หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 275 อ๋องเย่มาปรึกษาหารือ
บทที่ 275 อ๋องเย่มาปรึกษาหารือ
พูดจบ หลานเยาเยาก็เข้าไปยังห้องนอนของตน ปิดประตูหน้าต่าง จากนั้นก็เอาร่างของท่านแม่ออกมาจากระบบ ทำการศึกษาแล้วทั้งคืน ค่อยเก็บร่างของท่านแม่ไว้ในระบบ
อีกทั้งยังใช้น้ำยาแช่เอาไว้
นางคิดว่าจะหาเวลาที่เหมาะสม ฝังร่างของท่านแม่อย่างเงียบๆอีกครั้ง
วันถัดมา ฝนหยุดแล้ว
หลานเยาเยาบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง คิดไม่ถึง
“โอ๊ะ·····”
เพิ่งรู้สึกว่าเวียนศีรษะอยู่บ้าง
หลานเยาเยามองชุดเสื้อผ้าที่ยังคงเปียกปอนอยู่ ตบหัวตัวเองเบาๆ
ตายหล่ะ
เป็นหวัดแล้ว
หากรู้อย่างนี้เมื่อวานกลับมาถึงคงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
ไม่ได้การ ง่วงนอนจริงๆ หลายเยาเยาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า กินยาแก้หวัดแล้ว ค่อยนอนหลับไป
มีโรคชนิดหนึ่งช่างแปลกประหลาดมาก
นั่นก็คือไข้หวัด
นานๆจะเป็นหวัดสักที ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร มันมีความสามารถในการขับพิษด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะทำให้คนรู้สึกไม่สบาย ไม่ว่าจะกินยาอะไรก็ไม่ค่อยเห็นผลนัก
อย่างไรก็ตาม อาการทั่วไป ภูมิคุ้มกันดีสักหน่อย แม้จะไม่กินยาก็สามารถหายได้เองในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์
ฉะนั้น หลานเยาเยาไม่ได้ใส่ใจอาการหวัดครั้งนี้เท่าไหร่
······
การนอนหลับครั้งนี้ หลานเยาเยาได้ฝันแปลกๆ
ในฝันคืออยู่ในสนามรบ ข้างกำแพงเมือง มีแม่ทัพเกาะเหล็กที่มีแผลเต็มร่างคนหนึ่ง สายตามองไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่อุ้มจิ่วเซียวหวนเพ่ยไว้ในอ้อมอกยืนอยู่บนกำแพงด้วยสายตาแห่งความรัก พร้อมทั้งนำทหารบาดเจ็บทั้งหลายเข้าสู้กับศัตรู
หลานเยาเยารู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
ฉะนั้นนางจึงพุ่งเข้าไปในสนามรบ คิดอยากจะใช้ตนเองบังหอกให้กับแม่ทัพคนนั้น แต่กลับพบว่าหอกเหล่านางแทงทะลุร่างนางไป แทงไปบนร่างของแม่ทัพคนนั้น
นางรับรู้ได้ถึง เสียงหอกอันแหลมคมที่แทงทะลุร่างของแม่ทัพ และยังรับรู้ได้ถึง อุณหภูมิของเลือดของเขาที่สาดกระเด็นมาบนตัวนาง
นอกจากยืนมองแล้ว
นางได้แต่ยืนมองเขาที่ล้มลงบนกองเลือด ทำอะไรไม่ได้
ทันใดนั้น
“ตึงตึงตึงตึงตึง……”
นางได้ยิน บนกำแพงมีเสียงของพิณจิ่วเซียวหวนเพ่ยส่งมา ขึ้นๆลงๆ เจ็บปวดถึงขีดสุด
ชั่วขณะที่หันหน้าไป ก็เห็นหญิงสาวที่งดงามคนนั้นน้ำตาไหลนองเต็มหน้า น้ำตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
