หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 296 ข้าไม่ชอบกินข้าวต้ม
บทที่ 296 ข้าไม่ชอบกินข้าวต้ม
ก็ได้!
เพราะนางมองโลกในแง่ดีเกินไป
โหลวเย่วอยู่ที่จวนอ๋องเย่มาตลอด ต้องการอะไรก็มีสิ่งนั้น แทบจะไม่ต้องออกจากจวน ต้องไม่เข้าใจเรื่องการทำสัมพันธ์กับผู้คนเป็นธรรมดา
ดังนั้น นางยังต้องเหน็บแนมนางอีกสักหน่อย
“สุภาษิตพูดไว้อย่างดี กินของผู้อื่นจะต้องพูดจาดีๆ เอาของผู้อื่นจะไม่กล้าปฏิเสธ เจ้าเอาของเล็กน้อยให้เขา แม้ว่าจะเป็นข้าวต้มธรรมดาๆ เขาก็จะอารมณ์ดีขึ้นหน่อย”
เหอะเหอะ!
คราวนี่ควรจะเข้าใจแล้วนะ!
เป็นไปตามคาด เมื่อนางพูดจบ ดวงตาของโหลวเย่วก็เป็นประกายทันที
เพียงแต่……
เสด็จอาไม่ได้ขาดเหลืออะไร นางจะสามารถให้อะไรเขาได้ล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ตัวนางก็ไม่มีเงิน น้ำใจอะไรก็ให้ไม่ได้แล้ว
แบบนี้ควรจะทำเช่นไร?
เอ๊ะ~
ใช่แล้ว ข้าวต้ม
เทพธิดาพูดถูก แม้ว่าจะเป็นเพียงข้าวต้มธรรมดาๆถ้วยหนึ่ง เพียงแค่นางส่งให้ด้วยความจริงใจ เสด็จอาจะต้องดีใจแน่นอน
ด้วยเหตุนี้!
นางจึงกวาดตาไปทางโต๊ะ มีข้าวต้มถ้วยหนึ่งจริงๆด้วย จึงรีบพูดด้วยความระมัดระวังว่า :
“เป็นคนดีต้องให้ถึงที่สุด ส่งพระต้องส่งให้ถึงทิศตะวันตก เทพธิดา ข้าวต้มถ้วยนี้มอบให้ข้าเถอะ! วันหลังข้าจะคืนให้ท่านเป็นแน่”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ชอบกินข้าวต้ม เจ้าเอาไปเถอะ!”
พูดไป
หลานเยาเยาก็ลุกขึ้น หมุนตัวไปทำเรื่องอื่น
รอจนโหลวเย่วยกข้าวต้มเดินไปแล้ว นางจึงหันกลับมา มองดูเงาด้านหลังที่ไกลออกไปของโหลวเย่ว
ทันใดนั้นกลับพบว่า จื่อซีมองดูนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“คุณหนู ข้าวต้มนั่น……”
นางกระแอมออกมาเบาๆ พูดว่า :
“ข้าวต้มทำไมหรือ? ยังมีอีก ยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร? พระราชธิดาจาวหยางรู้หรือว่าอ๋องเย่อยู่ที่ไหน?”
“อ่อ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
จื่อซีดึงสติกลับมาได้ ก็รีบหมุนตัวตามออกไปทันที
“หู้ว……”
นางถูๆที่ฝ่ามือของตัวเอง มีเหงื่อผุดออกมาอย่างไม่คาดคิด
เฮ้อ!
ไม่ได้เป็นขโมยสักหน่อย ละอายใจอะไร?
……
ตำหนักเทพธิดา ห้องนอนชั่วคราวของอ๋องเย่
เย่แจ๋หยิ่งเพิ่งสวมรองเท้าบูตยาว ขณะนี้กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้า
ก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไป หนักใจหนักมากขึ้น
จากนั้นก็ใช้มือไปจับที่หัวใจอย่างอดไม่ได้
“แฮ่มแฮ่มแฮ่ม……”
เมื่อคืนเขาได้กินยารักษาการบาดเจ็บภายในไปแล้ว
แม้ว่าจะเป็นยารักษาการบาดเจ็บภายในชั้นดี แต่เขาได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส ไม่สามารถหายได้ในเวลาอันสั้น
เวลานี้!
