หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 518 นายหญิงแห่งวังหลังหรือใต้เท้าแห่งราชสำนัก(3)
หรงจิ่นมีท่าทีไม่เข้าใจ มู่ชิงอียิ้มแผ่วเบา นางรู้ว่าถึงแม้นางจะได้เป็นฮองเฮา เข้าไปยุ่งเรื่องในราชสำนักหรงจิ่นก็ไม่มีทางว่านาง แต่นางไม่อยากทำเช่นนั้น รากฐานของหรงจิ่นยังไม่มั่นคง หากฮองเฮาเข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องในราชสำนักคงไม่ส่งผลดี แล้วอีกอย่างคือนางไม่มีตระกูลยิ่งใหญ่คอยหนุนอยู่เบื้องหลัง หากนางเป็นขุนนางในราชสำนักย่อมแตกต่าง ยิ่งไปกว่านั้น ได้กลับมีชีวิตใหม่ นางไม่อยากใช้ชีวิตตามเส้นทางชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้การเป็นฮองเฮาคือเป้าหมายและเกียรติยศสูงสุดของผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ แต่มู่ชิงอี้รู้ว่านางสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น
ถึงแม้หรงจิ่นจะผิดหวังที่ชิงชิงไม่ยอมเป็นฮองเฮา แต่เขาก็ไม่สนใจ ขอแค่ชิงชิงยอมแต่งงานกับเขา เขาก็จะเก็บตำแหน่งฮองเฮาไว้ให้นาง ไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งนี้ย่อมต้องเป็นของชิงชิงแน่นอน
อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน หรงจิ่นเลยเข้าใจความคิดของมู่ชิงอีเป็นอย่างดี เขากอดนางพร้อมลูบผมนุ่มๆ ของนางกล่าว “เช่นนั้นชิงชิงจะเป็นอัครมหาเสนาบดีของข้าดีหรือไม่”
มู่ชิงอีมองหรงจิ่นด้วยความตกใจ หรงจิ่นมองนางด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรผิดปกติหรือ” ฮองเฮาคือนายหญิงแห่งวังหลัง ในเมื่อเขาไม่อยากแต่งงานกับคนอื่น ฮองเฮาจึงไม่มีความหมาย แต่อัครมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนาง…องค์ชายเก้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลวจริงๆ
มู่ชิงอีหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะเข้ามาในราชสำนักไม่ถึงครึ่งปี ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดี นี่ไม่ใช่แค่การเลื่อนตำแหน่งธรรมดา แต่มันคือการเลื่อนตำแหน่งไปตำแหน่งสูงสุดเลยนะเพคะ องค์ชายเก้าไม่กลัวว่าราษฎรจะด่าว่าท่านเป็นฮ่องเต้ผู้โง่เขลาหรืออย่างไร”
หรงจิ่นยิ้มอย่างปีติ “ก็มีชิงชิงอยู่ฝั่งข้าไม่ใช่หรือ ในเมื่อชิงชิงไม่ยอมเป็นฮองเฮา เช่นนั้นก็ต้องรบกวนให้ชิงชิงเป็น…ขุนนางที่มีอำนาจแล้ว”
มู่ชิงอีกะพริบตา ขุนนางที่มีอำนาจ? นางชอบ! แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเถียงขึ้นมา “ขุนนางที่มีอำนาจ? คือขุนนางที่ประจอสอพลอน่ะหรือ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ขุนนางที่มีอำนาจบวกกับขุนนางประจบสอพลอ แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตบันทึกทางประวัติศาสตร์จะเขียนถึงชิงชิงอย่างไร”
บันทึกประวัติศาสตร์? มู่ชิงอียิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร มัน…สำคัญมากนักหรือ
หรงจิ่นกอดนางแล้วยิ้มอย่างพอใจ อดไม่ได้ที่จะจูบหน้าผากของนาง “ข้าชอบชิงชิงมากนะ!” นางไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรตามกฎเกณฑ์ ถึงกระนั้นองค์ชายเก้าก็ไม่เคยรู้สึกว่ามู่ชิงอีมีความคิดที่ไม่ดี ไม่แปลกที่เจอกันครั้งแรกเขาก็ถูกชะตากับชิงชิงทันที เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองต่างมีนิสัยคล้ายคลึงกัน
“กราบทูลฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีและใต้เท้าทุกคนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” นอกประตู เจี่ยงปินรายงานด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
หรงจิ่นปล่อยมู่ชิงอีออกแล้วกล่าวเสียงดังว่า “เข้ามาเถิด”
ขุนนางเฒ่าสิบกว่าคนที่อายุมากกว่าห้าสิบปีเดินเข้ามา เห็นหรงจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน สีหน้าของพวกเขาก็มืดมนลง พวกเขาล้วนแต่เป็นขุนนางของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ บางคนยังเคยเป็นขุนนางในราชสำนักมาตั้งสองราชวงศ์ ไม่ว่าองค์ชายองค์ใดขึ้นครองราชย์ แม้จะเป็นเพียงเบื้องหน้าแต่ก็ต้องเคารพพวกเขา แต่อวี้อ๋องคนนี้ไม่เคยออกไพ่ตามกฎเกณฑ์ ให้พวกเขาไว้ทุกข์อยู่ในวัง พวกเขาก็ต้องไว้ทุกข์อยู่ในวังจริงๆ ไม่เคยเรียกหรือโน้มน้าวพวกเขาเลยแม้เเต่ครั้งเดียว ทุกวันต้องคุกเข่าคารวะอย่างน้อยห้าหรือหกชั่วยามต่อวัน ทรมานพวกเขาจนพวกเขาหมดความอดทน
ครั้นเห็นหรงจิ่นที่มีท่าทีเกียจคร้านแล้วยังมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ข้างๆ ความโมโหในใจก็ของพวกเขาก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนทำความเคารพ
หรงจิ่นสะบัดมือแล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด ลำบากใต้เท้าแล้ว วันนี้ทุกคนกลับจวนเถิด ถึงแม้การไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากกระทบกับเรื่องในราชสำนัก วิญญาณของเสด็จพ่อคงไม่พอพระทัย”
บรรดาขุนนางอยากออกไปจากพระราชวังตั้งนานแล้ว พากันตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงเกรียงไกร” พร้อมกัน
หรงจิ่นพยักหน้าด้วยความพอใจ บอกให้ทุกคนลุกขึ้น เขามองไปที่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาที่ผมขาวโพลนด้านล่าง แล้วครุ่นคิดในใจว่า เหตุใดตอนนั้นเสด็จพ่อลงโทษตระกูลโจว แต่กลับละเว้นใต้เท้าเฒ่าคนนี้เล่า
เมื่ออัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเห็นฮ่องเต้องค์ใหม่กำลังมองมาที่ตัวเอง เขาก็หัวใจเต้นแรง ต้องรู้ว่า ฮ่องเต้องค์นี้ ตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ และหลังจากขึ้นครองราชย์ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบวัน เขาไม่เคยทำอะไรที่ทำให้เหล่าขุนนางสบายใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้กลับมองตัวเองเช่นนี้ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวามีเพียงความคิดเดียวคือ ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เขาไม่สบายใจ
หรงจิ่นมองดูชายเฒ่าที่มีสีหน้าหวาดระแวงคนนี้อย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่า สมแล้วที่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาคนนี้ได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาตลอดตอนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มีชีวิตอยู่ จิ้งจอกเฒ่าที่มีอำนาจมากกว่าตระกูลโจว ตระกูลเดิมของฮองเฮาคนนี้กลับไม่มีจุดอ่อนให้เขาเห็น
แต่องค์ชายเก้าคือใคร เมื่อองค์ชายเก้าอยากจัดการใครสักคน หากมีเหตุผล เขาไม่เกรงใจแน่นอน แต่หากไม่มีเหตุผล เขาก็จะทำให้มันมีเหตุผล ยิ่งไปว่านั้น เขาแค่อยากให้ชายเฒ่าคนนี้สละตำแหน่งให้ชิงชิงก็แค่นั้น
“อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา…เจ้าเป็นอัครมหาเสนาบฝ่ายขวามาจะสามราชวงศ์แล้วใช่หรือไม่” อัครมหาเสนาบฝ่ายขวาก้มหน้าลงอย่างระมัดระวังทูลตอบ “ฝ่าบาทตรัสเกินไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็แค่โชคดีที่อายุยืนยาวเท่านั้น” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ครองราชย์สี่สิบปี คนที่สามารถอยู่มาจนถึงสามราชวงศ์ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน อัครมหาเสนาบฝ่ายขวาคนนี้ก็คือหนึ่งในนั้น