จากนั้น
นางเดินขึ้นไปบนกำแพง กระโดดลงมาโดยไม่ลังเล
“อย่านะ······”
นางรีบวิ่งออกไป อยากรับนางเอาไว้ อยากช่วยชีวิตนาง
แต่กลับพบว่า
ร่างของหญิงสาวที่ร่วงลงมาทะลุผ่านมือของนางไป กระแทกลงกับพื้นอย่างหนัก
ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์
ในสมองของนางว่างเปล่า ในใจเจ็บปวดอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น
“ตู้ม······”
ไฟแดงฉานลุกไหม้ขึ้นบนร่างอย่างกะทันหัน แผดเผาสนามรบรอบๆตัวจนมอดไหม้
และนางก็เข้าสู่ทะเลเพลิง รอบตัวล้วนเป็นดอกกระดูกขาวสีแดงสด
อุณหภูมิที่ร้อนจนถึงจุดเดือด ลวกผิวกายนาง แผดเผาใจนาง
ในทะเลเพลิง ชายหนุ่มที่ใบหน้าและร่างเต็มไปด้วยเลือด มองนางอย่างเจ็บปวด เสียงทุ้มและร้อนรนส่งผ่านมาในหู
“เยาเยา ตื่นเถอะ เจ้ารีบตื่น ······”
“ชาตินี้ยังใช้ชีวิตไม่หมดสิ้น อย่าคิดถึงชาติหน้าเลย เยาเยา ข้าอยู่ตลอด เจ้ารีบตื่นมาเถอะ”
“ชีวิตข้าก็ให้เจ้าได้ อย่าว่าแต่พลังภายในเพียงครึ่งเดียวเลย ”
“ให้เจ้า นี่เป็นดอกกระดูกขาวสีขาว ที่เจ้าต้องการ ข้าเอามาให้แล้ว เจ้าต้องอดทนไว้นะ”
“หึหึ ลืมกันและกันในชาติภพนี้ เยาเยา แม้ข้าจะลืมเจ้าไปจริงๆก็ตาม ข้าก็จะพยายามสุดความสามารถในทุกวิถีทางเพื่อจะจำเจ้าไว้ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด และไม่สนว่าเจ้าจะจำข้าได้หรือไม่ ข้าจะตามหาเจ้าจนเจอ······”
“เยาเยา อย่าไป อย่าไป······”
เสียงเรียกเหล่านั้น ทิ่มแทงอย่างรุนแรงเข้าไปในใจที่เต็มไปด้วยหลุมของนาง ทำให้ใจนางเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ว่า ขณะที่ไฟยิ่งโหมรุนแรง ชายผู้นั้นและเสียงของเขาก็ค่อยๆมอดไหม้ไปในทะเลเพลิง
“กลับมา”
หลานเยาเยาตะโกนขึ้น ร่างพุ่งไปด้านหน้า ยื่นมือไปหวังจะดึงชายหนุ่มที่กำลังจะถูกกลืนเข้าไปในทะเลเพลิง
ตอนนี้เอง
หลานเยาเยาตื่นขึ้นกะทันหัน นางลุกขึ้นนั่ง เหงื่อท่วมหัว หายใจเสียงหอบ
ฝัน
ฝันอีกแล้ว
หรือจะเป็นความทรงจำที่หลงลืมไปหลังจากไม่สบาย
จะเป็นความทรงทำที่ถูกลืมได้อย่างไร
คิดถึงสายตาเย็นชาคู่นั้นที่หน้าผาแห่งหุบเขาจิ้น และมือที่กำคอของนางอย่างไร้ปรานี
ฉะนั้น
เป็นไปไม่ได้
บางที นี่อาจเป็นการค้นหาเพื่อให้จิตใจของตนได้หลุดพ้นก็เป็นได้
แต่ว่า นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เหมือนข้างเตียงนางจะมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ และยังเป็นบุรุษที่มาพร้อมความสง่างาม และมือของนางก็กำมือเรียวยาวของเขาไว้แน่น อุณหภูมิอุ่นๆนั้นห่อหุ้มจิตใจขุ่นมัวของนางไว้
