หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 469 ปะทะกันในพระตำหนัก (4)
อัครเสนาบดีโจวพูดไม่ออก พวกเขาไม่มีหลักฐานเรื่องที่หรงเซวียนฆ่าคนเพื่อปิดปากจริงๆ ทว่าตั้งแต่กลับมาจากเมืองเผิงก็ไม่มีใครเห็นองครักษ์เหล่านั้นอีก แม้แต่คนนี้คนเดียวกว่าจะหาเจอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว หนานกงอี้มองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ด้านบนพร้อมประสานมือเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมอยากขอให้องครักษ์ที่ไปเมืองเผิงในตอนนั้นมาเข้าเฝ้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะถกเถียงกันมาตลอดทั้งเช้า ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลยนึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ขมวดคิ้วตรัสว่า “พาตัวเข้ามาในวัง องค์ชายทุกคนอยู่ต่อ ส่วนคนอื่นๆ จะไปทำอะไรก็ไปทำ!”
“พวกกระหม่อมขอทูลลา” เหล่าขุนนางในราชสำนักที่นั่งอยู่ต่างลอบถอนหายใจ ละครของพวกเชื้อพระวงศ์สนุกไม่เบาจริงๆ แต่ก็ต้องมีชีวิตรอดรอดูด้วย เดิมทีมู่ชิงอีจะตามคนอื่นๆ ออกไปเหมือนกัน ทว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับตรัสเสียงเย็นยะเยือกว่า “ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนอยู่ต่อก่อน”
เพราะเหตุนี้มู่ชิงอีเลยทำได้แค่ชะงักแล้วยืนลูบปลายจมูกอยู่ที่เดิม รอกระทั่งขุนนางในราชสำนักที่อยู่เต็มพระตำหนักออกกันไปหมดแล้ว พื้นที่ที่เคยดูแน่นขนัดในเดิมทีก็ว่างเปล่าในทันที มู่ชิงอีมองเหล่าองค์ชายที่สวมชุดผ้าแพรลายมังกรเข็มขัดหยกและขุนนางราชสำนักตำแหน่งสูงสองสามคนซึ่งถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์รั้งไว้เช่นกันอย่างเงียบๆ ทั่วทั้งพระตำหนักเหลือเพียงนางและขุนนางระดับสามที่สวมเครื่องแบบสีแดงอย่างหนานกงอี้เท่านั้น นางลูบจมูกอีกครั้งก่อนเดินไปยืนข้างกายหนานกงอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“จื่อชิง มานี่” หรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างเลิกคิ้วแล้วกวักมือเรียกมู่ชิงอีด้วยท่าทีสุขใจ
มู่ชิงอียังคงทำตัวเหมือนเดิม นางคงไม่ถึงขั้นบ้าโวยวายใส่หรงจิ่นต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองอร่ามแน่นอน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจตรัสเสียงขรึม “นั่งเถิด นั่งกันให้หมด เราเห็นจนเหนื่อยไปหมดแล้ว!”
เจี่ยงปินไหวพริบดีจึงโบกมือเรียกให้ขันทีชั้นผู้น้อยยกเก้าอี้มาให้เหล่าองค์ชาย กระทั่งมู่ชิงอีและหนานกงอี้ยังได้รับเกียรติได้ที่นั่งด้วย หรงจิ่นปล่อยที่นั่งด้านหน้าสุดไว้ไม่ยอมนั่ง แต่สั่งให้ขันทีน้อยย้ายเก้าอี้ไปไว้ข้างกายมู่ชิงอี จากนั้นก็นั่งลงข้างกายนางไม่ขยับเขยื้อนไปไหนแล้วยักคิ้วอย่างได้ใจใส่มู่ชิงอีอีกต่างหาก
เจ้าไม่มาหาข้า เช่นนั้นข้าก็จะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเอง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่นั่งอยู่ด้านบนย่อมเห็นสีหน้าของทุกคนและทุกการกระทำเหล่านั้นของหรงจิ่นในสายตาแต่ก็ไม่สนใจแต่อย่างใด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังคงตามใจเขาเช่นเดิม เพียงแต่สายตาที่ถูกบดบังอยู่ภายใต้ลูกปัดที่ห้อยลงมาจากมงกุฎจับจ้องหรงเซวียนอย่างเย็นชาก็เท่านั้น
