หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 545 เลือดย้อมที่ว่าการเฟิ่งเทียน (3)
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ องค์ชายหกก็อดอารมณ์ดีไม่ได้ กล่าวเสียงดังว่า “กู้หลิวอวิ๋นเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสา ฝ่าบาทถูกเป่าหูจนแต่งตั้งเขาเป็นอัครมหาเสนาบดี ถึงขั้นไม่ลังเลที่จะฆ่าฟันพี่น้องในราชวงศ์เพื่อเขา ขุนนางชั่วเช่นนี้ไม่ควรฆ่าอย่างนั้นหรือ พี่น้องทั้งหลาย ขุนนางทั้งหลาย พวกท่านคิดเห็นอย่างไรเล่า”
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายหกถนัดในการยุยงผู้อื่น “องค์ชายหกพูดถูก…”
“ใช่แล้ว กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นปีศาจจริงๆ …”
ผู้คนเริ่มเปิดปากส่งเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงจิ่นกลับมีความสุขมากขึ้นเช่นกัน ผู้ที่ไม่เคยเห็นเลือดจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อฟัง ดีมาก…ดีจริงๆ
ใจคนเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าสมเพช เพียงแค่พูดเกลี้ยกล่อมนิดหน่อยก็สามารถทำให้หลายคนทำตามความคิดของตัวเองอย่างเชื่อฟังได้ เดิมทีหากองค์ชายหกไม่มีกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อนับหมื่นอยู่ในมือ และถ้าหรงจิ่นไม่แสดงความโหดเหี้ยมเช่นนี้ ไม่ว่าองค์ชายหกจะยั่วยุขุนนางชั้นสูงเหล่านี้อย่างไรก็คงไม่กล้าต่อต้านหรงจิ่นซึ่งๆ หน้าแบบนี้ เพราะอย่างไรเสียหรงจิ่นก็เป็นฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฏของแคว้นเย่ว์ และในยุคสมัยนี้ คำว่า ‘ถูกต้องตามกฏ’ สี่พยางค์นี้มีความสำคัญอย่างมากในสายตาคนจำนวนมาก
แต่เนื่องจากความโหดร้ายของหรงจิ่นเกินขอบเขตที่หลายคนจะทนได้ วันนี้หรงจิ่นไม่มีความเมตตาต่อบรรดาองค์ชายกับลูกหลานเชื้อพระวงศ์แม้แต่นิดเดียว สำหรับพวกเขาบรรดาข้าราชบริพารเหล่านี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง องค์ชายหกมีกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อนับหมื่นอยู่ในมือ โอกาสที่จะชนะนั้นสูงกว่าหรงจิ่นที่นำอดีตองครักษ์มาด้วยแค่สิบกว่านายอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งบรรดาท่านอ๋องที่ยกเว้นจวงอ๋องซึ่งเงียบมาโดยตลอดกับสวินอ๋องที่หายตัวไป ที่เหลือเห็นได้ชัดว่าเป็นศัตรูกับหรงจิ่น
จังหวะเวลาและโอกาสคือปัจจัยที่ทำให้คนสามัคคีกัน หรงจิ่นดูเหมือนจะไม่มีเลยสักอย่าง บรรดาขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ที่เดิมทีก็ไม่ได้จงรักภักดีเท่าไหร่ย่อมโอนเอนไปทางองค์ชายหกอย่างไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ข้ออ้างของพวกเขาก็ยังทำอย่างเปิดเผย โปรดลงโทษขุนนางชั่ว ไม่มีใครคิดว่ามีอะไรผิดปกติ
“ขอฝ่าบาทโปรดประหารกู้หลิวอวิ๋น!” ทุกคนต่างคุกเข่าแล้วกล่าวพร้อมกัน ชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ มีผู้คนจำนวนมากคุกเข่าอยู่ที่ลานกว้างนอกห้องโถงใหญ่
“ข้า ไม่อนุญาต แล้วจะทำไม” หรงจิ่นสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
องค์ชายหกเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฝ่าบาทถูกกู้หลิวอวิ๋นเป่าหูจนไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องให้พวกกระหม่อมกำจัดขุนนางชั่วแทนฝ่าบาทแล้วกระมัง กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อ ฆ่ากู้หลิวอวิ๋น!”