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น และเป็นเสียงฝีเท้าของคนสองคน
เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ในไม่ช้า ประตูห้องก็ถูกเคาะดังขึ้น : “ก๊อกก๊อกก๊อก……”
“อ๋องเย่ พระราชธิดาจาวหยางมาแล้ว” น้ำเสียงที่ราบเรียบของจื่อซีดังขึ้น
ด้านในไม่มีเสียงแว่วออกมา จื่อซีจึงไม่ได้เคาะห้องต่อ แต่ยกมือทำความเคารพโหลวเย่ว จากนั้นก็จากไป
โหลวเย่วร้อนใจ มือสองข้างของนางถือข้าวต้มที่ร้อนมากๆอย่างระมัดระวัง มองแล้วมองอีกไปที่ประตูห้อง
“เสด็จอา ท่านอยู่ข้างในหรือไม่เพคะ! ข้าคือจาวหยางไง! มีเรื่องมาหาท่าน ท่านรีบเปิดประตูหน่อยเพคะ!”
“เสด็จอา ท่านอยู่หรือไม่อยู่ ข้ามีเรื่องด่วนจะพูดกับท่าน”
พูดมามากแล้ว และรอมาครู่หนึ่งแล้ว ยังคงไม่มีเสียงแว่วออกมาจากด้านใน พระราชธิดาจาวหยางจึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำ :
“ไม่ใช่ว่าไปแล้วนะ?”
“เสด็จอา เสด็จอาเย่ ท่านอยู่หรือไม่อยู่กันแน่เพคะ? ข้าเอาข้าวต้มมาให้ท่านถ้วยหนึ่ง ยังร้อนอยู่เลยนะเพคะ!”
สิ้นสุดคำพูด
ประตูห้อง “เอี๊ยด” เสียงเปิดออกแล้ว
ชุดเสื้อคลุมดำขอบทองทั้งชุดแสดงออกถึงความน่าเกรงขามเป็นพิเศษ แววตาที่เย็นชาของเขากวาดมองดูนางแวบหนึ่ง
จากนั้นก็เอาสายตามามองที่ข้าวต้มร้อนๆบนมือของนาง ริมฝีปากเริ่มขยับ
“เจ้าทำ?”
“……หา? ใช่เพคะใช่เพคะ เพื่อแสดงออกถึงน้ำใจ จึงทำข้าวต้มถ้วยหนึ่งให้ท่านเป็นพิเศษ เสด็จอา ท่านอย่าได้รังเกียจ ข้าต้มเองกับมือ”
ไม่มีทางแล้ว
เสด็จอาสีหน้าไม่ดี หากไม่พูดว่านางต้มเองกับมือ ก็จะรับรู้ถึงน้ำใจของนางไม่ได้
รับรู้น้ำใจของนางไม่ได้ เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องคิดว่าจะได้กลับไปที่จวนอ๋องเย่แล้ว
“เจ้าทำอันนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เย่แจ๋หยิ่งจ้องไปที่ตาของพระราชธิดาจาวหยาง ราวกับว่ากำลังตรวจสอบอะไรอยู่
“อันนี้……ข้า……”
นางกลืนน้ำลายไปหลายอึก งึมงำๆ ไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าทำไม
ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ถูกเสด็จอาจ้องมองเช่นนี้ เฉกเช่นกับกำลังสอบสวนคนทำผิด นางรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว จนแทบจะหายใจไม่ออก
“ความจริง……”
ภายใต้สายตาของเย่แจ๋หยิ่ง โหลวเย่วคิดว่าคำโกหกของนางไม่สามารถปิดบังได้อีก ดังนั้นจึงคิดจะพูดความจริง
แต่คิดไม่ถึง……
“เข้ามาเถอะ!”
เย่แจ๋หยิ่งเก็บสายตา หันหลังแล้วเดิน โหลวเย่วโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง รีบตามเข้าไป
จากนั้น
ทั้งสองก็นั่งตรงข้ามกัน
โหลวเย่วเอาข้าวต้มวางไว้ด้านหน้าเขา พูดอย่างระมัดระวัง : “เสด็จอา ท่านกินตอนยังร้อนเถอะเพคะ!”
“อืม:”
เย่แจ๋หยิ่งหยิบช้อนแล้วตักขึ้นกินไปช้อนหนึ่ง
หลังจากที่ชิมรสชาติ มือของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากก็ผุดรอยยิ้มที่ไม่สามารถสังเกตได้ขึ้น
ในไม่ช้า ข้าวต้มถ้วยหนึ่งก็ถูกกินจนหมด
เย่แจ๋หยิ่งวางช้อนลง มองไปทางโหลวเย่ว พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย :
“จาวหยาง สองสามวันนี้เจ้าก็อยู่ที่ตำหนักเทพธิดา ถึงเวลาค่อยกลับจวนไปพร้อมข้า” หลังจากที่เห็นโหลวเย่วยิ้มขึ้นมา เขาก็พูดขึ้นอีก “ในช่วงเวลาที่อยู่ที่ตำหนักเทพธิดา เจ้าต้องต้มข้าวต้มให้ข้าทั้งเช้าและเย็น”
เมื่อได้ยินว่าต้มข้าวต้ม สีหน้าของโหลวเย่วก็หงอยไปทันที
สวรรค์ล่ะ!
นางทำไม่เป็น!
เช่นนี้จะให้นางต้มอย่างไร?
“เสด็จ เสด็จอา……” นางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ทำไม? ข้าวต้มนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าต้มเองกับมือหรอกหรือ?” เย่แจ๋หยิ่งหรี่ตาลง น้ำเสียงที่มีเสน่ห์เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“อันนี้……”
“จำไว้ รสชาติของข้าวต้มต้องเหมือนกัน” ไม่ได้มีโอกาสให้นางได้พูดเลยสักนิด
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป!
โหลวเย่วรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า คนทั้งคนแข็งทื่อเฉกเช่นหินสลัก
“ออกไปเถอะ!”
หลังจากที่โหลวเย่วเดินออกไปอย่างทื่อๆ เย่แจ๋หยิ่งก็ใช้สายตามองไปที่ถ้วยอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรออก มุมปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“รสชาติเยี่ยมมาก!”
โหลวเย่วไม่รู้ว่าเดินมาถึงห้องครัวเล็กได้เช่นไร
เมื่อเห็นเทพธิดาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร แววตานางก็เป็นประกาย ราวกับว่าได้คว้าหญ้าช่วยชีวิตไว้ได้ รีบเหาะพุ่งเข้าไป
“เทพธิดา ครั้งนี้ท่านต้องช่วยข้า ท่านจะทำอะไร เพียงแค่ข้ามี ข้าก็จะให้ท่านทั้งหมด”
หลานเยาเยาเงยขึ้นไปมองนาง พูดว่า :
“กินข้าวก่อน!”
“อ่ออ่ออ่อ ได้สิ” เยาเยาเคยพูด ฟ้าใหญ่แผ่นดินใหญ่ กินข้าวใหญ่ที่สุด
ดังนั้น!
นางจึงเอาเรื่องอื่นเก็บไว้ทีหลังชั่วคราว
เพราะว่าอาหารอันโอชะที่อยู่เบื้องหน้า หลานเยาเยากินข้าวด้วยความรวดเร็ว เร็วจนโหลวเย่วคิดว่าตัวเองตาลายแล้ว
เดิมทีโหลวเย่วคิดว่า
อยู่ต่อหน้าเทพธิดา นางควรจะสุภาพและสง่างาม ต้องมีท่าทางในแบบของพระราชธิดา
ถึงแม้ว่าอาหารนี้จะเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่นางเคยกินมา นางก็ควรจะรักษาภาพพจน์ที่ดูมีความช่ำชองไว้
แต่ว่า……
หลังจากที่เห็นว่าอาหารบนโต๊ะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ นางจึงละทิ้งความคิดที่จะรักษาภาพพจน์ แล้วรีบกินอย่างรวดเร็วทันที
ชั่วครู่!
อาหารเช้าก็กินเรียบร้อยแล้ว และท้องของนางก็กินจนอิ่มแล้ว
หลานเยาเยาเทน้ำชาแก้วหนึ่ง ส่งไปด้านหน้าของโหลวเย่ว
“มีอะไรก็พูดเถอะ!”
นางอยากจะดูซิ้ เย่แจ๋หยิ่งจะใจร้ายไม่ให้นางกลับจวนจริงหนือไม่
แต่ทว่า
เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิด
“ข้าเอาข้าวต้มไปให้เสด็จอา และยังพูดว่าลงมือต้มเอง คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาจะเชื่อว่าเป็นความจริง
จะให้ข้าอยู่ที่ตำหนักของท่าน ต้มข้าวต้มให้เขากินทุกเช้าเย็น และยังต้องเป็นรสชาติที่เหมือนกันอีกด้วย
ทำเช่นไรดีล่ะ?
ข้าต้มข้าวต้มไม่เป็น เทพธิดา ท่านช่วยข้าเถอะ หากว่าข้าทำไม่ได้ เสด็จอาต้องโกรธแน่”
เมื่อคิดถึงท่าทางที่เสด็จอาโกรธ
โหลวเย่วก็อดที่จะหดตัวลงไม่ได้ สันหลังเย็นวาบ
น่ากลัวยิ่งนัก!