คนในพระตำหนักมีไม่น้อย ทว่าบรรยากาศกลับวังเวงจนชวนให้หายใจลำบาก ทุกคนต่างสำรวจสิ่งรอบกายอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร สีหน้าของหรงไหวดุดันบึ้งตึง ในทางกลับกันคนที่ถูกกล่าวหาอย่างหรงเซวียนกลับเคร่งขรึมนิ่งเงียบ สมแล้วที่ได้ชื่อว่าจวงอ๋องผู้มีคุณงามความดีด้านการรบที่สุดในบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ
ขณะที่หรงจิ่นสะลึมสะลือใกล้หลับเต็มที พยานของทางฝั่งจวนจวงอ๋องก็ถูกพาตัวมา พวกเขาเป็นบุรุษหนุ่มสามคนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มสามคนนี้นิ่งขรึมกว่าบุรุษหนุ่มคนที่อัครเสนาบดีโจวพาตัวมาเสียอีก
“ถวายบังคมฝ่าบาท คารวะท่านอ๋องทุกท่าน”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โบกมือตรัสถามอย่างหงุดหงิดใจว่า “คนผู้นี้กล่าวหาว่าจวงอ๋องลอบทำร้ายองค์รัชทายาทเต้ากง เป็นความจริงหรือไม่” บุรุษหนุ่มทั้งสามคนรีบโพล่งขึ้นว่าใส่ร้าย ในขณะเดียวกันก็ตัดพ้อบุรุษหนุ่มผู้นั้นว่าหักหลังเจ้านาย ครั้นอัครเสนาบดีโจวเห็นท่าไม่ดีเลยรีบชิงตัดบทพวกเขาก่อน “ทูลฝ่าบาท ใครสามารถยืนยันได้เล่าว่าตอนนั้นพวกเขาสามคนนี้ติดตามจวงอ๋องไปเมืองเผิงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสามคนเป็นคนสำคัญของจวงอ๋อง แล้วจะแน่ใจได้เช่นใดว่าไม่ใช่พยานเท็จ”
หนานกงอี้ที่อยู่ด้านข้างยิ้มเยาะกล่าว “พูดถูก เช่นนั้นขอถามอัครเสนาบดีโจวหน่อยเถิดว่ามีใครยืนยันได้บ้างว่าคนที่ท่านพามาเป็นคนที่ติดตามจวงอ๋องไปในตอนนั้นเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น…หากเขาคิดจะหักหลังเจ้านายใส่ร้ายจวงอ๋องก็ไม่เห็นน่าแปลกตรงไหนเลย”
“เจ้าเถียงข้างๆ คูๆ” อัครเสนาบดีโจวตวาดด้วยความโมโห
หนานกงอี้แค่ยิ้มเย้ยหยันโดยไม่พูดอะไร
“อัครเสนาบดีโจว ใต้เท้าหนานกง สู้พวกเราฟังพยานสองสามคนนี้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ” หรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่อีกฝั่งขมวดคิ้วเอ่ย
หลังจากหรงเหยี่ยนกล่าวเช่นนั้น พวกเขาสองคนก็หยุดปะทะฝีปากกัน ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นพระตำหนัก ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะไม่ได้ทรงตรัสอะไร แต่ทุกคนรู้แก่ใจดีว่าเวลานี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อารมณ์เสียมากเพียงใด
เวลานี้องครักษ์หนุ่มสามคนนั้นถึงได้เล่าเหตุการณ์เท่าที่ตนรู้ออกมารอบหนึ่ง สรุปใจความว่าตอนที่อยู่เมืองเผิงคราวนั้นท่านอ๋องทั้งสองปรองดองกันเพียงใด หลังจากเกิดเรื่องโกลาหลในเมืองเผิงอ๋องทั้งสองก็เผชิญเคราะห์ร้ายถูกดักซุ่มทำร้าย นอกจากนี้ยังมีองครักษ์คนหนึ่งก่นด่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นว่า “ท่านอ๋องมีบุญคุณต่อเจ้าเทียมฟ้า เจ้าหักหลังไปเข้าข้างนายคนอื่นยังพอว่า แต่เจ้ายังใส่ร้ายท่านอ๋องอีก ตระกูลโจวให้ผลประโยชน์เจ้ามากเท่าใดกันแน่”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นตัวสั่นสะท้าน ก้มหน้าโดยไม่พูดอะไรราวกับละอายใจสุดขีด อัครเสนาบดีโจวพ่นลมหายใจโกรธจนเคราปลิว “สามหาว! พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลเชียว!”
