หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 56 คิดจะทำอะไรกับพระชายาของข้าหรือ?
บทที่ 56 คิดจะทำอะไรกับพระชายาของข้าหรือ?
“ยังจะรออะไรอีก กรีดหน้าและลำตัวนางซะ”
“ขอรับ!”
เหล่าองครักษ์รีบรับคำสั่ง แล้วกระชากมีดสั้นฟันไปทางหลานเยาเยา
ในตอนนั้น สายตาหลานเยาเยาครู่เดียวก็เปลี่ยนแปรเป็นเฉียบคมขึ้น ทันใดนั้นก็ปรากฏมีดเล่มหนึ่งขึ้นบนฝ่ามือนาง
ในขณะนั้น เงาผู้หนึ่งก็วูบขึ้น มีคนยืนบังอยู่เบื้องหน้านาง และยังพลักมีดขององครักษ์ทั้งสามกลับไป
“คุณหนูหก ท่านรีบไปเถิด ข้าน้อยจะกำบังพวกมันให้”
ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือองครักษ์ที่มีแผลบนหน้าผากผู้นั้น
เขาเอ่ยปากว่าจะตอบแทนคุณหนูหกแล้ว และในตอนนี้ก็เหมาะแก่เวลาแทนคุณ
“เจ้า…”
นี่มันเรื่องอะไร?
เมื่อเห็นองครักษ์ออกรับช่วยเหลือ หลานเยาเยานั้นคาดไม่ถึงเลย
“คุณหนูหกรีบไปเถอะ ข้าน้อยรับปากท่านแล้วว่าจะกลับตัวใหม่” องครักษ์ผู้นั้นหันหน้ามายิ้มให้กับนาง
“ระวังด้วย”
หลานเยาเยามองไปชั่วเสี้ยววินาที แล้วจึงทราบโดยพลัน หากจะช่วยเขาก็คงไม่ทันเสียแล้ว
มีดแหลมคมเล่มหนึ่งเสียบเข้าไปกลางอกของเขา ผู้ที่ลงมือคือนิ่งซื่อ เลือดสีแดงฉานกระเซ็นลงบนใบหน้าของนิ่งซื่อ นางมิเพียงมิได้เกรงกลัว กลับยังแย้มยิ้มออกมา
“อยากช่วงนางหรือ หาที่ตายเอง!”
นิ่งซื่อดึงมีดสั้นกลับออกมา เกรงดาบเดียวจะฆ่าเขาไม่ตาย นางยังคิดจะเสียบซ้ำไปบนอกเขาอีกครั้ง เสียดายเพียงแต่หลานเยาเยาได้แตะเขาออกห่างไปแล้ว
องครักษ์ผู้นั้นล้มลงบนพื้น สายตายังไม่ทันได้ปิดลง ลมเฮือกสุดท้ายก็ออกจากร่างไปแล้ว
หลานเยาเยาทรุดนั่งลงบนพื้นตามองครักษ์ผู้นั้น นางกำลังจะใช้มือกดลงบนบาดแผลที่เลือดไหลเป็นทางของเขา เลือดยังอุ่นอยู่ แต่หัวใจของนางกลับหนักอึ้งขึ้น
ครู่หนึ่งนางก็กำมือที่เต็มไปด้วยเลือด ผุดลุกขึ้นในทันที เขม้นมองด้วยสายตาน่าหวาดหวั่น พลางก้าวเดินตรงไปยังนิ่งซื่อ
“ดีมาก เจ้าทำให้ข้าโกรธได้แล้วหล่ะ เจ้า นิ่งโหยง วันนี้อย่าได้คิดจะลอยนวลไปได้”
องครักษ์ที่เหลือทั้งสาม เมื่อเห็นสายตาอาฆาตของนาง ต่างคนต่างลังเลที่จะเดินก้าวออกมา
นิ่งซื่อที่ล้มลงบนพื้นเกรงกลัวขึ้นมาทันใด สายตาหลานเยาเยาคู่นั้น ทำให้หวาดกลัวเสียวสันหลังวาบ
นางพยายามปีนลุกขึ้น สองมือกุมมีดสั้นไว้แน่น พยายามออกแรงเปล่งเสียงขู่หลานเยาเยา
“เจ้า เจ้าอย่าเข้ามา เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ?หากเจ้าเขามาอีกข้าจะฆ่าเจ้า”
แต่ทว่า!
