หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - ตอนที่ 102 ตัวจริงของฮองเฮา
บทที่ 102 ตัวจริงของฮองเฮา
“คำนับพระชายาเย่!”
“ลุกขึ้นเถิด!”
มื่ออยู่ในพระราชวัง หลานเยาเยาต้องวางตัวให้เหมือนพระชายาเย่ หลังจากที่พวกเขาคำนับเสร็จ นางก็พูดขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าไปรอที่ด้านนอกก่อน!”
“รับทราบ!”
นิสัยของจื่อซีถึงแม้จะเป็นคนเปิดเผย แต่สำหรับหมอที่มีวิชาสูงส่งย่อมมีนิสัยแปลกๆ ซึ่งจื่อซีก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เวลาที่เขารักษาอาการคนไข้นั้น ไม่ชอบให้คนมุงดูเยอะ
นิสัยนี้ของเขาเหล่าบรรดาหมอหลวงล้วนรู้ดี!
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้วนั้น
จื่อซีจึงเข้าไปจับชีพจรดูอาการให้ไทเฮา
ส่วนหลานเยาเยานั้นไม่ได้เดินตามไปด้วย แต่สำรวจอาการภายนอกของไทเฮา
ดวงตาของไทเฮาปิดสนิท สีหน้าปรกติ หายใจปรกติ มีแต่หน้าผากที่มีเม็ดเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเม็ดเหงื่อจะไม่เยอะ แต่ถ้าสังเกตดีๆก็มองเห็นได้
น่าแปลก?
ถึงแม้สีหน้าของไทเฮาจะดูปกติดี แต่ดูจากร่างกายของนางแล้วมีอาการตรึงแน่นเล็กน้อย
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
เวลานี้!
จื่อซีได้จับชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เหมือนหาสาเหตุไม่เจอ
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ให้นางลองเข้ามาจับชีพจรดูอีกที
หลานเยาเยาไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน
จากนั้นนั่งลงบนเตียงนอน เอามือจับไปที่ชีพจรของไทเฮา นางใช้ระบบสแกนช่วยไทเฮาตรวจสอบร่างกาย
จากนั้นได้บทสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว
หลานเยาเยาขมวดคิ้วแน่น ความคิดของนางเปลี่ยนไปในพริบตา
จื่อซีและหลานเยาเยาเดินออกมาจากด้านใน บรรดาหมอหลวงรีบกรูเข้าหาทันที
“คุณชายจื่อซี อาการของไทเฮาเป็นอย่างไงบ้าง?”หัวหน้าหมอหลวงของโรงหมอหลางรีบกรูเข้าไปถามเป็นคนแรก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ
ถึงแม้ว่าจื่อซีเป็นแค่องครักษ์ลับของอ๋องเย่ ไม่มีตำแหน่งอะไร เชื่อฟังเฉพราะคำสั่งของอ๋องเย่เท่านั้น
แต่เชื่อเสียงของเขาโด่งดัง วิชาการรักษาสูงส่ง คนทั่วไปนับถือเขาและเรียกเขาว่าคุณชาย
หัวหน้าหมอหลวงถึงแม้ว่าจะเป็นผู้มีตำแหน่ง แต่ท่านเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ท่านให้ความเคารพและเรียกจื่อซีว่าคุณชาย
จื่อซี่ไม่ได้ตอบ แต่กลับย้อนถามไปว่า:“พวกท่านทำทุกวิธีแล้วใช่หรือไม่ที่จะให้ไทเฮาตื่น แต่ไม่มีวิธีไหนที่ใช้ได้เลย?”
“ใช่แล้ว ชีพจรของไทเฮาปรกติดี อาการเหมือนคนที่ตกใจกลัวเท่านั้น ถ้าแปลกก็แปลกตรงที่ ไม่ว่าใช้ยาอะไรกระตุ้นก็เหมือนไม่มีผล”
ซึ่งมันน่าแปลกยิ่งนัก!
