หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 564 อ๋องเย่หายไปแล้ว
บทที่ 564 อ๋องเย่หายไปแล้ว
จื่อซีและพ่อบ้านเหมยมองกับแวบหนึ่ง ราวกับว่าเข้าใจอะไรแล้ว
อ๋อ~
ที่แท้คุณชายซ่างกวนก็เป็นผู้ที่เลื่อมใสอ๋องเย่ของตัวเอง!
รู้ล่วงหน้าแบบนี้ ค่ารักษาโรคไข้ใจของอ๋องเย่ก็ไม่ต้องพลิกเป็นเท่าตัวแล้วใช่หรือไม่?
ทั้งสองคนเกิดความคิดเช่นนี้อย่างอธิบายไม่ถูก นี่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เป็นเช่นนี้ ราวกับว่าหลังจากที่ได้ใกล้ชิดกับหลานเยาเยา ก็ค่อยๆคิดเช่นนี้แล้ว
เช่นนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ใกล้ชิดกับใครก็ได้ผลกระทบไปด้วยหรอกหรือ?
จื่อซีและพ่อบ้านเหมยแอบดูหมิ่นตัวเองในใจครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้าที่ปีติยินดีพาหลานเยาเยาไปจวนอ๋องเย่ทันที
ตลอดทาง บนใบหน้าของหลานเยาเยาพยายามรักษาความสงบสุดๆ แต่ส้งเย่นกุยที่มองข้างในของนางออก ทอดสายตาที่ดูถูกมาหลายครั้ง
ในส่วนนี้หลานเยาเยาทำเป็นเพียงมองไม่เห็น เมื่อร่างกายพิง เอียงศีรษะ กำหมัด งีบหลับขึ้นมา นี่ก็อดทำให้ส้งเย่นกุยกรอกตาขาวให้นางอีกรอบไม่ได้
พ่อบ้านเหมยที่นั่งอยู่ด้านข้างข้องใจ อดที่จะเปิดปากถามไม่ได้ :
“คุณชายส้ง ดวงตาของท่านเป็นอะไรหรือ? เป็นโรคตาใช่หรือไม่?”
คราวนี้ ส้งเย่นกุยถลึงตาทันใด รีบเก็บแววตาทันที มองไปทางพ่อบ้านเหมย รู้สึกค่อนข้างไม่น่าเชื่อ บอกกับหมอผู้หนึ่งว่าเขาเป็นโรคตา? เช่นนี้คือดูหมิ่นเขาหรือ?
ดังนั้นจึงพูดอย่างเยือกเย็นประโยคหนึ่ง :
“ทรายเข้าตาแล้ว ต้องกรอกสักหน่อย”
“…….” พ่อบ้านเหมยไม่มีอะไรจะพูดในทันใด
รถม้าที่หรูหราดำเนินบนท้องถนนที่ยังนับว่าคึกคัก แม้ว่าความเร็วเป็นความเร็วเหมือนเหาะ แต่หลานเยาเยาดูแล้ว ยังเหมือนกับความเร็วของเต่า
ทนไปทนมา ในที่สุดก็ทนมาถึงประตูใหญ่จวนอ๋องเย่ เพิ่งลงจากรถม้า ก็มีองครักษ์ลับผู้หนึ่งรีบร้อนมาพร้อมที่หน้าตาไร้เรี่ยวแรง
“จื่อซี เจ้านายออกไปอย่างกะทันหันแล้ว”
จื่อซีตกตะลึงเล็กน้อย เจ้านายที่ในหนึ่งปีไม่เคยออกจากจวน ทำไมได้ออกไปอย่างกะทันหันแล้ว?
เขามองดูรถม้าแวบหนึ่ง กดเสียงต่ำขมวดคิ้วแล้วกล่าว :
“ไปไหนแล้ว?”
“ไม่รู้”
เรื่องที่แม้แต่องครักษ์ลับก็ไม่รู้ จื่อซีค่อนข้างร้อนใจแล้ว ตามหลักการแล้วไม่ควรเป็นไปได้นี่!
“เช่นนั้นวันนี้มีใครมาที่จวนบ้าง?”
“นอกจากคุณชายเหลียงเฉิน ก็ไม่มีผู้อื่น” องครักษ์ลับตอบอย่างจริงจัง
ได้ยินดังนั้น จื่อซีขมวดคิ้ว ในเวลาหนึ่งปีกว่านี้ คุณชายเหลียงเฉินคิดวิธีหมดทุกอย่าง ล้วนไม่สามารถโน้มน้าวให้เจ้านายออกจากประตูใหญ่ได้สักก้าว วันนี้กลับดี ไม่ง่ายที่เขาจะพาหมอมารักษาอาการไข้ใจให้เจ้านาย เจ้านายก็ถูกคุณชายเหลียงเฉินหลอกให้ออกไปแล้ว
นี่ควรจะทำอย่างไร?
ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก จื่อซีเรียกพ่อบ้านเหมยลงจากรถม้า หารือแผนรับมือหน่อย
พ่อบ้านเหมยแสดงความคิดว่าจัดเตรียมให้คุณชายซ่างกวนพวกเขาอยู่ในจวนก่อน เพียงรอให้เจ้านายกลับมาก็ได้แล้ว
แต่ใครจะรู้……
ขณะที่พ่อบ้านเหมยยกม่านขึ้นเล็กน้อย ด้านในว่างเปล่า คุณชายซ่างกวนและคุณชายส้งที่เดิมทีควรจะอยู่ในรถม้าก็ไร้ร่องรอยแล้ว
หลานเยาเยาที่กำลังย้อนกลับมาบนถนน สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ที่จื่อซีสนทนากลับองครักษ์ลับ นางไม่มีกำลังภายในไม่รู้ แต่ส้งเย่นกุยกลับได้ยินอย่างชัดเจน
องครักษ์ลับล้วนไม่รู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งไปไหน บางทีนางอาจจะมีวิธีรู้ได้ว่าเขาไปที่ไหน
ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งออกจากจวน จึงรีบดึงส้งเย่นกุยมาบนถนนทันที หาโรงเหล้าที่ค่อนข้างคึกคักร้านหนึ่งแล้วเดินเข้าไป ออกมาต้อนรับคือเถ้าแก่ผู้หนึ่งที่อายุมากกว่าห้าสิบปี
“ลูกค้าสองท่านเชิญนั่งด้านใน ไม่ทราบว่ามารับประทานอาหารหรือเข้าพักขอรับ?”
หลานเยาเยามองด้านในแวบหนึ่ง ที่นั่งแทบจะเต็ม จึงกล่าว : “เอาเหล้าชั้นดีมา เพิ่มด้วยอาหารแนะนำของที่นี่ของพวกท่าน”
“ได้เลยขอรับ จะมาทันทีขอรับ”
อย่างอื่นไม่พูดถึง ประสิทธิภาพของโรงเหล้าแห่งนี้ค่อนข้างสูง พวกเขาเพิ่งนั่งลงได้ไม่ถึงครู่หนึ่ง เถ้าแก่ก็เอาเหล้าและอาหารเข้ามาด้วยตัวเองแล้ว ใบหน้ามีรอยยิ้ม สีหน้ามีเมตตา
จัดวางอาหารอย่างคล่องแคล่ว เถ้าแก่ยิ้มอีกครั้งแล้วกล่าว :
“เชิญทั้งสองท่านรับประทานขอรับ”
ขณะที่เถ้าแก่กำลังต้องการจะเดิน ก็เห็นมือเล็กๆผอมๆข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ในมือคือเหรียญเงินหนึ่งพันตำลึง “เถ้าแก่ ขอถามหน่อยได้หรือไม่ ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่?”
สายตาของเถ้าแก่ตกลงอยู่ที่เหรียญเงินในมือของหลานเยาเยา ได้ยินคำถามของนาง จึงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วพูดทันที :
“นอกจากใกล้จะถึงเวลาชำระค่าใช้จ่ายปลายปีฮ่องเต้องค์ใหม่ลดภาษีราษฎรแล้ว ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องแปลกกลับมีอยู่เรื่องหนึ่งขอรับ”
“อ๋อ เป็นเรื่องประหลาดอะไรหรือ?” บนใบหน้าของหลานเยาเยาแสดงออกถึงความสนใจ
“ก็คือหญิงงามเป็นที่หนึ่งของเมืองหลวง ถังมู่หวั่นหัวแก้วหัวแหวนของถังเฉิงเสี้ยง ก่อนหน้านี้สองสามวันป่วยเป็นโรคประหลาดกะทันหัน หลังจากฟื้นมา พฤติกรรมก็เกิดการแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิญราวกับคนละคน ที่แปลกคือ วิชาการรักษาของนางยังไร้ที่เปรียบในพริบตา อุปนิสัยอื่น……”
พูดถึงตรงนี้ เถ้าแก่ก็รีบกดเสียงต่ำลงทันที พูดเบาๆว่า : “อุปนิสัยอื่นน่ะ เหมือนกับอดีตพระชายาเย่เป็นที่สุด หลายคนกล่าวว่า เพราะอ๋องเย่ได้ใหม่ลืมเก่าชอบพอเทพธิดา ทำให้พระชายาเย่โกรธเป็นผีก็ไม่ได้รับความสงบสุข สิงเข้าร่างของถังมู่หวั่น เตรียมล้างแค้นอ๋องเย่ล่ะ!
แต่ว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฟังจากคนอื่น จริงเท็จใครจะรู้ล่ะ? แต่นิสัยของคุณหนูถังเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนจริงๆ ได้ยินว่าถังเฉิงเสี้ยงยังหานักพรตมาทำพิธีไล่ผี ก็ล้วนไม่ได้ผล
ท่านว่าลี้ลับซับซ้อนหรือไม่ขอรับ?”