เซี่ยซิวจู๋ที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงอีสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะบังนางไว้ แต่กลับถูกมู่ชิงอียกมือห้าม
ภายใต้สายตาของทุกคน มู่ชิงอีที่เงียบมาตลอดค่อยๆ ยืนขึ้นพลางเอ่ยเสียงเรียบ “องค์ชายหก แผนการโง่เง่าเช่นนี้ก็คิดจะใช้ฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะท่านอยากครองบัลลังก์จนบ้าไปแล้วหรือคิดว่าข้ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นคนโง่เขลา”
ใบหน้าองค์ชายหกดูบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วกู้หลิวอวิ๋นยังกล้าเยาะเย้ยเขาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย เหยียดยิ้มเอ่ย “กู้หลิวอวิ๋น เจ้าไม่ต้องมาปากแข็ง วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
มู่ชิงอีเอียงศีรษะด้วยความสงสัยเอ่ย “ดูเหมือนว่าองค์ชายหกจะมีความคับแค้นใจต่อข้าเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าข้าไปทำให้องค์ชายหกต้องขุ่นเคืองตอนไหน” จะว่าไปแล้วมู่ชิงอีก็ไม่เคยทำให้องค์ชายหกขุ่นเคืองจริงๆ แม้แต่ความคับข้องใจที่มีต่อหรงเซวียนก็ยังมีมากกว่าเขาเสียอีก
“หรือว่าข้าทำอะไรให้ฝ่าบาททำเรื่องเหลวไหลไร้เหตุผล องค์ชายหกจึงได้รีบร้อนที่จะกวาดล้างขุนนางชั่วเช่นนี้” มู่ชิงอีกล่าวพลางยิ้มบาง
องค์ชายหกกล่าวอย่างเย็นชา “เป็นเพราะเจ้า ฝ่าบาทถึงได้ต้องการลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูกสายเลือดราชวงศ์ถึงเจ็ดแปดคน ก็เป็นเพราะเจ้าเป่าหูไม่ใช่หรือ”
มู่ชิงอียิ้มอย่างเย็นชา “อย่างนั้นหรือ หมายความว่าหากเป็นเชื้อพระวงศ์ก็สามารถลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีได้อย่างนั้นหรือ องค์ชายหก ดูเหมือนท่านจะเข้าใจผิดไปหนึ่งเรื่อง แคว้นเย่ว์ไม่ใช่ของตระกูลหรง แต่เป็น…ของฝ่าบาท ที่สายเลือดราชวงศ์รุ่งเรืองและร่ำรวยก็เพราะเป็นสายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้ ไม่ได้หมายความว่าพวกท่านมีอำนาจที่จะแบ่งปันอาณาจักรกับฮ่องเต้! ข้าเป็นข้าราชบริพาร พวกท่านก็เป็นข้าราชบริพารเช่นกัน แต่เพราะพวกท่านแซ่หรง ฝ่าบาทจึงไม่มีสิทธ์แม้แต่จะจัดการกับข้าราชบริพารชั่วเหล่านี้ที่ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดี? หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกท่านนั่งบนบัลลังก์เสมอกันกับฮ่องเต้ไปเลยเล่า”
“เจ้าคิดหาคำพูดมาอ้างเหตุผล!” องค์ชายหกกล่าวด้วยอารมณ์คุกรุ่น “เป็นเพราะคำพูดอันชาญฉลาดของเจ้า ฝ่าบาทจึงไม่ฟังคำตักเตือนของข้าราชบริพารเลยแม้แต่น้อย และสังหารสายเลือดราชวงศ์อย่างไร้เหตุผล!”
