หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 5 การเยาะเย้ยและเหยียดหยาม
ตอนที่ 5 การเยาะเย้ยและเหยียดหยาม
สถานการณ์ของตระกูลมู่นั้นค่อนข้างซับซ้อน สะใภ้ซุนมารดาของมู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงเดิมทีเป็นเพียงผู้ติดตามของมู่ฉังหมิง พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แน่นอนว่าความรู้สึกรักใคร่ในวัยเด็กนั้นย่อมแตกต่าง หลังจากที่มู่ฉังหมิงแต่งภรรยาแล้วนางก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอนุภรรยา มู่ฮูหยินนั้นไม่มีทายาทอยู่หลายปี แต่สะใภ้ซุนกลับให้กำเนิดทายาทออกมาคนแล้วคนเล่า แน่นอนว่าสถานะของนางภายในจวนจึงสูงขึ้นเป็นธรรมดา หลังจากที่บุตรีคนโตมู่เฟยหลวนเข้าวังในฐานะนางสนม สถานะของนางก็เกือบจะเทียบเท่ากับมู่ฮูหยิน จนกระทั่งการจากไปของมู่ฮูหยิน สะใภ้ซุนจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แทบจะเทียบเท่าตำแหน่งภรรยาเอกของมู่ฉังหมิง ดังนั้นจวนทั้งหมดจึงถืออยู่ภายใต้มู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงซึ่งเป็นทายาท
แต่อย่างไรก็ตาม แคว้นหวานั้นมีขนบธรรมเนียมที่ยุ่งยากและเข้มงวดมากมาย ระบบของการสมรสก็เข้มงวดมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น กฏเกณฑ์ที่อนุภรรยาไม่สามารถถือเป็นภรรยาเอกได้นั้นแทบจะเป็นกฎเหล็กไม่เพียงแต่สามัญชน ข้าราชการระดับสูง และขุนนางเท่านั้นที่ไม่สามารถแต่งตั้งอนุภรรยาเป็นภรรยาเอกได้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่สามารถแต่งตั้งนางสนมให้เป็นฮองเฮาได้เช่นกัน แม้ว่าฮองเฮาจะสิ้นพระชนม์ ก็ทำได้เพียงอภิเษกสมรมกับพระมเหสีองค์ใหม่เท่านั้น ดังนั้นในจวนซู่เฉิงโหวแม้ว่าสะใภ้ซุนจะอยู่ในนามภรรยาโดยชอบธรรมแต่ซู่เฉิงโหวและโหรวเฟยภายในวังหลวงนั้นก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าสะใภ้ซุนนั้นเป็นภรรยาเอก มู่ฮูหยินผู้ล่วงลับเป็นฮูหยินตระกูลโหวผู้สูงส่ง หลังจากการจากไปของนางก็ไม่อาจรู้ได้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไรถึงได้พระราชทานยศฉินกั๋วฮูหยินให้กับนางซึ่งมีศักดิ์สูงส่งกว่าซู่เฉิงโหวหนึ่งขั้น เดิมทีหากซู่เฉิงโหวต้องการแต่งภรรยาคนที่สอง ตามกฎแล้วศักดิ์ของภรรยาคนที่สองนั้นไม่ควรสูงกว่าศักดิ์เดิม ภรรยาคนที่สองนั้นยังสามารถถูกแต่งตั้งให้เป็นภรรยาเอกได้เช่นกัน แต่ปัจจุบันสะใภ้ซุนกลับไม่มีอะไรเช่นนั้นเลย ในสายตาของคนนอกนางยังคงเป็นเพียงแค่อนุภรรยา อย่างดีที่สุดคือนางอาวุโสกว่าอนุภรรยาทั่วไป แม้แต่งานเฉลิมฉลองระดับสูงหลายครั้งที่จัดขึ้นในเมืองหลวงก็ยังคงไม่มีที่ให้นางในนั้น เป็นเพราะเหตุนี้เองที่แม้ว่ามู่ฮูหยินจะล่วงลับไปหลายปีแล้ว แต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่เคยมอบอำนาจภายในจวนให้กับสะใภ้ซุนเลย สำหรับคำว่าภรรยาโดยชอบธรรมนั้น ภายในราชสำนักก็ให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยแค่เฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์โหรวเฟยและผิงอ๋องก็เท่านั้น
สะใภ้ซุนนั้นเป็นที่ใคร่ของมู่ฉังหมิง แม้ว่าจะต้องแอบแสดงความรักต่อนางก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมปล่อยให้คนนอกว่าร้ายภรรยาผู้เป็นที่รักผู้นี้ได้ ถึงแม้มู่ฮูหยินจะจากไปหลายปีแล้วก็ตาม
“ชิงอี ผู้ใดสอนคำเหล่านี้แก่เจ้า” มู่ฉังหมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรสาวผู้นี้มากนักแต่มู่ฉังหมิงก็ยังคงรู้จักนิสัยบุตรสาวอยู่บ้าง ด้วยหัวคิดของมู่ชิงอีนั้นไม่สามารถพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาเองได้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น เมื่อไม่กี่วันก่อนคงไม่ทำเพื่อตระกูลกู้…หว่านอวิ๋น และหัวแข็งเช่นนี้แน่
มู่ชิงอีหลับตาลงแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เมื่อคืนลูกฝันถึงท่านแม่ ท่านแม่ดุด่าลูกว่า ‘เจ้ามีศักดิ์เป็นถึงบุตรีของภรรยาอันชอบธรรมแต่ไม่รู้จักรักและเคารพตัวเอง เมื่อถูกอนุภรรยารังแกยังไม่รู้จักปกป้องตัวเอง ทำให้แม่ขายหน้ายิ่งนัก ตายไปกับแม่ยังจะดีเสียกว่า’ ท่านพ่อ ลูก…ลูกไม่อยากตาย…”
“พูดจาไร้สาระ ตายอะไรกันเล่า” มู่ฉังหมิงตำหนิด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมพร้อมสีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า
มู่ชิงอีหลับตาลง ก้มหัวและไม่ปริปากพูดอะไรอีก
เมื่อเห็นนางยืนตัวตรงอย่างนอบน้อม รูปร่างผอมบางและใบหน้าซีดเผือดทำให้มู่ฉังหมิงรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาถอนหายใจและพูดว่า “ร่างกายเจ้าเพิ่งจะดีขึ้น กลับไปนอนพักเสีย แล้ว…กลับไปเปลี่ยนเรือนที่พักด้วยล่ะ ส่วนอวิ๋นหรง เจ้าไม่มีความเคารพต่อท่านแม่ใหญ่ของเจ้า ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนเป็นเวลาสามวัน อนุญาตให้ดื่มน้ำวันละถ้วยเท่านั้น เข้าใจหรือไม่”
“ข้า…”
“ท่านพ่อ…”
แน่นอนว่ามู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงนั้นไม่เห็นด้วย แต่พอพวกเขากำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน กลับถูกจ้องมองด้วยสายตาดุร้ายจากมู่ฉังหมิง จึงทำได้เพียงกัดฟันและปิดปากเงียบไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
“นายท่านโหว เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” มู่ฉังหมิงกำลังจะบอกให้ทุกคนแยกย้าย เสียงของสะใภ้ซุนกลับดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก เมื่อได้ยินเสียงของมารดา มู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความปิติยินดีขึ้นในดวงตา
เมื่อเห็นมารดาเดินเข้ามา ใบหน้าของมู่อวิ๋นหรงและมู่หลิงก็ยิ่งเบิกบาน มู่อวิ๋นหรงเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่งพลางเหลือบมองมู่ชิงอีที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจแยแสเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นสะใภ้ซุน มู่ฉังหมิงก็ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ฮูหยิน มาที่นี่ทำไมหรือ”
สะใภ้ซุนเหลือบมองใบหน้าที่แดงก่ำของบุตรสาว เอ่ยอย่างขมขื่น “นายท่านโหว แม้ว่าอวิ๋นหรงจะทำสิ่งใดผิดไป ท่านจะลงโทษนางก็ได้ แต่เหตุใดท่านถึงต้องตบหน้าของนางด้วยเล่า ใบหน้าที่แสนสำคัญของบุตรสาวเรานั้น หากคนนอกมาเห็นเข้าล่ะก็…”
มู่อวิ๋นหรงรีบโผเข้าสู่อ้อมแขนของสะใภ้ซุน สะอื้นไห้ออกมา “ท่านแม่ ลูกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก…”
เมื่อเขาเห็นดวงตาแดงก่ำของภรรยา สีหน้าของความอับอายและกระอักกระอ่วนพลันปรากฏบนใบหน้าของมู่ฉังหมิง ไหนจะยังบุตรสาวที่สะอื้นไห้อยู่ด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งจะสั่งลงโทษมู่อวิ๋นหรงไป ดังนั้นการจะยกเลิกการลงโทษนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควร มู่ชิงอีที่อยู่ข้างๆ ก้าวไปข้างหน้าและพูดเบาๆ ว่า “ท่านน้า ไม่ใช่ท่านพ่อหรอกเจ้าค่ะที่ตบพี่หญิงสาม แต่เป็นฝีมือของข้าเอง”
เมื่อได้ยินคำเรียกว่าท่านน้าก็ทำให้สะใภ้ซุนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นับตั้งแต่การจากไปของสะใภ้จัง มารดาผู้ให้กำเนิดมู่ชิงอี ความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงอีและทุกคนในจวนโหวก็เกิดความเย็นชาขึ้นเล็กน้อย มู่ชิงอีที่แต่เดิมนั้นเป็นคนขี้กลัว สะใภ้ซุนจึงไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา เวลาพบหน้ากันในยามปกติ แม้นางจะไม่ทักทายด้วยการเรียกท่านแม่ ก็มีบ้างที่ทักทายด้วยการเรียกฮูหยิน แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะกลายมาใช้คำว่าท่านน้าเสียแล้ว อีกทั้ง…มู่ชิงอียังกล้าถึงขั้นที่จะลงมือตบอวิ๋นหรงอีก?
