หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 376 อยากฆ่าถิงเมี่ยน
บทที่376 อยากฆ่าถิงเมี่ยน
เป็นเพราะเหตุนี้
ดังนั้นทุกคนที่จะเข้าสำนักหงอี หลังจากผ่านจุดตรวจทั้งหมดจากสำนักหงอีแล้ว ถึงจะสามารถเข้าสู่สำนักหงอีได้
หลังจากนั้นก็ค่อยๆมีเรื่องแพร่ออกมาว่า คนที่เคยเข้าไปในสำนักหงอีแล้วออกมาอีกครั้งก็จะเข้าใจในความเป็นความตาย
ด้วยเหตุนี้
สำนักหงอีก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดลึกลับขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมีใจที่อยากจะเข้าไปในสำนักหงอี แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าสำนักหงอีเลย
หมดหนทาง……
จึงทำได้เพียงจับชายหนุ่มแข็งแกร่งมา
และแน่นอนว่าการจับชายหนุ่มที่แกร่งมาก็ไม่ใช่ว่าจับไปได้เรื่อยเปื่อย จะต้องให้เหล่าตาแก่ของสำนักหงอีเป็นผู้แสวงหาก่อน ถึงจะจับมาได้
ในตอนนั้นเอง!
ถิงเมี่ยนกับยู่หลิวซูก็ต่างมองเสื้อผ้าบนตัวของตนเอง มีรอยเลือดเยอะมาก แต่สิ่งที่ไม่อาจทนดูต่อไปได้มากที่สุดก็คือเสื้อผ้า เสื้อผ้าชั้นดีซึ่งตอนนี้ถูกขีดจนขาดรุ่ย เลวร้ายยิ่งกว่าขอทานแย่ๆเสียอีก
แต่ในใจของยู่หลิวซูกลับไม่ได้มีความเสียใจใดๆเลย
แต่ถิงเมี่ยนกลับรู้สึกว่าตนเองได้เข้าไปในหลุมลึกอย่างไม่สามารถอธิบายได้ เหมือนอยากจะเสียใจแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว
แต่ว่า!
การประจบประแจงเทพธิดาแบบนี้ ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ
“โชคดีที่พวกเจ้ามีสีหน้าแบบนี้ เจ้าสำนักบอกไว้ว่า ถ้าพวกเจ้าร้องไห้ ก็จะไม่ให้เสื้อผ้าใหม่แก่พวกเจ้า”
พูดจบ
ตาแก่ก็หยิบเสื้อคลุมสองตัวออกมาจากกระสอบ
แต่เดิมถิงเมี่ยนก็ยังคิดอยู่
ว่าในกระสอบจะมีเสื้อผ้าดีๆอยู่หรือไม่?
แต่ทันทีที่เห็นเสื้อผ้า เขาก็เบิกตากว้างทันที
สง่างามมาก!
นัยน์ตาของยู่หลิวซูประกาย
ไม่ต้องให้ตาแก่สั่ง พวกเขาสองคนก็ไปด้านข้างเพื่อเปลี่ยนชุดโดยเร็ว หลังจากสวมเสื้อคลุมเสร็จเรียบร้อย ลักษณะเฉพาะตัวของพวกเขาทั้งสองก็ออกมา
พวกเขาพอใจอย่างมาก
ตาแก่มองพวกเขาแล้วก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
ใจของเจ้าสำนักจะต้องลำเอียงแน่ๆ
ทำไมตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาในสำนักหงอี เสื้อผ้าใหม่ที่เขาได้รับถึงเป็นเสื้อผ้าคนแก่หล่ะ?
แต่ตอนนี้ของสองคนนี้กลับถึงดูดีขนาดนี้?
“ชิ!ดีใจอะไรกัน?ยังไม่หล่อเท่าข้าตอนหนุ่มๆเลย”
“……”
“……”
ถิงเมี่ยนกับยู่หลิวซูทำหน้าอย่างกับท้องผูกมองตาแก่ตรงหน้า: คอเอียง กระเต็มหน้า หน้าตาก็ยากที่จะพูด อีกอย่างตัวก็กว้างๆอ้วนๆ แล้วก็เตี้ยๆ
คาดว่าตอนวัยรุ่นก็ไม่น่าจะดูดีขนาดนั้นนะ?