ราวกับหลานเยาเยาไม่ได้ยินคำพูดของนาง พลางเดินก้าวเข้าไปทีละก้าว ละก้าว เอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ
“ทำไมหรือ?ไม่ใช่จะทำลายโฉมข้าหรือ?ข้าอยู่นี่ไง มาสิ!เจ้าทำไมก้าวถอยหล่ะ?ห้ะ รู้จักกลัวด้วยหรือ?”
น่าเสียดายที่ช้าไปเสียแล้ว…
พูดไป!
ก็เห็นสายตานิ่งซื่อวาววับขึ้น ท่าทีราวกับจะถอยหลังวิ่งหนี
แต่ทว่า ในความเป็นจริงนางก็จะทำอย่างนั้น หากหันหลังวิ่งหนีไป นางจะวิ่งไปหาหลานเฉินมู๋ แค่เพียงหลานเฉินมู๋เห็นสภาพหลานเยาเยาในตอนนี้ ต้องลงมือฆ่านางแน่นอน
สายตานางในตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน!
ใครจะรู้เพียงหันหลังกลับ หลานเยาเยาเพียงพริบตาก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง ยิ้มพลางมองนาง
“เจ้าจะไปไหนหรือ?”
“อ้า…อย่า อย่า อย่าเข้ามา…”
นิ่งซื่อกลัวลนลานตะโกนขึ้น นางร่างสั่นเทิ้มทรุดลงกับพื้น หลานเยาเยานั่งลงไปตาม พลางกระชากปกคอเสื้อนางขึ้น สายตาหรี่ลงเล็กน้อย ทันใดนั้นมีดเล่มหนึ่งก็พุ่งไปยังใบหน้านางทันที
“อ้ากก…”
“เจ็บเหลือเกิน!อย่าฆ่าข้า ข้าขอร้องเจ้า อ้าก…”
เสียงร้องครวญดังขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนิ่งซื่อทันใดนั้นปรากฏรอยกรีดลึกสองรอย เลือดไหลออกมาตามรอยแผล หยดลงบนพื้น บนคอเสื้อ
องครักษ์ทั้งหมดต่างตกใจกลัวนิ่งงัน ลืมไปเสียสิ้นว่าพวกเขาต้องทำอะไร แต่ละคนยืนอ้าปากค้างมองนิ่งซื่อถูกทำลายโฉม
ในเวลานั้นเอง!
เสียงเล็กแหลมก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“ท่านอ๋องเย่เสด็จ!”
อ๋องเย่มาถึงแล้ว และยังมาถึงลานแห่งนี้ เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของนิ่งซื่อยังมีให้ได้ยิน
หลานเยาเยาไม่รู้แน่แล้วว่าได้กรีดใบหน้านิ่งซื่อไปกี่รอย
เมื่อได้ยินการมาถึงของเย่แจ๋หยิ่ง ก็รีบปล่อยนิ่งซื่อ และลุกขึ้นยืน พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างกายองครักษ์ที่ตายไป
มือที่ถือมีดนั้นผลุบกลับเข้าไปภายใต้ปีกเสื้อกว้าง มีดนั้นก็กลับพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นไปได้ไว้ผู้คนที่อยู่นอกลานก็คงได้ยินเสียงกรีดร้องของนิ่งซื่อแล้ว
ดังนั้น!
ผู้ที่เข้ามาคนแรกไม่ใช่เย่แจ๋หยิ่ง กลับเป็นหลานเฉินมู๋ที่คิ้วขมวดจนปรากฏรอยย่นสามเส้นขึ้นบนหน้าผาก
เขาคาดได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ก็นิ่งเป็นบ้าใบ้ไปแล้ว
ใบหน้าของนิ่งซื่อที่งดงามต้องตาบัดนี้กลับถูกบดบังเต็มไปด้วยเลือด นางในตอนนี้ทุรนทุรายร่ำร้องขอไว้ชีวิต
เมื่อเห็นหลานเฉินมู๋เข้า ดั่งราวกับเจอผู้ช่วยชีวิต รีบตะเกียกตะกายไปข้างเท้าหลานเฉินมู๋ พลางคร่ำครวญด้วยน้ำตา
“นายท่าน ช่วยข้าด้วย ใบหน้าข้าเสียโฉมไปแล้ว รีบช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย โปรดช่วยให้เยาเยาปล่อยข้าไปด้วยเถิด!”
หน้าของนิ่งโหยงถูกนังคนโฉดหลานเยาเยากรีดทำร้ายหรือ?
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร!