ในที่สุดบุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ทนไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางหรงเซวียนแล้วโขกศีรษะลงพื้นเสียงดังกล่าว “ท่านอ๋องมีบุญคุณกับกระหม่อมมากนัก สิ่งที่กระหม่อมทำในวันนี้…ต่ำช้ามากจริงๆ แต่กระหม่อมอดไม่ได้จริงๆ เพราะ… เพราะฉินอ๋องส่งคนไปลักพาตัวภรรยาของกระหม่อม บัดนี้กระหม่อมไม่มีหน้าไปเจอภรรยากับเหล่าสหายแล้ว วันนี้กระหม่อมขอยอมตายเพื่อเป็นการตอบแทนท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้บุรุษผู้นี้ดูขี้ขลาดอ่อนแอ ทว่าเวลานี้กลับตรงไปตรงมาอย่างน่าเหลือเชื่อ เขายกมือขึ้นกระแทกตรงเส้นชีพจรจนเลือดออกทางรูทวารทั้งเจ็ดแล้วล้มพับลงพื้นไป
มู่ชิงอีกวาดตามองทุกคนในพระตำหนักด้วยท่าทีสงบ นอกจากสีหน้าแปลกใจและตื่นตกใจของอัครเสนาบดีโจวและหรงไหวแล้ว สีหน้าของคนอื่นๆ กลับดูมึนงง ตรงนี้มียอดฝีมือตั้งมากมาย หากกล่าวว่าขัดขวางองครักษ์ที่ฝีมือธรรมดาๆ คนหนึ่งฆ่าตัวตายไม่ได้เลยคงน่าขัน โดยเฉพาะหนานกงเจวี๋ยที่มีฝีมือเป็นเลิศซึ่งอยู่ห่างจากบุรุษผู้นั้นไม่กี่ก้าวเท่านั้นด้วย
พระตำหนักตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปนานฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถึงโบกมือสื่อว่าให้องครักษ์เอาตัวออกไป จากนั้นก็ใช้สายตาน่าเกรงขามกวาดมองทุกคนในพระตำหนัก เอ่ยเสียงขรึม “ฉินอ๋อง ตอนนี้เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
หรงไหวขาแข้งอ่อนแรง รีบคุกเข่าลงพื้น “เสด็จปู่…หลาน หลานถูกใส่ความ เจ้านั่นพูดจาเหลวไหล!”
“ฝ่าบาททรงตรวจสอบ…เรื่องนี้ เรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยเถิด” อัครเสนาบดีลุกลนขึ้นมาทันที สมองหมุนอย่างรวดเร็ว ทว่าชั่ววินาทีนั้นกลับไม่รู้ว่าอยากให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบเรื่องใด พวกเขาไปหาคนมาเอง เขาเป็นคนกล่าวหาก่อน เวลานี้พยานฆ่าตัวตายกลางพระตำหนักไปแล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้อีก
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แค่นเสียงเย็นชา เอ่ยเสียงขรึม “ฉินอ๋องยังเด็กเลยไม่รู้ความ แต่เจ้าก็ไม่รู้ความไปด้วยหรือ ลักพาตัวภรรยาเขา คุกคามข่มขู่ให้เขาเป็นพยานเท็จ ใส่ความอาแท้ๆ ของตัวเอง ดี...ช่างเป็นหลานที่ดีของเราจริงๆ ช่างเป็นอัครเสนาบดีที่ดีจริงๆ!”
ครั้นได้ยินฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเสียงเย็นชาเกรี้ยวโกรธเช่นนั้น อัครเสนาบดีโจวก็ขาอ่อนพับลงพื้น จบ…จบเห่แล้ว…
“เสด็จพ่ออย่างทรงกริ้วไปพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าองค์ชายต่างตกอกตกใจแล้วรีบคุกเข่าช่วยพูดอ้อนวอนไปด้วย
“อย่าทรงกริ้วหรือ! เราหายโกรธไม่ได้หรอก! หากทำให้เราโกรธตาย พวกเจ้าคงมีความสุขมากกระมัง” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเสียงเย็นยะเยือก “เสียดายที่เราไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้น” มู่หรงเทียนเป็นใคร เขาสามารถช่วงชิงบัลลังก์มาจากบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ ได้ตั้งแต่อายุสิบกว่าชันษา เผด็จการกว่าใครในใต้หล้า กระทั่งครึ่งชีวิตหลังเขาคิดอยากจะทำอะไรก็ทำกระทั่งทำให้คนในใต้หล้าต่างยอมจำนนและหวาดเกรง ใครบนโลกหล้านี้อย่าได้คิดจะทำให้เขาไม่ชอบใจเชียว หากใครทำให้เขาไม่ชอบใจก็ต้องจบชีวิตด้วยความตายจนไม่มีที่ฝังศพ