราะในขณะที่เธอกำลังเอื้อมมือไปพิสูจน์หลักฐานนั้น เธอกลับถูกมือหนาใหญ่ของเขาคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
และในวินาทีต่อมา กู้สวงส่วงก็ถูกเสิ่นมั่วเฉิงจับขึงบนผนังอย่างง่ายดาย! หนำซ้ำเขายังกดริมฝีปากบางเข้ากับริมฝีปากอันอวบอิ่มของเธออย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
เพราะริมฝีปากอันอวบอิ่มของเธอ มันทำให้เขาห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริง ๆ ………
ตัดภาพมาที่เจียงหรง เธอกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลกู้ด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจ
เมื่อกู้ไห่ได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหวตรงหน้าประตู เขาก็เดินออกมาชี้หน้าด่าภรรยาของเขาเองทันที “คุณนี่มันน่าขายหน้าจริง ๆ! ประสบการณ์ชีวิต 40 กว่าปีเนี่ย มันไม่เคยสอนอะไรคุณบ้างเลยเหรอ?!”
ใบหน้าของเจียงหรงซีดผาดไปในทันตา เพราะเธอเดาออกว่าสามีของเธอน่าจะรู้เรื่องที่เธอไปก่อความวุ่นวายในมหาวิทยาลัย จนผู้อำนวยการหลินต้องเรียกตำรวจเข้ามาจัดการ
และเนื่องด้วยผู้อำนวยการหลินกับกู้ไห่นั้นรู้จักมักคุ้นกันดีอยู่แล้ว เธอจึงคิดว่าผู้อำนวยการหลินคงจะเห็นแก่หน้าตาของเธอบ้าง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปเสียหมด
เจียงหรงที่กำลังโมโหจัด จึงโยนเสื้อแจ็คเก็ตและกระเป๋าถือให้กับคนรับใช้ ก่อนจะหันกลับมาต่อปากต่อคำกับสามีต่อ “จริง ๆ แล้วประสบการณ์ชีวิตของฉัน มันก็น่าจะเตือนฉันบ้างสักนิดนะ ว่าอย่ายอมให้คุณรับนังเด็กนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านตั้งแต่แรก! แล้วคุณดูตอนนี้สิ จื่ออี้ของฉันต้องไปติดคุก ทั้ง ๆ ที่แกไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักอย่าง! สรุปแล้วนังเด็กนั่นมันมีดีอะไรนักหนา? มันถึงได้ลอยนวลไปแบบนั้นได้”
กู้ไห่จึงตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เมื่อกี้อธิบดีจังที่กรมตำรวจโทรมาหาผม เขาบอกว่าพวกคุณบุกไปขมขู่และทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย เพราะฉะนั้น การที่เราจะช่วยจื่ออี้ให้หลุดพ้นออกมาได้ มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก”
“จื่ออี้ต่างหาก ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำโดยลูกสาวคนเล็กของคุณกับเพื่อน ๆ ของเธอ! นังเด็กนั่นมันจงใจให้การกลับลำนะ…..”
“หุบปาก!” สีหน้าของกู้ไห่เริ่มบูดบึ้งไม่เป็นทรง “สวงส่วงเป็นเด็กยังไงผมรู้ดี คุณคิดว่าเด็กอย่างแกจะกล้าให้การกับตำรวจแบบนั้นเหรอ? คุณคิดว่าแกจะใช้วิธีไหนไปจำกัดสิทธิประกันตัวของจื่ออี้ได้? คุณลองคิดพิจารณาดูดี ๆ สิ ว่ายังมีใครอีกบ้าง ที่พอจะทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้?”
“พ่อกำลังหมายถึงสามีของสวงส่วงใช่มั้ยครับ….” ลู่เฮ่าเซวียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จะเป็นไปได้ยังไง? แม่ไม่เคยเห็นเขาโผล่หัวออกมาเลยสักครั้ง แล้วแม่ก็คิดมาตลอดด้วยนะ ว่าตาแก่นั่นน่าจะตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะยอมแต่งงานกับเด็กสาวไปทำไม?” เจียงหรงกล่าว
“แล้วนอกจากเขา มันจะมีใครคิดอยากปกป้องสวงส่วงอีกบ้างล่ะ?”
กู้ไห่กล่าว ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบและคิดในใจว่า ถ้าถึงขั้นทำให้อธิบดีจังเชื่อฟังคำสั่งได้แบบนี้ แสดงว่าลูกเขยของเขาคนนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
–
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ กู้สวงส่วงหอบเสื้อผ้าที่เพิ่งซักรีดเสร็จใหม่ ๆ กลับมายังคฤหาสน์ฮวาซีด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อย
เธอต้องมาอยู่ในห้องหอที่สามีของเธอจัดเตรียมไว้ให้ แถมเธอยังต้องไปพัวพันกับผู้ชายบ้ากามอย่างอาจารย์อีก นี่เธอก้าวเข้ามาในเส้นทางแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย?
กู้สวงส่วงพูดคุยกับตัวเองถึงเรื่องศีลธรรมและมโนธรรม ในขณะที่ตัวเธอกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ฉันอยากจะเจอตาลุงนั่นจริง ๆ นะ ฉันอยากรู้ว่าเขาจะเด็ดพอสำหรับเธอรึเปล่า?” เสี่ยวซวงกล่าว
พอสิ้นเสียงของเสี่ยวซวง กู้สวงส่วงก็หันไปหยิบถาดที่มีกาแฟและขนมวางอยู่ด้านบนขึ้นมาเสิร์ฟให้กับลูกค้าที่ยืนรออยู่หน้าเคาน์เตอร์ทันทีด้วยความตื่นตระหนก
แต่พอเธอเหลือบมองออกไปนอกร้าน เธอกลับเห็นเขาคนนั้นที่วิ่งเต้นอยู่ในหัวของเธอมาตลอดสองวันที่ผ่านมา
กระจกรถฝั่งคนขับของรถเบนท์ลีย์ที่จอดอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม ถูกปรับลดลงจนทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของชายในเสื้อเชิ้ตสีดำสุดเท่ห์ พร้อมกับนาฬิกาเรือนหรูราคาเหยียบล้านบนข้อมือที่ถูกพาดออกมานอกหน้าต่างรถ แถมยังมีกลุ่มควันที่ถูกพ่นออกมาเป็นระยะ จนทำให้ภาพของเขาดูช่างน่าหลงใหลเป็นที่สุด
แต่จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงร่างสูงหน้าตาดีที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูแถวนั้น ก้าวขึ้นไปนั่งบนที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับได้อย่างหน้าตาเฉย
แล้วจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็พูดคุยอะไรกันสักอย่าง จนใบหน้าของเสิ่นมั่วเฉิงเผยรอยยิ้มกระชากใจสาว ๆ ออกมา แต่ไม่นานนัก กระจกหน้าต่างฝั่งคนขับก็ถูกเลื่อนขึ้นจนปิดสนิท ก่อนจะแล่นออกจากริมถนนฝั่งตรงข้ามใน 2 นาทีให้หลัง
ผู้หญิงคนนั้นเป็นแขกของเขารึเปล่านะ? แล้ว 2 นาทีก่อนหน้านี้พวกเขาทำอะไรกันน่ะ? จูบกันเหรอ? หรือทำอะไรมากกว่านั้น?
แล้วกู้สวงส่วงก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาในทันที ดูเอาเถอะ เขาจูบเธอ แล้วยังจะไปรับแขกต่อตามปกติได้อีก และนอกจากพวกผู้หญิงเหล่านั้นแล้วเนี่ย ก็คงจะมีแค่เธอคนเดียวสินะ ที่โง่งมงายกับจูบนั้น!
“นี่ เป็นอะไรรึเปล่า? กาแฟหกหมดแล้ว!”
พอกู้สวงส่วงได้สติกลับมา เธอก็รีบเก็บกวาดพร้อมกับขอโทษลูกค้ายกใหญ่
ตัดภาพมาที่เสิ่นมั่วเฉิง ความเร็วของรถเบนท์ลีย์อยู่ในระดับปานกลางจนเกือบจะเชื่องช้า เสิ่นมั่วเฉิงถอนสายตาออกจากผู้หญิงที่นั่งก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามโค้งที่อยู่เบื้องหน้า
เมื่อรถเบนท์ลีย์ของเขาขับพ้นโค้งนั่นมาได้สักพัก เขาจึงจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หยูโหรว ตอนนี้ค่าใช้จ่ายของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเนี่ย รวม ๆ แล้วมันต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
เซียวหยูโหรวตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะแห้งแล้วตอบกลับมาว่า “ถ้าไม่นับเด็กนักศึกษาบ้านรวยที่ชอบกินใช้แบบฟุ่มเฟือยละก็ ค่าใช้จ่ายโดยประมาณก็จะอยู่ที่ราว ๆ 1,500-2000หยวนต่อเดือนค่ะ”