ได้ยินดังนั้น!
แววตาหลานเยาเยาสลดลง สบตากับส้งเย่นกุยแวบหนึ่ง ในดวงตาของทั้งสองล้วนเผยถึงความข้องใจ
ด้วยเหตุนี้ หลานเยาเยารินเหล้าให้เถ้าแก่ ส่งถึงมือในเขาด้วยมือของตัวเอง
“ลี้ลับซับซ้อนจริงๆ ในเมื่อตอนนี้นิสัยของคุณหนูถังเหมือนอดีตพระชายาเย่เป็นที่สุด เช่นนั้นคนในจวนอ๋องเย่ไม่มีคนไปดูว่าเป็นจริงหรือเท็จหรือ?”
เห็นคุณชายท่านนี้หน้าตางดงาม ราศีไม่ธรรมดา แค่มองก็ไม่ใช่คนธรรมดา กลับยังเทเหล้าให้เขาด้วยความถ่อมตน พริบตานั้นก็ชื่นชมเขามาก คนที่ชอบพูดมากก็เปิดขึ้นทันใด
“ผิวเผินไม่มีขอรับ แต่ในความลับก็ไม่รู้แล้ว แต่ว่า นอกจากเรื่องแปลกประหลาดเรื่องนี้ ยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง
วันก่อนหน้านี้ มีคนครอบครัวขุนนางไม่กี่คน ไปสถานที่ที่ลึกลับที่หนึ่ง และไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหลือเพียงคนผู้เดียวที่หนีรอดออกมา ยังเป็นโรคประหลาดอีก ใครก็รักษาไม่ได้ขอรับ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เถ้าแก่ก็รู้สึกเพียงความประหลาดใจ ดังนั้นจึงพูดเป็นเรื่องประหลาด
“ไม่ใช่ว่าวิชาการรักษาของคุณหนูถังไร้ที่เปรียบหรือ? ทำไมไม่ไปหานางทำการรักษา?” หลานเยาเยามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“ใครจะรู้ล่ะ! ถังเฉิงเสี้ยงปวดหัวสุดๆเพราะเรื่องใหญ่ที่นิสัยคุณหนูถังเปลี่ยนไป เหมือนกับว่ายังจะจำกัดบริเวณการเดินทางของนางด้วยขอรับ คาดว่าคนอื่นเขาไปขอร้องถึงหน้าจวนก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น คนอื่นเขาเป็นถึงลูกสาวของถังเฉิงเสี้ยงที่สูงส่ง นั่นคือครอบครัวขุนนางถึงสามารถข้องเกี่ยวได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวาน คนครอบครัวขุนนางผู้นั้นก็หาหมอไปทั่ว ส่งไปโรงหมอเปิดใหม่แห่งหนึ่งพอดี ได้ยินว่า คุณชายซ่างกวนของโรงหมอนั่นสามารถรักษาได้ เหมือนกับว่ายังเห็นผลด้วยขอรับ ท่านว่าบังเอิญหรือไม่ขอรับ?”
เถ้าแก่เพียงพูดตามความจริง ไม่ได้มีความหมายจะประเมินค่าต่ำ
อย่างไรซะการคบค้าสมาคมทั้งหมดของโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้
“บังเอิญ ชั่งบังเอิญมากจริงๆ”
หลานเยาเยาจะรู้ที่ไหน คนที่เถ้าแก่พูด ก็คือคนโดนมนต์ดำที่ได้รับการแพร่เชื้อเมื่อวาน
คนทั้งกลุ่มตายหมด มีชีวิตรอดเพียงคนเมื่อวานผู้นั้น?
จากหลักเหตุผลเป็นไปไม่ได้นี่?
เมื่อวานนายท่านท่านนั้นคือได้รับการแพร่เชื้อของคนโดนมนต์ดำ สาเหตุที่ได้รับการแพร่เชื้อยังมีคนอื่นอีก ไม่แน่คนอื่นก็ล้วนได้รับการแพร่เชื้อแล้ว แล้วทำไมถึงสามารถมีชีวิตรอดเพียงหนึ่งคน?
“เช่นนั้นเถ้าแก่รู้หรือไม่ คนครอบครัวขุนนางผู้นั้นไปที่ไหนหรือถึงได้รับโรคประหลาด?”
เถ้าแก่ : “ไม่รู้อย่างละเอียดขอรับ ได้ยินว่าเป็นบริเวณหอเฟิ่งหวงบนทะเลสาบหนานหูขอรับ”
“ทะเลสาบหนานหู? หอเฟิ่งหวง?”
เคยอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงนี้มาหลายปี ทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อน?
ทะเลสาบหนานหูและหอเฟิ่งหวงล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน? เถ้าแก่เข้ามาใกล้เล็กน้อย ถามอย่างสงสัย :
“คุณชายมาจากที่อื่นสินะขอรับ?”