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่สงสัยอย่างหนักของชายหนุ่มสองคนนั้น ตาแก่ก็จ้องพวกเขา
“มองอะไร? ความหล่อของข้าเป็นสิ่งที่เจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าสำนักรอพวกเจ้าอยู่ด้านหน้านานแล้ว รีบไปๆ”
……
ตอนมา หลานเยาเยานั่งอยู่บนรถม้า
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลานเยาเยาก็ยังคงนั่งอยู่บนรถม้า
แน่นอนว่าตอนที่พวกเขาสองคนไปฝ่าฟันอุปสรรคที่สำนักหงอีสองสามวันนั้น หลานเยาเยาก็ได้ทดลองของอร่อยของสนุกแถวๆนั้นไปรอบนึงแล้ว
เมื่อตอนที่ยู่หลิวซูกับถิงเมี่ยนเห็นรถม้าของเทพธิดา ก็มีความเคารพบนใบหน้า รอจนรถม้ามาอยู่ตรงหน้า
พวกเขาก็ยกมือคำนับอย่างเคารพนอบน้อม และพูดพร้อมเพรียงกันว่า:
“คารวะเจ้าสำนัก!”
ไม่มีเสียงดังออกมาจากในรถม้าเป็นเวลานาน ยู่หลิวซูกับถิงเมี่ยนก็คำนับอีกครั้ง “คารวะเจ้าสำนัก”
รอไปสักพัก
ก็ยังไม่มีเสียงดังขึ้น
จนกระทั่งตอนที่พวกเขาคิดจะคารวะอีกครั้ง จื่อซีที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถม้าก็ยกมุมปาก กระตุกม่านมองหลานเยาเยา จากนั้นก็พูดกับยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนอย่างจนปัญญาว่า
“คุณหนูกำลังฝึกยุทธ์อยู่ เป็นช่วงสำคัญพอดี ทางที่ดีอย่าเพิ่งรบกวนนาง ไม่งั้นถ้านางคลั่งขึ้นมา จะกินพวกเจ้าเป็นวิชายุทธ์”
ได้ยินดังนั้น!
ยู่หลิวซูกับถิงเมี่ยนก็เงียบทันที จากสีหน้าที่ชี้แนะของจื่อซีก็คือ ให้พวกเขารีบเข้านั่งบนม้าไวที่เตรียมไว้นานแล้ว
“ไป……”
รถม้าสีแดงก็ค่อยๆเคลื่อนตัว
หลานเยาเยาที่แทะขาหมูอยู่ในรถ เจียดเวลามาพยักหน้าให้กับจื่อซี และก็ยกย่องเขาใหญ่
ถึงเมืองหลวง
นั่งรถม้ามาครึ่งค่อนวัน หลานเยาเยาก็ปวดหลังปวดเอวเมื่อยขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ท้องหิวอีกแล้ว
กินขาหมูจนหมดก็ไม่พอ มันต้องมีข้าวมาเติมท้องเสียหน่อยถึงจะได้
ดังนั้น!
หลานเยาเยาจึงลงรถม้า พุ่งเข้าไปในร้านอาหารอย่างรวดเร็ว จื่อซีเมื่อจอดรถม้าแล้วก็รีบตามมาติดๆ
ความเร็วของยู่หลิวซูก็นับว่าเร็ว พอลงจากรถม้าแล้วก็โยนบังเหียนให้กับถิงเมี่ยน
“รบกวนด้วยหล่ะ!”
อีกอย่างพอทิ้งเสร็จก็ไป ความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ว่ายู่หลิวซูให้ถิงเมี่ยนช่วยเขาผูกม้า ถิงเมี่ยนมองบังเหียนที่อยู่ในมือ
ถิงเมี่ยนก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
“เอ้ะ?ตอนนี้พวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมทางกันแล้ว ทำไมถึงยังทำท่าทางเป็นคุณชาย กล้ายกมือยกไม้กับเขาอยู่อีก? พฤติกรรมอะไรกัน”
พูดๆไป
พอพูดจบ ถิงเมี่ยนก็ลากม้าสองตัวไปหาที่มัดไว้
เพิ่งผูกม้าเรียบร้อยยังไม่ทันได้เอามือออกมา ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยัน:
“เฮ้ นี่ไม่ใช่ถิงเมี่ยนหรอกหรือ? สวมชุดท่าทางดูเป็นผู้เป็นคน ยังคิดจะขโมยม้าคนอื่นอีกรึ?”
ผู้ที่มาก็คือศัตรูคู่อาฆาตของถิงเมี่ยน
ถ้าบอกว่าถิงเมี่ยนคือนักเลงหัวไม้สายดำขาวของเมืองหลวง งั้นผู้ที่มาตอนนี้ก็คือผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนักเลงหัวไม้มาก่อน แต่เพราะคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้และเผด็จการอย่างมาก จึงถูกถิงเมี่ยนชิงตำแหน่งมา
ด้วยเหตุนี้!