“ตักเตือน?” มู่ชิงอีกวาดสายตามองผู้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ไม่ได้เป็นการบังคับฝ่าบาทหรอกหรือ”
“ฝ่าบาททำไม่ถูก พวกเรากล่าวตักเตือน มีอะไรผิดตรงไหน” องค์ชายหกกล่าว
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หมายความว่า…องค์ชายหกคิดว่าการที่บรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์ลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักไม่ผิดอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว!” องค์ชายหกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ขุนนางชั่วอย่างเจ้าไม่ว่าใครก็สามารถลงโทษได้”
“ดี” มู่ชิงอีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแผ่วเบา องค์ชายหกกลับชะงักไปครู่หนึ่ง จ้องมู่ชิงอีอย่างระแวดระวัง สงสัยว่าเขาจะทำอะไร เห็นเพียงสีหน้าของชายหนุ่มผู้งดงามตรงหน้าเขาแข็งทื่อ กล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “เซี่ยจู๋ ฆ่าองค์ชายหกให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ” เซี่ยวซิวจู๋รับคำ ดึงกระบี่ยาวออกมาจากฝักกระบี่ในมือองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างแล้วพุ่งไปที่องค์ชายหก การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนพลันหน้าซีดด้วยความตกใจ องค์ชายหกรีบหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่วรยุทธ์อย่างเขาจะหลบคมกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ได้อย่างไร ต่อให้เป็นเพียงกระบี่ธรรมดาหรือไม่ได้ออกแรงเลยก็ตาม
เมื่อหรงเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างและคนอื่นๆ เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นรีบชักกระบี่ไปขวางกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ ในเวลานี้ไม่ง่ายเลยที่องค์ชายหกจะรักษาชีวิตไว้ได้ หากเซี่ยซิวจู๋ฆ่าองค์ชายหก ขวัญกำลังใจที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ก็จะหายไปอีกครั้ง
หรงเหยี่ยนกับองค์ชายห้าที่อยู่ด้านข้างสองคนซ้ายขวาชักกระบี่ออกมาพร้อมกันเพื่อรับกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ไว้ เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย คมกระบี่หันไปทางองค์ชายหกอีกครั้ง องค์ชายหกสูดหายใจเข้า รีบไปซ่อนตัวอยู่หลังฝูงชน ผลักองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างไปรับกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ด้วยความตื่นตระหนก
“ซิวจู๋ ช่างเถิด”
กระบี่ยาวหยุดอยู่ห่างจากหน้าอกขององครักษ์ผู้นั้นไม่ถึงหนึ่งนิ้ว เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้ว แม้ว่าการโจมตีจะไม่สำเร็จ แต่หากกระบี่แทงเข้าไป ต่อให้ตรงกลางมีองครักษ์ขวางอยู่ แต่เขาก็สามารถรับประกันได้ว่าองค์ชายหกต้องตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
“กู้…กู้หลิวอวิ๋น! เจ้ากล้าเกินไปแล้ว! กล้าดีอย่างไรมาสังหารข้าต่อหน้าทุกคน!” องค์ชายหกตกใจจนหน้าซีดเซียว แม้กระทั่งเวลาพูดก็ยังหายใจหอบถี่
มู่ชิงอีกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสบายๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อองค์ชายหกคิดว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีนั้นไม่ผิด ถ้าอย่างนั้นข้าฆ่าองค์ชายที่ไม่เคารพฮ่องเต้ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร องค์ชายหกคิดว่า…ถูกหรือไม่”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร! ยืนงงอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบฆ่าขุนนางชั่วผู้นี้ให้ข้าอีก!” องค์ชายหกเดือดดาลอย่างมาก ทั้งๆ ที่ตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่กลับถูกกู้หลิวอวิ๋นหักหน้าเช่นนี้ องค์ชายหกจะทนได้อย่างไร รีบตะโกนสั่งกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อเสียงดัง
“เหอะ!”
หรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงเยาะเย้ยอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าอย่างเจ้าหรือ หากกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อไม่เชื่อฟังข้า แล้วข้าจะเอาพวกเขาไว้ในเมืองทำไม เทียนซู ไคหยาง” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ องค์ชายหกก็อดอารมณ์ดีไม่ได้ กล่าวเสียงดังว่า “กู้หลิวอวิ๋นเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสา ฝ่าบาทถูกเป่าหูจนแต่งตั้งเขาเป็นอัครมหาเสนาบดี ถึงขั้นไม่ลังเลที่จะฆ่าฟันพี่น้องในราชวงศ์เพื่อเขา ขุนนางชั่วเช่นนี้ไม่ควรฆ่าอย่างนั้นหรือ พี่น้องทั้งหลาย ขุนนางทั้งหลาย พวกท่านคิดเห็นอย่างไรเล่า”
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายหกถนัดในการยุยงผู้อื่น “องค์ชายหกพูดถูก…”
“ใช่แล้ว กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นปีศาจจริงๆ …”
ผู้คนเริ่มเปิดปากส่งเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงจิ่นกลับมีความสุขมากขึ้นเช่นกัน ผู้ที่ไม่เคยเห็นเลือดจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อฟัง ดีมาก…ดีจริงๆ
ใจคนเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าสมเพช เพียงแค่พูดเกลี้ยกล่อมนิดหน่อยก็สามารถทำให้หลายคนทำตามความคิดของตัวเองอย่างเชื่อฟังได้ เดิมทีหากองค์ชายหกไม่มีกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อนับหมื่นอยู่ในมือ และถ้าหรงจิ่นไม่แสดงความโหดเหี้ยมเช่นนี้ ไม่ว่าองค์ชายหกจะยั่วยุขุนนางชั้นสูงเหล่านี้อย่างไรก็คงไม่กล้าต่อต้านหรงจิ่นซึ่งๆ หน้าแบบนี้ เพราะอย่างไรเสียหรงจิ่นก็เป็นฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฏของแคว้นเย่ว์ และในยุคสมัยนี้ คำว่า ‘ถูกต้องตามกฏ’ สี่พยางค์นี้มีความสำคัญอย่างมากในสายตาคนจำนวนมาก
แต่เนื่องจากความโหดร้ายของหรงจิ่นเกินขอบเขตที่หลายคนจะทนได้ วันนี้หรงจิ่นไม่มีความเมตตาต่อบรรดาองค์ชายกับลูกหลานเชื้อพระวงศ์แม้แต่นิดเดียว สำหรับพวกเขาบรรดาข้าราชบริพารเหล่านี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง องค์ชายหกมีกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อนับหมื่นอยู่ในมือ โอกาสที่จะชนะนั้นสูงกว่าหรงจิ่นที่นำอดีตองครักษ์มาด้วยแค่สิบกว่านายอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งบรรดาท่านอ๋องที่ยกเว้นจวงอ๋องซึ่งเงียบมาโดยตลอดกับสวินอ๋องที่หายตัวไป ที่เหลือเห็นได้ชัดว่าเป็นศัตรูกับหรงจิ่น
จังหวะเวลาและโอกาสคือปัจจัยที่ทำให้คนสามัคคีกัน หรงจิ่นดูเหมือนจะไม่มีเลยสักอย่าง บรรดาขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ที่เดิมทีก็ไม่ได้จงรักภักดีเท่าไหร่ย่อมโอนเอนไปทางองค์ชายหกอย่างไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ข้ออ้างของพวกเขาก็ยังทำอย่างเปิดเผย โปรดลงโทษขุนนางชั่ว ไม่มีใครคิดว่ามีอะไรผิดปกติ
“ขอฝ่าบาทโปรดประหารกู้หลิวอวิ๋น!” ทุกคนต่างคุกเข่าแล้วกล่าวพร้อมกัน ชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ มีผู้คนจำนวนมากคุกเข่าอยู่ที่ลานกว้างนอกห้องโถงใหญ่
“ข้า ไม่อนุญาต แล้วจะทำไม” หรงจิ่นสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
องค์ชายหกเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฝ่าบาทถูกกู้หลิวอวิ๋นเป่าหูจนไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องให้พวกกระหม่อมกำจัดขุนนางชั่วแทนฝ่าบาทแล้วกระมัง กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อ ฆ่ากู้หลิวอวิ๋น!”