มู่ชิงอีเผชิญหน้ากับสายตาของสะใภ้ซุน พูดอย่างเฉยเมยว่า “อย่าโทษท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ พี่หญิงสามนั้นข้าเป็นคนตบเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะบุตรีของภรรยาอันชอบธรรมแห่งจวนซู่เฉิงโหว ชิงอีควรมีสิทธิ์ที่จะลงโทษบุตรีของอนุภรรยาที่ไม่เคารพต่อท่านแม่ใหญ่ของนาง อนุซุน ท่านว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
ร่องรอยของความอับอายปรากฏบนใบหน้าของสะใภ้ซุน หากมู่ชิงอีเรียกนางว่าท่านน้าก็ถือว่ายังมีความเคารพหลงเหลืออยู่บ้าง แต่การเรียกว่าอนุซุนเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการลดศักดิ์ของนางให้อยู่ในสถานะผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่ชิงอีโดยตรง สำหรับบุตรีของภรรยาอันชอบธรรมนั้น การได้เป็นอนุภรรยาแน่นอนว่าบทบาทอีกครึ่งก็คือเป็นบ่าวรับใช้ด้วย ในเมื่อถูกถามว่าถูกหรือไม่ แล้วนางจะตอบอย่างอื่นได้อย่างไร จะให้ตอบว่าไม่หรือ
หลังจากนั้นไม่นาน สะใภ้ซุนก็ดึงสติกลับมา มองดูมู่ชิงอีพลางยิ้มอย่างเข้มแข็ง “สิ่งที่อีเอ๋อร์พูดนั้นถูกต้อง…หากสิ่งใดที่หรงเอ๋อร์ทำให้เจ้าโกรธ น้าขอโทษแทนนางด้วย เห็นแก่ที่เราเป็นญาติกันด้วยเถิด หรงเอ๋อร์ เจ้ายังไม่รีบขอโทษน้องหญิงสี่อีก?”
มู่ชิงอียิ้มอย่างเย็นชาในใจ กล่าวอย่างแผ่วเบา “อนุซุนก็กล่าวเกินไปเจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้าได้จากไปแล้ว ส่วนท่านย่าเองก็ชรามากแล้ว คงจะเป็นการดีหากชิงอีช่วยแบ่งเบาภาระของท่านย่าและท่านพ่อได้บ้าง” หลังจากได้ยินคำพูดของนาง สะใภ้ซุนก็เกิดความตึงเครียดขึ้นในจิตใจ จ้องมองมู่ชิงอีอย่างระแวดระวัง นังเด็กคนนี้ต้องการยึดอำนาจอย่างนั้นหรือ
แคว้นหวาแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน หากมู่ฮูหยินผู้เฒ่าไร้ซึ่งอำนาจแล้วล่ะก็ ภายในจวนซู่เฉิงโหวคงต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนางอย่างแน่นอนหากนางยังไม่ได้แต่งออกไป เพียงเพราะมู่ชิงอีที่เดิมมีนิสัยอ่อนแอขี้ขลาด สะใภ้ซุนจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องของนางมาก่อน ไม่สามารถกล่าวได้ว่าจะเป็นไปไม่ได้หากมู่ชิงอีจะแย่งมันไป แม้ว่าจะมอบอำนาจการดูแลจวนซู่เฉิงโหวไว้ในมือตน ตนก็อาจจะไม่สามารถดูแลได้อย่างแท้จริง ตอนนี้สัญชาตญาณของสะใภ้ซุนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของภัยอันตราย ภายในจิตใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเคียดแค้นแทนบุตรีขึ้นมา หากตนมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จะถูกหญิงสาวผู้นี้บีบให้อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้หรือ ไม่ว่าตนจะไตร่ตรองกี่ครั้ง ตราบใดที่มู่ชิงอีอ้างสิทธิ์จากศักดิ์ของนาง ตนก็อยู่ในสถานะที่ตกต่ำอยู่ดี
เมื่อเห็นการเผชิญหน้าระหว่างบุตรีและภรรยา มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วอย่างรำคาญพลางโบกมือ “อวิ๋นหรงไม่เคารพต่อท่านแม่ใหญ่ของนาง นางจึงควรคุกเข่าในศาลบรรพชนเป็นเวลาสามวัน ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามต่อรอง! ชิงอี เจ้าเพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนัก กลับไปเรือนตัวเองพักผ่อนเสียเถิด อยากกินอะไรก็ให้บอก…บอกท่านน้าก็แล้วกัน” มู่ฉังหมิงที่เดิมทีอยากใช้คำว่าท่านแม่ แต่เมื่อบุตรีของเขาเพิ่งจะเน้นถึงความแตกต่างระหว่างอนุภรรยาและภรรยาเอกไป มู่ฉังหมิงก็ทำได้แค่เออออไปกับนาง ในเมื่อไม่เคยเรียกสะใภ้ซุนว่าท่านแม่อยู่แล้ว มู่ฉังหมิงจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร สีหน้าของสะใภ้ซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานั้นได้เปลี่ยนไป ใบหน้าที่อ่อนโยนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูน่ากลัวเล็กน้อย