ในจวนแม่ทัพของเขา หลานเยาเยากลับกล้าลงมือ?
วันนี้เขาต้องลงทัณฑ์นังคนโฉดชั่วนี่ให้ตาย
หลานเฉินมู๋เวลานี้โกรธจนหัวร้อน มองไปยังหลานเยาเยาที่ยืนห่างไปไม่ไกล สายตาเต็มไปด้วยเพลิงสังหาร
เพียงชั่ววินาทีเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าหลานเยาเยา เขาใช้กำลังสิบส่วนฟาดตรงไปที่ศีรษะของนางทันที
ใครจะรู้!
ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นทำให้คนหวาดกลัวเย็นวาปทั้งสันหลัง ราวกับมีอสุนีบาตฟาดลงกลางศีรษะหลานเฉินมู๋
“ท่านแม่ทัพหลาน ท่านคิดจะทำอะไรกับพระชายาของข้าหรือ?
น้ำเสียงอันน่าหวั่นเกรงนั้น ทำให้หลานเฉินมู๋ใจกระตุกวาบ ทำให้ใจที่มุทะลุราวสายฟ้าฟาดของเขา มีสติรู้ตัวขึ้น
ท่านอ๋องเย่!
ในวันนี้ท่านอ๋องเย่มาสู่ขอพระอนุชาด้วยตัวเอง ทว่าคนที่เขาจะสู่ขอคือหลานเยาเยาที่เขากำลังจะตีให้ตาย
เมื่อคิดถึงข้อดีข้อเสียแล้ว หลานเฉินมู๋วางลงและเงยหน้าขึ้น
มือนั้น ฟุบ แล้วทรุดลงกับพื้น
“ท่านอ๋องเย่อภัยให้ข้าด้วย เป็นข้าเองที่คิดผิดไป”
ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามทำผิดต่อท่านอ๋องเย่ ไม่อย่างนั้น เขาผู้นั้นจะถูกทำลายย่อยยับ และจะตายอย่างน่าอดสู
“เหอะ!”
เย่แจ๋หยิ่งหัวเราะเยาะ กลับไม่สนใจหลานเฉินมู๋ที่คุกเข่าลงบนพื้น แต่กลับมองไปยังหลานเยาเยา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หลานเยาเยาค่อยๆ เงยหน้าจนเกือบจะสบสายตากับเขา พลันข้างกายมีเงาสายหนึ่งสวมชุดแต่งงานกำลังผละไป ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เงาสายสีแดงนั้นก็ “ฟุ้บ” ทรุดลงกับพื้น
“ข้าน้อยขอคำนับท่านอ๋องเย่ ข้าน้อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?ขอร้องท่านอ๋องโปรดให้ความยุติธรรมแก่นายหญิงข้าด้วย!ฮือๆๆ…”
นางที่สวมชุดแต่งงานก็คือหลานชิวหยุน เมื่อครู่ที่หลานเยาเยากรีดหน้านิ่งซื่อนางตกใจกลัวยิ่งนัก ร่างของนางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นางไม่กล้าก้าวออกจากฉากกั้นแม้เพียงก้าวเดียว ด้วยเพราะนางกลัวถูกหลานเยาเยากรีดหน้านางเข้า
จนเมื่อหลานเฉินมู๋เดินเข้ามา นางจึงวางใจออกมาได้ ในตอนแรกอยากจะออกมาวอนขาให้หลานเฉินมู๋ฆ่าหลานเยาเยาซะ กลับพบท่านเทพบุตรอ๋องเย่เดินเข้ามาก่อน
ในตอนแรกถูกรูปโฉมอันงามสง่าของเขาตราตรึงไว้ นางไม่เคยพบเห็นชายรูปงามถึงเพียงนี้ ดังราวกับสิ่งใดก็ตามหากอยู่ต่อหน้าเขาแล้วกลับดูราวกับไร้สีสันไปในทันที
เมื่อนางเรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง จึงรีบพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าอ๋องเย่ทันที ร้องขอโอกาสพูดความจริง
เพียงเพื่อให้ท่านอ๋องเย่ได้ยลโฉมของนาง ให้เขาชอบพอนาง ทิ้งหลานเยาเยาไปเสีย
ใครเล่าจะรู้…
“ไสหัวออกไป!”
คำพูดเย็นชาเพียงคำเดียว ก็ทำให้ใจอันเบิกบานของนาง ดั่งราวโดนน้ำเย็นสาดใส่