แต่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว อย่างน้อยไทเฮาก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
แต่ทางด้านฮองเฮายิ่งยากลำบากเข้าไปอีก ถ้าหาสาเหตุอาการป่วยไม่เจอ เขาซึ่งเป็นถึงหัวหน้าหมอหลวงคงจะถึงคราวต้องโดนปลดให้พ้นจากตำแหน่งเป็นแน่
“ไม่ต้องเป็นกังวล ไทเฮาแค่สัมผัสด้านกลิ่นได้รับผลกระทบเท่านั้นเอง อีกสักพักก็จะฝืนขึ้นมาได้”
เมื่อจื่อซีพูดแบบนี้ บรรดาหมอหลวงที่อยู่ในนั้นทุกคนรู้สึกคลายกังวลขึ้นมาทันที
ผ่านไปสักพัก พวกเขาเข้าไปในห้องนอนของไทเฮาอีกครั้ง!
ซึ่งฮองเฮาในตอนนี้ได้เป็นลมไปแล้ว
พวกเขาใช้วิธีเดียวกัน โดยเรียกคนรับใช้ให้ออกไปรอข้างนอก จากนั้นหลานเยาเยาจึงได้เข้าไปตรวจจับชีพจร
อาการของฮองเฮา มีอยู่อาการหนึ่งที่เหมือนกับอาการของพระราชธิดาจาวหยาง ก็คือเวลาอาการกำเริบจะบ้าคลั่งเหมือนปีศาจ
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนอาการของพระราชธิดาจาวหยางคือ
เวลาที่อาการของพระราชธิดาจาวหยางกำเริบนั้น ควบคุมสติไม่ได้ เพียงแต่นางต้องการดูดเลือดอย่างเดียว
แต่สำหรับอาการของฮองเฮานั้นสติปรกติดีทุกอย่าง แค่ไม่สามารถควบคุมอาการบ้าคลั่งของตัวเองได้ แค่ฆ่าคนไม่ดูดเลือด มิหนำวิธีการโหดเหี้ยมมาก
ฟังจากสาวรับใช้ในวังของฮองเฮาเล่าว่า
เวลาที่อาการของฮองเฮากำเริบ มีสาวรับใช้ในพระราชวังอยู่สี่คน
มีอยู่สองคนโดนฮองเฮาใช้เล็บที่แหลมคม ค่อยๆแทงที่ละนิดทีละนิดจนพวกเขาตาย ;อีกสองคนโดนแทงที่ลำคอ รอจนพวกเขาเลือดไหลเป็นทาง ฮองเฮาถึงจะหักคอของพวกนาง
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการตายแบบไหน
ล้วนแต่โหดร้าย อีกทั้งเหมือนเขาจะมีความสุขเมื่อเห็นวิธีการตายของพวกนาง
หลังจากที่หลานเยาเยาจับชีพจรเสร็จ ยืนอยู่ข้างเตียงมองดูฮองเฮาอยู่เงียบๆ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
ในจับเต็มไปด้วยข้อสงสัย!
“พระชายา หรือว่าฮองเฮาโดนพิษกู่?”
ตอนที่จื่อซีจับชีพจรพบว่า
ชีพจรของฮองเฮาคล้ายชีพจรของพระราชธิดาจาวหยางมาก แต่อาการที่กำเริบนั้นแทบจะไม่เหมือนกันเลย
นิ่คือสิ่งที่ทำให้เขาคิดว่าน่าจะโดนพิษของกู่
อย่างไรก็ตาม!
หลานเยาเยาส่ายหัวไปมา
“ไม่ใช่พิษกู่ กลับเหมือนธรรมชาติของฮองเฮาเอง แต่ก็ยังไม่แน่ใจ!”
“ธรรมชาติ?”
เป็นไปได้ยังไง?
ธรรมชาติของมนุษย์ ล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น
ธรรมชาติของฮองเฮาจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“เจ้าอาจจะพบว่าชีพจนของนางสลับซับซ้อน แต่เวลาที่อาการกำเริบ สติของนางกลับปรกติดีทุกอย่าง
อีกทั้งมีจุดหนึ่งทีสำคัญมาก เขาไม่ใช่โดนคนอื่นตีจนสลบ แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่เป็นลมไปเอง นิ่แหล่ะคือปัญหา!”
ถ้าโดนพิษของกู่ หรือโดนควบคุมด้วยกู่ เป็นไปไม่ได้ว่าในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ จะเป็นลมไปได้
ได้ยินว่า!
ดวงตาของจื่อซีเบิกกว้าง
“พระชายา ความหมายของท่านคือ อาการของฮองเฮานั้นนางสามารถควบคุมได้เองอย่างงั้นเหรอ?”
ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะน่ากลัวมาก
ในใจของจื่อซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวและกังวล เขาค่อยๆหันไปมองที่เตียงนอน……
อย่างไรก็ตาม!