เมื่อหันศีรษะไป ก็เจอกับสายตาที่ลึกล้ำดุจน้ำวนคู่หนึ่ง
หลานเยาเยานิ่งไปชั่วครู่ นางมองเขานิ่งๆ มองดวงตาที่เหมือนกันกับดวงตาคู่นั้นในทะเลเพลิง
ในทะเลเพลิง ร่างที่ดูเลือนรางของชายคนนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น เหมือนกันกับเย่แจ๋หยิ่งตอนนี้ไม่ผิด
นิ่งเงียบไปเป็นนาน
หลานเยาเยาจึงได้สติ รีบดึงมือออก ท่าทีเปลี่ยนไป เอ่ยเสียงเย็น
“ออกไป”
เย่แจ๋หยิ่งมองมือของตัวเอง เมื่อครู่เขาอยู่ข้างนอก ได้ยินนางพูดอะไรบางอย่างในห้อง
เหมือนจะเจ็บปวดมาก ฉะนั้นเขาจึงเดินเข้ามาดู
ไม่คิดว่า
พอเดินมาถึงข้างเตียง ก็ถูกนางคว้ามือเอาไว้
ความรู้สึกเหมือนรู้จักกันพุ่งตรงเข้าไปในใจเขาจนใจสั่นไหว แต่ยังไม่ทันได้รับรู้อย่างละเอียด มือน้อยอรชรก็ดึงกลับไปแล้ว
รู้สึกในใจว่างเปล่ากะทันหัน
“เมื่อครู่ฝันร้ายหรือ ดูเจ้าเหงื่อเต็มหัว คงถูกทำให้ตกใจไม่น้อย ”น้ำเสียงดึงดูนั้นพูดขึ้นอย่างช้าๆ
เย่แจ๋หยิ่งยื่นมือคิดจะช่วยนางเช็ดเหงื่อ แต่กลับถูกหลานเยาเยาหลบหลีกไป มุมปากเขาหยักขึ้น เก็บมือกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมมองข้าอย่างนี้”
มองท่าทีของนางเหมือนไม่เข้าใจปนกับความโมโหเล็กน้อย รอยยิ้มของเย่แจ๋หยิ่งก็ยิ่งลึกขึ้น “มา ดื่มน้ำขิงสักหน่อยเถอะ เจ้าเป็นหวัดแล้ว”
ขณะพูด เขาก็ยกถ้วยน้ำขิงที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ใดขึ้น ยื่นมาตรงหน้านาง ยังมีควันลอยฟุ้งอยู่
มองน้ำขิงที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็มองเย่แจ๋หยิ่งที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นก็มองไปรอบๆ
เป็นห้องนอนของตัวเองไม่ผิด
แล้วเขาโผล่มาจากที่ใดกัน
“เชิญท่านออกไป”จากนั้นตานางก็หรี่เล็กลง มองตรงไปที่ดวงตาของเขา แล้วยังพูดด้วยเสียงเย็นว่า
“แล้วก็ เป็นถึงอ๋องเทพสงคราม เข้ามาในห้องส่วนตัวของข้า หากพูดออกไปจะเป็นที่หัวเราะซะเปล่า ”
ด้วยนิสัยของเย่แจ๋หยิ่ง น่าจะไม่ใช่การแอบเข้ามาในห้องของนาง และเสียงต่อสู้กันข้างนอกที่ส่งมาเป็นระยะ ก็พอจะบอกได้แล้ว เย่แจ๋หยิ่งเข้ามาโดยใช้กำลัง
“ข้ามาก็เพื่อปรึกษาหารือ”
“ปรึกษา หารือ”หลานเยาเยารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
ไม่ใช่จะยืมข้ออ้างเรื่องบุญคุณที่ช่วยชีวิต เพื่อเข้ามาตรวจสอบความจริงเรื่องนางหรอกหรือ
ปรึกษาหารือ
เรื่องอะไร
เมื่อวานนางเพิ่งช่วยชีวิตเขาไป
ที่แท้เขาก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร
เพียงแต่
“แม้จะมาปรึกษาหารือ ก็ไม่สมควรเป็นที่นี่”