เซี่ยซิวจู๋ที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงอีสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะบังนางไว้ แต่กลับถูกมู่ชิงอียกมือห้าม
ภายใต้สายตาของทุกคน มู่ชิงอีที่เงียบมาตลอดค่อยๆ ยืนขึ้นพลางเอ่ยเสียงเรียบ “องค์ชายหก แผนการโง่เง่าเช่นนี้ก็คิดจะใช้ฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะท่านอยากครองบัลลังก์จนบ้าไปแล้วหรือคิดว่าข้ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นคนโง่เขลา”
ใบหน้าองค์ชายหกดูบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วกู้หลิวอวิ๋นยังกล้าเยาะเย้ยเขาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย เหยียดยิ้มเอ่ย “กู้หลิวอวิ๋น เจ้าไม่ต้องมาปากแข็ง วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
มู่ชิงอีเอียงศีรษะด้วยความสงสัยเอ่ย “ดูเหมือนว่าองค์ชายหกจะมีความคับแค้นใจต่อข้าเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าข้าไปทำให้องค์ชายหกต้องขุ่นเคืองตอนไหน” จะว่าไปแล้วมู่ชิงอีก็ไม่เคยทำให้องค์ชายหกขุ่นเคืองจริงๆ แม้แต่ความคับข้องใจที่มีต่อหรงเซวียนก็ยังมีมากกว่าเขาเสียอีก
“หรือว่าข้าทำอะไรให้ฝ่าบาททำเรื่องเหลวไหลไร้เหตุผล องค์ชายหกจึงได้รีบร้อนที่จะกวาดล้างขุนนางชั่วเช่นนี้” มู่ชิงอีกล่าวพลางยิ้มบาง
องค์ชายหกกล่าวอย่างเย็นชา “เป็นเพราะเจ้า ฝ่าบาทถึงได้ต้องการลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูกสายเลือดราชวงศ์ถึงเจ็ดแปดคน ก็เป็นเพราะเจ้าเป่าหูไม่ใช่หรือ”
มู่ชิงอียิ้มอย่างเย็นชา “อย่างนั้นหรือ หมายความว่าหากเป็นเชื้อพระวงศ์ก็สามารถลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีได้อย่างนั้นหรือ องค์ชายหก ดูเหมือนท่านจะเข้าใจผิดไปหนึ่งเรื่อง แคว้นเย่ว์ไม่ใช่ของตระกูลหรง แต่เป็น…ของฝ่าบาท ที่สายเลือดราชวงศ์รุ่งเรืองและร่ำรวยก็เพราะเป็นสายเลือดเดียวกันกับฮ่องเต้ ไม่ได้หมายความว่าพวกท่านมีอำนาจที่จะแบ่งปันอาณาจักรกับฮ่องเต้! ข้าเป็นข้าราชบริพาร พวกท่านก็เป็นข้าราชบริพารเช่นกัน แต่เพราะพวกท่านแซ่หรง ฝ่าบาทจึงไม่มีสิทธ์แม้แต่จะจัดการกับข้าราชบริพารชั่วเหล่านี้ที่ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดี? หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกท่านนั่งบนบัลลังก์เสมอกันกับฮ่องเต้ไปเลยเล่า”
“เจ้าคิดหาคำพูดมาอ้างเหตุผล!” องค์ชายหกกล่าวด้วยอารมณ์คุกรุ่น “เป็นเพราะคำพูดอันชาญฉลาดของเจ้า ฝ่าบาทจึงไม่ฟังคำตักเตือนของข้าราชบริพารเลยแม้แต่น้อย และสังหารสายเลือดราชวงศ์อย่างไร้เหตุผล!”