ทั้งสองคนจึงกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
และเพราะถิงเมี่ยนมีชื่อเสียงมากในตลาดดำ แทบจะมองว่าตลาดดำเป็นของตนเอง
ดังนั้นศัตรูคู่อาฆาตจึงถูกกดขี่มาหลายปี จึงกัดฟันโกรธถิงเมี่ยนที่เอ้อระเหยไปวันๆอย่างราบรื่นด้วยความแค้น
จู่ๆตอนนี้ก็มาเห็นถิงเมี่ยนสวมเสื้อผ้าสวยงาม แถมยังขี่ม้าตัวสูงใหญ่ มองแว็บแรกดูเหมือนเป็นคุณชายที่ร่ำรวยมีอำนาจ
จึงรู้สึกอึดอัดใจ
แล้วเมื่อเห็นว่าข้างกายเขาไม่ได้มีลูกน้องมาจึงเข้ามาล้อมไว้
“เป็นเจ้า นายน้อยคือใครนะ? ที่แท้ก็คือเจ้านั่นแหล่ะ!หว้างฉาย”
ถิงเมี่ยนมองหว้างฉายที่พาคนนับสิบเข้ามาล้อมตนเองไว้ ในมือถือมีดถือกระบอง ดูท่าทางวันนี้จะไม่ปล่อยเขาไปแน่
ปฏิกิริยาตอบโต้อันดับแรกของเขาก็คือ เอาม้าพันธ์ุดีที่เทพธิดาส่งให้เขาปกป้องไว้ข้างหลัง
“โลกมันแคบจริงๆ วันนี้จึงทำให้ข้ามาพบเจ้าได้ ข้าเคยพูดไว้นานแล้วว่าอย่าให้ข้าเจอเจ้าตอนอยู่คนเดียว ไม่เช่นนั้นก็จะจัดการเจ้าอย่างเงียบๆ
เมื่อถึงเวลานี้ ทางสายขาวดำ รวมถึงตลาดดำของเจ้าก็จะทยอยกลับมาที่ข้า”
ใบหน้าของหว้างฉายมีรอยยิ้มที่น่าขยะแขยง มีแววตาที่ดุร้ายหมายอาฆาต
ถิงเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย:
“ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่า ทางที่ดีอย่างมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ การทำร้ายผู้ที่สัญจรไปมามันไม่ดี ทะเลาะกับเจ้าถิ่นก็ยิ่งไม่ดี
ตอนนี้ข้าเป็นคนที่มีคนคอยอยู่เบื้องหลัง ถ้าพวกเจ้าไม่อยากถูกกำจัด ก็รีบไปซะ!”
ปกติ ถิงเมี่ยนก็ไม่กลัวพวกเขา
ตอนนี้ก็ไม่กลัว แต่เพราะตอนนี้เขาเพิ่งเข้าสำนักหงอี จึงไม่อยากสร้างเรื่องให้เทพธิดา ดังนั้นจึงพูดโน้มน้าวดีๆ
“ฮ่าๆๆ……”เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นมาจากปากของหว้างฉาย
“ผู้อยู่เบื้องหลัง? นักเลงเช่นเจ้ามีคนคอยหนุนหลังงั้นหรือ?”หว้างฉายมองถิงเมี่ยนที่สวมเสื้อผ้าดีๆ นัยน์ตาก็ประกายความริษยา
“เห็นเจ้าสวมชุดที่ไม่เหมาะสมกับตนเองเช่นนี้ ให้ข้าเดาเศรษฐีผู้ไหนหล่ะ? คงไม่ใช่เศรษฐีหลี่ที่ตัวอ้วนหนูใหญ่นั่นใช่ไหมหล่ะ? เขามีนิสัยผู้ชายนะ ให้ข้าเดาเจ้าก็คงไปเป็นชู้เขาใช่ไหม!ฮ่าๆๆ……”
เอ่อ……
เศรษฐี?
ชู้?
ถ้าบอกว่าเทพธิดา เขาจะเชื่อไหม?
คาดว่า ตีให้ตายก็คงไม่เชื่อ
ไปสำนักหงอีมาแล้ว ถิงเมี่ยนก็รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเรื่องไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นเขาจึงไม่รำคาญ สีหน้าปกติ ไม่อยากไปรั้งพวกเขาอีก แล้วก็พูดว่า:
“ช่างเถอะ พวกเจ้าหลบไป!”
“จะรีบร้อนไปปรนนิบัติเศรษฐีหลี่รึไง?” น้ำเสียงของหว้างฉายเปลี่ยนไปเป็นรุนแรง “เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปได้งั้นหรอ?”