อัครมหาเสนาบฝ่ายขวาเข้ามารับตำแหน่งขุนนางในราชสำนักตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้อดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ภายในเวลาไม่กี่ปีต่อมา แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สองสามองค์ก็ให้ความสำคัญกับเขามาตลอด อายุเพียงห้าสิบปีก็ได้นั่งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ต่อมาถึงแม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะก่อเรื่องมากมาย แต่เขาก็ไม่เคยยุ่งกับตำแหน่งนี้ ทำให้เขานั่งบนตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีอย่างมั่นคงมาตลอดสิบกว่าปีนี้ ตอนนี้เขาอายุหกสิบห้าปีแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเกี่ยวข้องกับการเป็นขุนนาง และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานในราชสำนัก ไม่เคยร่วมมือกับใคร ไม่เคยคัดค้านฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ เมื่อเทียบกับบรรดาฝ่ายตรวจการณ์ที่น่ารำคาญเหล่านั้น แน่นอนว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องพอใจกับการที่มีอัครมหาเสนาบฝ่ายขวาคนนี้แต่ก็เหมือนไม่มี เช่นนั้นก็หมายความว่า หลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้มีอำนาจของตัวเองแล้วยังได้ครอบครองอำนาจของอัครมหาเสนาบฝ่ายขวาอีก ไม่แปลกใจที่ไม่ว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์คนอื่นจะทำเช่นไรก็ทำอะไรฮ่องเต้ไม่ได้
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ชอบอัครมหาเสนาบฝ่ายขวาที่รู้ความเช่นนี้ แต่องค์ชายเก้ากลับไม่ชอบ แล้วอีกอย่าง ชายเฒ่าคนนี้แย่งตำแหน่งชิงชิง ทำให้องค์ชายเก้าอยากจะเตะเขาออกไปไกลๆ
หรงจิ่นพยักหน้าเอ่ย “อัครมหาเสนาบฝ่ายขวามีความดีความชอบ แน่นอนว่าควรต้องมอบรางวัลให้เจ้า เอาอย่างนี้ดีกว่า…แต่งตั้งให้อัครมหาเสนาบฝ่ายขวาเป็นราชครูองค์รัชทายาทแห่งสำนักศึกษาเหวินซิงเก๋อดีหรือไม่”
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” อัครมหาเสนาบฝ่ายขวากลับไม่ชอบ เขาคุกเข่าลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ไม่มีความดีความชอบแต่ได้รับรางวัล ถึงแม้อัครมหาเสนาบฝ่ายขวาจะไม่รู้ประสงค์ที่แท้จริงแต่เขาก็รู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าตัวเององค์นี้ ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีเมตตาและใจกว้าง ราชครูองค์รัชทายาทแห่งสำนักศึกษาเหวินซังเก๋อ มันคือขุนนางนักปราชญ์ที่สูงส่ง แต่ว่า… ราชครูแห่งสำนักศึกษาเหวินซังเก๋อมีเพียงแค่ในนาม ราชครูองค์รัชทายาท…ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่มีแม้แต่งานอภิเษกสมรส องค์รัชทายาทอยู่ที่ไหน ดังนั้น ตำแหน่งราชครูองค์รัชทายาทที่สูงส่งนี้…ก็มีเพียงแค่ในนาม…!
ในที่สุดอัครมหาเสนาบฝ่ายขวาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่อยากให้เขากลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ตำแหน่งสองตำแหน่งที่มีเพียงชื่อแลกกับตำแหน่งอัครมหาเสนาบฝ่ายขวาที่มีอำนาจที่แท้จริง แน่นอนว่ามันไม่คุ้ม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่กำลังนั่งจ้องมองตัวเองอยู่ อำนาจของอัครมหาเสนาบฝ่ายขวานั้นไม่เพียงพอที่จะต่อรองกับฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ขื่นขมว่า “กระหม่อม…ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”