“ตักเตือน?” มู่ชิงอีกวาดสายตามองผู้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ไม่ได้เป็นการบังคับฝ่าบาทหรอกหรือ”
“ฝ่าบาททำไม่ถูก พวกเรากล่าวตักเตือน มีอะไรผิดตรงไหน” องค์ชายหกกล่าว
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หมายความว่า…องค์ชายหกคิดว่าการที่บรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์ลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักไม่ผิดอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว!” องค์ชายหกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ขุนนางชั่วอย่างเจ้าไม่ว่าใครก็สามารถลงโทษได้”
“ดี” มู่ชิงอีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแผ่วเบา องค์ชายหกกลับชะงักไปครู่หนึ่ง จ้องมู่ชิงอีอย่างระแวดระวัง สงสัยว่าเขาจะทำอะไร เห็นเพียงสีหน้าของชายหนุ่มผู้งดงามตรงหน้าเขาแข็งทื่อ กล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “เซี่ยจู๋ ฆ่าองค์ชายหกให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ” เซี่ยวซิวจู๋รับคำ ดึงกระบี่ยาวออกมาจากฝักกระบี่ในมือองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างแล้วพุ่งไปที่องค์ชายหก การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนพลันหน้าซีดด้วยความตกใจ องค์ชายหกรีบหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่วรยุทธ์อย่างเขาจะหลบคมกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ได้อย่างไร ต่อให้เป็นเพียงกระบี่ธรรมดาหรือไม่ได้ออกแรงเลยก็ตาม
เมื่อหรงเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างและคนอื่นๆ เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นรีบชักกระบี่ไปขวางกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ ในเวลานี้ไม่ง่ายเลยที่องค์ชายหกจะรักษาชีวิตไว้ได้ หากเซี่ยซิวจู๋ฆ่าองค์ชายหก ขวัญกำลังใจที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ก็จะหายไปอีกครั้ง
หรงเหยี่ยนกับองค์ชายห้าที่อยู่ด้านข้างสองคนซ้ายขวาชักกระบี่ออกมาพร้อมกันเพื่อรับกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ไว้ เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย คมกระบี่หันไปทางองค์ชายหกอีกครั้ง องค์ชายหกสูดหายใจเข้า รีบไปซ่อนตัวอยู่หลังฝูงชน ผลักองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างไปรับกระบี่ของเซี่ยซิวจู๋ด้วยความตื่นตระหนก
“ซิวจู๋ ช่างเถิด”
กระบี่ยาวหยุดอยู่ห่างจากหน้าอกขององครักษ์ผู้นั้นไม่ถึงหนึ่งนิ้ว เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้ว แม้ว่าการโจมตีจะไม่สำเร็จ แต่หากกระบี่แทงเข้าไป ต่อให้ตรงกลางมีองครักษ์ขวางอยู่ แต่เขาก็สามารถรับประกันได้ว่าองค์ชายหกต้องตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
“กู้…กู้หลิวอวิ๋น! เจ้ากล้าเกินไปแล้ว! กล้าดีอย่างไรมาสังหารข้าต่อหน้าทุกคน!” องค์ชายหกตกใจจนหน้าซีดเซียว แม้กระทั่งเวลาพูดก็ยังหายใจหอบถี่
มู่ชิงอีกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสบายๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อองค์ชายหกคิดว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีนั้นไม่ผิด ถ้าอย่างนั้นข้าฆ่าองค์ชายที่ไม่เคารพฮ่องเต้ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร องค์ชายหกคิดว่า…ถูกหรือไม่”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร! ยืนงงอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบฆ่าขุนนางชั่วผู้นี้ให้ข้าอีก!” องค์ชายหกเดือดดาลอย่างมาก ทั้งๆ ที่ตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่กลับถูกกู้หลิวอวิ๋นหักหน้าเช่นนี้ องค์ชายหกจะทนได้อย่างไร รีบตะโกนสั่งกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อเสียงดัง
“เหอะ!”
หรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงเยาะเย้ยอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าอย่างเจ้าหรือ หากกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อไม่เชื่อฟังข้า แล้วข้าจะเอาพวกเขาไว้ในเมืองทำไม เทียนซู ไคหยาง”