ผ้าห่มถูกดึงขึ้น!
บนเตียงนอนไม่มีคนแล้ว!
เขารู้สึกตกใจ รีบมองไปฝั่งของหลานเยาเยา ปรากฏว่าดวงตาของฮองเฮาตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฝาด เล็บเดิมหดหายไป เปลี่ยนเป็นสีดำที่ยื่นออกมา คมแหลมเหมือนมีด
“พระชายาระวัง!”
จื่อซีร้องตะโกนออกมา
เมื่อเขาปรี่ตัวเข้าไปช่วยไม่ทันแล้ว เล็บของฮองเฮากำลังจะแทงเข้าไปด้านหลังของหลานเยาเยา
ซึ่งจุดที่จะแทงเข้าไปนั้นตรงกับตำแหน่งของหัวใจพอดี!
ดวงตาแดงก่ำเลือดฝาดของฮองเฮาตอนนี้ ชายแววโหดเหี้ยมเหมือนผู้ที่จะทำการสำเร็จ
ไปตายซะ!
ใครจะรู้……
แผ่นหลังของหลานเยาเยาเสมือนมีดวงตามองเห็นได้ ก่อนที่เล็บดำของฮองเฮาจะทิ่มแทงเข้าที่ร่างกายของนาง นางกลับหายตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ฮองเฮารีบหันตัวกลับไป เพื่อค้นหาว่าหลานเยาเยาอยู่ที่ไหน
แต่ว่า!
ทันใดนั้น นางเห็นหลานเยาเยายืนอยู่ข้างจื่อซี ซึ่งขนาดนี้จื่อซีได้ดึงมีดออกจากสายคาดเอวของเขา
“เป็นไปได้อย่างไง?”น้ำเสียงของฮองเฮาแหบพล่าเล็กน้อย
หลานเยาเยาหัวเราะออกมาเบาเบา ยิ้มใส่จื่อซีอย่างได้ใจแล้วพูดว่า:
“ข้าบอกแล้วใช่ไหม นี่คือธรรมชาติของนาง รีบชื่นชมข้าเลย!”
เมื่อกี้นางแค่ทายุเฉยๆ แต่ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเป็นอย่างที่คิดจริง
สาเหตุที่สงสัยแบบนี้ มาจากตอนที่ทำการตรวจสอบผ่านระบบสะแกนนั้น ปรากฏว่ามียาที่หลงเหลือในร่างกายนางจำนวนมาก ซึ่งยาตัวนี้ใช้สำหรับต้านทานอาการของโรคบ้าคลั่ง
บวกกับการบรรยายของสาวใช้ในวัง นางถึงกล้าที่จะมีความคิดเช่นนี้!
“พระชายาฉลาดแหลมคมจริงๆ!”
คำชมของจื่อซีนั้นออกมาจากใจจริง แต่ว่า เวลานี้สิ่งที่ควรใส่ใจน่าจะอยู่ที่ตัวฮองเฮา?
เมื่อเห็นสายตาของจื่อซีที่หรี่มองมานั้น นางจึงรีบละสายตามองไปที่ตัวฮองเฮา พร้อมทั้งยิ้มเล็กน้อยมองไปที่นาง
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?บนโลกนี้สิ่งแปลกๆเกิดขึ้นได้เสมอ หรือว่าไม่ใช่?”
ฮองเฮาสามารถปิดบังฮ่องเต้ได้นานนับปีขนาดนี้ คิดว่าน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ!”น้ำเสียงของฮองเฮาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
ก่อนหน้านี้นางก็มีความสงสัยแล้ว
ผู้ที่มีอำนาจบารมีอย่างอ๋องเย่ มีหรือจะชองคนที่ขี่ขลาดตาขาวเข้าไปได้ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรเลย?
ยิ่งไปกว่านั้น อ๋องเย่กับหลานเฉินมู๋ยังเป็นศัตรูกันอีกด้วย
ฉะนั้นแล้ว!
ถังมู่หวั่นที่ว่าเป็นหญิงงามที่สุดในเมืองหลวงแล้วยังไม่เข้าสายตาเขาเลย ฉะนั้นหลานเยาเยาเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นหญิงธรรมดามที่ได้ยินมา
“ในงานฉลองของไทเฮา เจ้าไม่ใช่ได้ทำการทำลองแล้วเหรอ?”