หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 223 ที่นี่คือสวรรค์บนดิน?
บทที่223 ที่นี่คือสวรรค์บนดิน?
แม้เย่แจ๋หยิ่งจะส่งสองคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดมาปกป้องหลานเยาเยาแล้วเป็นยังไง?
ถ้าไม่มีเขา หลานเยาเยาตอนนี้ก็เหลือแต่กระดูกแล้ว
อ้อไม่
ถูกงูเหลือมยักษ์กลืนไปทั้งเป็น สุดท้ายแม้แต่กระดูกก็อาจไม่เหลือ
“ช่างทุ่มเทจริงๆ!”
เขาพูดประโยคนี้นิ่งๆ
เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้มันก็เป็นคำชม แต่เมื่อออกจากปากของหานแส มันกลับมีความรู้สึกเย้ยหยัน
“เจ้าพูดอะไร?”
มีคนบอกว่าเจ้านายไม่ดี นั่นมันได้หรือ จื่อซีจึงโกรธทันที
ไม่ว่าจะใครหน้าไหน ก็ไม่สามารถมาพูดได้ว่าเจ้านายไม่ดี
“เฮอะ ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาทอดทิ้งหลานเยาเยา และยังแสร้งทำเป็นส่งคนไร้ประโยชน์สองคนมาปกป้อง กำลังทำอะไรอยู่?
คงไม่ได้คิดว่านางยังมีค่าอยู่บ้างใช่ไหม ถึงต้องให้นางไม่คิดถึงเขาตลอด?”
หานแสยกมุมปาก พูดต่อว่า:
“ดูตอนนี้ เจ้าคิดว่าจะพึ่งพวกเจ้าให้มาปกป้องนางที่ไม่มีอะไรเลยได้หรือ?
น่าขัน ถ้าไม่ใช่เพราะข้ายื่นมือไปช่วย ตอนนี้นางคงไปรอย่อยอยู่ในท้องของงูเหลือมยักษ์แล้ว
แล้วเย่แจ๋หยิ่งหล่ะ? ไม่รู้ว่าไปมีความสุขที่ไหน!”
พูดจบ!
หานแสก็ชายตามองจื่อซี ส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
“นั่นไม่ใช่ เจ้านายเขา……”จื่อซีต้องการแก้ต่าง
“จื่อซี”
จื่อเฟิงที่อยู่ข้างๆตัดบทจื่อซีที่ต้องการจะพูด “อย่าตกกับดักเขา”
“เฮอะ!”
จื่อซีสะบัดแขนเสื้อ หันหัวไปข้างๆ
เขาคิดว่าหานแสต้องการจะยุยงความสัมพันธ์ของเจ้านายกับพระชายา ดังนั้นถึงได้แค้นเคือง ต้องการออกหน้าแทนเจ้านาย
คิดไม่ถึงว่า ที่หานแสยุยงนั้น ก็เป็นการแอบหยั่งเชิงเจตนาที่แท้จริงของเจ้านายด้วย
เขาเกือบจะถูกหลอกแล้ว!
เมื่อแผนการไม่สำเร็จ หานแสก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางจัดแจงเสื้อผมที่ยุ่งเหยิง
“หลอกไม่ง่ายเลย น่าเบื่อจริงๆ”
จากนั้นเขาก็มองไปทางหลานเยาเยา แต่กลับพบว่าหลานเยาเยาไม่ได้สนใจพวกเขาเลย
หลานเยาเยาตอนนี้ได้สังเกตสถานการณ์ภายในถ้ำแล้ว
ในถ้ำนั้นไม่ได้มืดสลัวนัก ดูเหมือนกับยังมีแสงสว่างอ่อนๆ อีกทั้งยังมีลม
นี่ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า ถ้ำนี้ยังมีทางออกอื่นอีก
หลานเยาเยามั่นใจในข้อนี้
แต่ว่า……
ทางออกมันจะนำไปสู่ที่ไหน?
แต่สถานที่อันตรายนี้ต้องไม่ใช่ดินแดนในฝันแน่ สถานที่ที่สามารถทำให้สัตว์กลายพันธุ์หวาดกลัวได้ จะต้องน่ากลัวกว่าสัตว์กลายพันธุ์แน่
“ทำไมหล่ะ? ไม่พักก่อนเสียหน่อยหรอแล้วค่อยไปรนหาที่ตาย?”
เมื่อเห็นหลานเยาเยาจะยกเท้า หานแสก็พูดเสียงเย็น
เอ่อ······
หลานเยาเยาแทบจะลืมไปว่าพวกเขาเพิ่งหนีมาในถ้ำ ยังไม่ได้พักเลย
นางไม่เหนื่อยเพราะหานแสพานางบินตลอด คนที่เหนื่อยก็คือหานแสกับจื่อซีจื่อเฟิง นางแค่รับหน้าที่ตกใจ กับขยับสมองเล็กน้อยเท่านั้น
“ไอหยา!ข้าเหนื่อย! พักเสียครู่แล้วค่อยไปเถอะ!”
ก็ได้!
หานแสเป็นคนที่จะตายแล้วก็ต้องรักษาหน้าตา คาดว่าเขาน่าจะต้องเหนื่อยจนแทบสำลักถึงได้พูดแบบนี้ออกมา อีกอย่างเขาไม่ลงรอยกับจื่อซีจื่อเฟิงมาก แน่นอนว่าเขาต้องไม่อยากให้พวกเขาสบประมาทเขา
แล้วทำไมหลานเยาเยาต้องช่วยเขาหล่ะ?
มีหลายเหตุผล ประการแรก หานแสช่วยชีวิตเขา นี่เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ประการสอง คนเยอะก็มีกำลังเยอะ อีกทั้งหานแสเป็นคนที่เก่งที่สุด กล่าวอีกนัยคือ ในเวลาแบบนี้หานแสไม่สามารถขัดใจได้เด็ดขาด
ถ้าเพราะมีเวลาพักไม่เพียงพอ ก็จะทำให้เขาไม่พอใจนาง และถ้าครั้งหน้าเจออันตรายจะต้องบินอีก คาดว่าเขาจะไม่ใจดีอีก
“พระชายา ท่านเหนื่อยแล้วรีบพักเสียหน่อยเถอะ ข้าน้อยจะคุ้มกันท่านเอง”
จื่อซีที่กระตือรือร้นกับนางมาตลอด ไม่สนว่าจะด้วยสาเหตุใด ไม่สนว่าตนเองจะเหนื่อยจนแทบสำลัก ก็เป็นคนแรกที่ยืนขึ้นระมัดระวังมองนอกถ้ำ แล้วบอกให้นางพักผ่อนดีๆ
“ข้าแค่ต้องการโรยผงยารอบๆพวกเรา ไม่ว่าแมลงตัวใหญ่หรือตัวเล็กก็จะไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ง่ายๆ เจ้าก็พักผ่อนดีๆเถอะ!”
สำหรับความปลอดภัย
หลานเยาเยาเอาใจใส่มากกว่าใครๆ
พูดถึงอันตราย นางรู้สึกว่าในถ้ำอันตรายกว่าข้างนอกเยอะ ดังนั้นนางจึงให้ความสนใจกับอันตรายในถ้ำมากกว่า
หลังจากโรยผงยาแล้ว นางยังตั้งใจเพิ่มยาที่มีกลิ่นฉุนเข้าไปอีกหน่อย
ทำให้สัตว์ที่อยู่ข้างในและข้างนอกถ้ำเข้ามาใกล้ไม่ได้
หลังจากหยุดพักไปครู่นึง
เมื่อเห็นหานแสลุกขึ้น นางก็รู้ว่าเขาพักผ่อนได้ที่แล้ว ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้น
“ที่นี่มีผงยาอยู่มาก พวกเจ้าโรยเอาไว้บนตัวเพื่อกันไม่ให้งู มด แมลง หนู เข้าใกล้”
หลังจากส่งให้จื่อซีกับจื่อเฟิง
หลานเยาเยาก็มาตรงหน้าหานแส แล้วเอาผงยาให้เขา แต่หานแสกลับชายตามองนาง
“เจ้าต้องการให้ข้าเอาผงยากลิ่นเหม็นนี่มาโรยไว้บนตัว เจ้าคิดว่ามันได้หรือ?”
พูดจบ
เขาก็หยิบผงยาไปแล้วโรยกระจายๆบนตัว
“······”
เอาเถอะ!
จะทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน
หลังจากจิบชาแล้ว พวกเขาสี่คนก็เดินไปทางส่วนลึกของถ้ำ
ในถ้ำมีแสงสว่างอ่อนๆ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ ถ้าเหยียบไปโดนอะไรน่ากลัวเข้า นั่นก็อันตรายแล้ว
ไม่รู้ว่าจื่อเฟิงเก็บกิ่งไม้มาจากไหน เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วพันไว้ที่หัวของกิ่งไม้แล้วจุดไฟ ทำเป็นคบเพลิงแบบง่าย
เขากับจื่อซีเดินข้างหน้าสำรวจทาง หลานเยาเยากับหานแสเดินตามหลังมา
เมื่อมีคบเพลิง พวกเขาสามารถเห็นสัตว์กลายพันธุ์ขนาดเล็กจำนวนมากอย่างเลือนราง สัตว์เล็กพวกนั้นอาศัยอยู่ในที่มืดและชื้น
อย่างเช่นค้างคาวที่ผอมอย่างแปลกประหลาด แมงมุมที่บาดตาทำคนตกใจ มดหลากหลายสีสัน······
หลังจากที่เห็นแสง
พวกมันไม่เพียงแต่จะไม่หลบ ยังคิดจะโจมตีพวกเขาอีก
แต่พอหลังจากได้กลิ่นฉุน ก็หนีแตกออกไป
เมื่อเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่แอบด่าตัวเองว่าโง่
ถ้าได้โรยผงยาไว้บนตัวแต่แรก ก่อนหน้านี้จะได้ไม่ถูกเหล่าสัตว์กลายพันธุ์ไล่อย่างน่าเวทนา
หานแสที่ดูเหมือนรู้ว่านางคิดอะไรอยู่
หลังจากที่มองนางอย่างดูถูก ก็เอาผงยาที่เหลืออยู่ในมือนิดหน่อยเช็ดๆไปบนตัวอีกครั้ง
หลานเยาเยาอดกระตุกมุมปากไม่ได้
คนนี้นี่นับวันยิ่งดูบ้าคลั่ง นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี
ถ้ำนี้จะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น เดินไปสักพักก็เดินมาถึงทางออกอีกทางหนึ่ง
ทันทีที่เดินออกจากถ้ำ
ก็มีความรู้สึกเหมือนเห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนมีภาพลวงตาที่หลงเข้าไปในแดนสวรรค์
สิ่งที่สะท้อนเข้าไปในม่านตาของพวกเขา มันเหมือนดินแดนในฝันในสวรรค์
เนินเขาเขียวขจี ทะเลสาบเล็กๆที่น้ำใสแจ๋ว ดอกไม้เล็กๆหลากหลายสี และยังมีท้องฟ้าเมฆขาว หมอกบางๆ······
เมื่อเห็นทิวทัศน์สวยงามเช่นนี้ หลานเยาเยาแทบจะหลงทาง
ว้าว!
สวยมาก
เป็นสวรรค์บนดินจริงๆหรือ?
แต่ประโยคแรกที่นางพูดกลับเป็น······
“ที่นี่ยังมีอุกกาบาตอีกไหม?”
สภาพแวดล้อมสวยงามเกินไป จนทำให้หลานเยาเยารู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ
ดังนั้นความคิดแรกของนางก็คือนึกว่ามีอุกกาบาตทำให้เขาเห็นภาพหลอนอีก
“ผีพุ่งไต้ถูกเจ้าทำลายไปแล้ว”
อุกกาบาต?
มักจะได้ยินคำว่าอุกกาบาตสามคำนี้จากปากหลานเยาเยา แม้เขาจะไม่รู้ความหมายของชื่อ แต่กลับรู้ว่าสิ่งที่หลานเยาเยาพูดก็คือผีพุ่งไต้
“งั้นสถานที่นี้ของจริงหรือ?”
ตอนแรกนางคิดว่าที่นี่จะเป็นเขาแห้งแล้ง พุ่มไม้เตี้ยมีหนามหนาแน่น มีดินดำแนวหินโสโครก แม้แต่โทนสีก็จะเป็นสีเข้มๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิด······