หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 465 แผนร้ายของหรงไหว (4)
อัครเสนาบดีโจวมุ่นคิ้วเอ่ย “หญ้าเซียนเก้าเมฆา…หากฝ่าบาททรงรู้ว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่ในมือจวงอ๋องล่ะก็…”
หรงไหวเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “นี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของพวกเรา เกรงว่าจะหาหลักฐานมายืนยันไม่ได้” อัครเสนาบดีโจวมุ่นคิ้วกล่าว “แค่สงสัยก็พอแล้ว พวกเรายังสงสัยขนาดนี้ ฝ่าบาทจะทรงคิดไม่ได้เลยหรือ เจ้าคิดว่าเหตุใดตอนนั้นฝ่าบาทถึงส่งองค์ชายออกไปตามหาหญ้าเซียนเก้าเมฆาพร้อมกันสองคนเล่า”
หรงไหวมองเขาด้วยท่าทีฉงน อัครเสนาบดีโจวเอ่ยเสียงเรียบ “ย่อมเป็นเพราะกลัวว่าคนที่ส่งไปจะขโมยหญ้าเซียนเก้าเมฆาไปเสียเอง ถึงแม้ข้ากับเจ้าจะรู้ว่าหากถวายหญ้าเซียนเก้าเมฆาให้ฝ่าบาทแล้วจะได้รับผลประโยชน์ แต่บางทีสำหรับฝ่าบาท…ประโยชน์ของหญ้าเซียนเก้าเมฆาอาจสำคัญมากกว่าผลประโยชน์ที่ฝ่าบาทประทานให้อย่างมาก”
หรงไหวเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เพราะอะไรกัน” หญ้าเซียนเก้าเมฆาช่วยทำให้อายุยืนยาว กระทั่งช่วยทำให้คนที่มีวิทยายุทธธรรมดากลายเป็นยอดฝีมือขั้นสูงได้ แต่สำหรับคนในเชื้อพระวงศ์ ความจริงแล้วการเป็นยอดฝีมือไม่ได้มีแรงจูงใจมากขนาดนั้น ส่วนเรื่องอายุยืนยาว สิ่งที่ช่วยทำให้อายุยืนยาวก็มีถมเถไปเช่นกัน เชื้อพระวงศ์ร่ำรวยมีอะไรในใต้หล้าที่เขาหาไม่ได้บ้าง ต่อให้หญ้าเซียนเก้าเมฆาจะล้ำค่าเพียงใดก็ไม่มีทางช่วยชะลอวัยไม่ให้แก่ได้จริงๆ
อัครเสนาบดีโจวเอ่ยเสียงขรึม “ปีนี้ฝ่าบาทอายุหกสิบแปดชันษาแล้ว คนช่วงวัยอายุนี้…ล้วนกลัวความตายทั้งสิ้น ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีทางที่อ๋องอายุเพียงสามสิบกว่าปีจะเข้าใจได้หรอก” มนุษย์ที่อยู่ยืนยาวมาถึงอายุเจ็ดสิบปีได้มีน้อยนัก ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะสุขภาพดี แต่หากว่ากันตามหลักการแล้วคงอยู่ได้อีกไม่นาน ในฐานะฮ่องเต้ที่ครอบครองอำนาจในใต้หล้า เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่กลัวตาย บางทีอาจกล่าวได้ว่าเขายังไม่อยากตายเสียมากกว่า
หรงไหวใจชาวาบ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สูงส่งเกินไป เลือดเย็นอำมหิตเกินไป กระทั่งมีหลายครั้งที่หรงไหวหลงลืมไปว่าคนที่นั่งบัลลังก์สูงส่งผู้นั้นเป็นชายชราอายุเกือบเจ็ดสิบชันษาแล้ว เขา…คงอยู่ได้อีกไม่นาน จู่ ๆไม่รู้ว่าเหตุใดความคิดนี้ถึงทำให้หรงไหวถึงรู้สึกใจเต้นเร็วขนาดนี้
ฉับพลันความมุทะลุที่ข่มอย่างยากลำบากในใจก็ผุดขึ้นมา หรงไหวจับจ้องอัครเสนาบดีโจวแล้วเอ่ย “ท่านปู่หมายความว่ารื้อฟื้นเรื่องเก่า…กล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จปู่อย่างนั้นหรือ”
อัครเสนาบดีโจวเงียบอยู่นาน เอ่ยเสียงขรึม “เดิมพันสักครั้ง” ต่อให้เขาไม่เดิมพัน แต่การต่อกรกับจวงอ๋องอย่างรีบร้อนครั้งนี้ก็ไม่ได้เตรียมการอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งอัครเสนาบดีโจวก็รู้แก่ใจดีว่าฉินอ๋องไม่ใช่คู่ต่อสู้มากประสบการณ์ของจวงอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของจวงอ๋องครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เงาของจวงอ๋องเพียงคนเดียว ตอนนี้เรื่องในราชสำนักวุ่นวายคานอำนาจกันไปมา เพียงแต่จวงอ๋องยังไม่ได้ตัดสินใจปล่อยท่าไม้ตาย ทันทีที่เรื่องไปถึงตอนสุดท้าย เกรงว่าฉินอ๋องคงแพ้ราบคาบ
“ดี!” หรงไหวพยักหน้าพลางยิ้มอย่างมั่นใจ นัยน์ตาฉายแววเย่อหยิ่งราวกับเห็นฉากหรงเซวียนพ่ายแพ้ ส่วนตนยืนอยู่ในราชสำนักอย่างเปิดเผยภาคภูมิ
หลังจากส่งอัครเสนาบดีโจวกลับแล้วก็มีคนเดินออกมาจากภายในห้องหนังสือ
บุรุษใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางเหมือนมาจากตระกูลสูงศักดิ์และทรงอิทธิพล เพียงแต่สายตาดุดันคู่นั้นของเขาได้ทำลายบุคลิกความอ่อนโยนของเขาจนสิ้น
หรงไหวเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้นั้นแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงขรึม “คำพูดที่ข้าพูดกับท่านปู่เมื่อครู่ เจ้าได้ยินแล้วกระมัง”
บุรุษผู้นั้นยิ้มบางเอ่ย “ย่อมได้ยินอยู่แล้ว ขอบคุณความเชื่อใจของฉินอ๋อง”
หรงไหวเอ่ยเสียงเย่อหยิ่ง “เจ้าเป็นสามีของผิงหูจวิ้นจู่ ก็ถือว่าเป็นน้องเขยของข้าเช่นกัน อย่าทำให้ข้าผิดหวังกับความเชื่อใจที่ให้ไปก็แล้วกัน”
บุรุษผู้นี้คือมู่หรงอี้ผู้ที่ถูกแต่งตั้งเป็นอานซุ่นจวิ้นอ๋องหรือก็คือเจ้าสำนักเย่าหวังกู่คนปัจจุบันนั่นเอง มู่หรงอวี้มองหรงไหวแล้วเอ่ย “ท่านอ๋องจะให้ข้าทำเช่นใดหรือ”
หรงไหวมีประกายไอเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตา “ถึงแม้ท่านปู่จะพูดให้ดูน่าฟัง แต่ข้ารู้ว่าความจริงแล้วเขากลับไม่เชื่อข้าเลยสักนิด หากเสด็จปู่ยังคิดจะช่วยหรงเซวียนอยู่อีกล่ะก็ เกรงว่าพวกเราคงล้มเขาไม่ได้ ในเมื่อ…เขายังมีตระกูลหนานกงคอยหนุนหลังอยู่ ถึงแม้หนานกงเจวี๋ยจะไม่ได้ลงสมรภูมิรบมานานแล้ว แต่ชื่อเสียงในแวดวงทหารกลับไม่มีแม่ทัพคนใดสามารถทัดเทียมได้เลย เสด็จปู่คงเห็นแก่หน้าเขาและไม่ทำอะไรหรงเซวียนแน่นอน”
“ฉินอ๋องหมายความว่าอะไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ก็ไปให้สุดก็แล้วกัน” หรงไหวเอ่ยเสียงเย็นเยียบ มู่หรงอวี้กลับไม่ตกใจกับความคิดของหรงไหวเลยสักนิด เพียงแต่เลิกคิ้วเอ่ย “ฉินอ๋องอยากฆ่าจวงอ๋องอย่างนั้นหรือ แต่ดูจากสถานการณ์ช่วงนี้…เกรงว่าจะไม่ง่าย”
หรงไหวจับจ้องเขา “เพราะเหตุนี้ข้าถึงเรียกหาเจ้า”
มู่หรงอวี้มีอีกสถานะหนึ่งก็คือเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ ในเย่าหวังกู่มีอะไรมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นยาขนานต่างๆ รวมถึงยาพิษด้วย ซึ่งในนั้นย่อมมียาพิษสีใสไร้กลิ่นที่ทำให้คนสัมผัสโดยไม่รู้ตัว
มู่หรงอวี้เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ฉินอ๋องแน่ใจแล้วหรือ จวงอ๋อง…เป็นถึงอาแท้ๆ ของท่านเชียว”
หรงไหวยิ้มเย็นชากล่าว “ท่านพ่อข้าก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาเช่นกัน! หากข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อ ข้าผิดตรงไหนเล่า”
มู่หรงอวี้พยักหน้าเอ่ย “ท่านอ๋องพูดถูก ข้า…จะเตรียมการแทนท่านอ๋องเอง”
ภายในจวนตวนอ๋อง
หรงเหยี่ยนนั่งจิบชาอยู่ในศาลาอย่างผ่อนคลาย ตรงหน้ามีบุรุษชุดสีเทากำลังก้มหน้าก้มตาอย่างเคารพไม่กล้าลุกขึ้นยืนเลยทำให้มองเห็นหน้าตาไม่ชัดนัก หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ากลับไปเถิด ข้าเข้าใจแล้ว”
บุรุษชุดสีเทาชั่งใจครู่หนึ่ง เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้…ควรเตือนจวงอ๋องสักหน่อยหรือไม่”
ใบหน้าสง่างามอ่อนโยนของหรงเหยี่ยนผุดรอยยิ้มเยาะเย้ย เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น พี่รอง…ตกหลุมพรางของหรงไหวง่ายดายขนาดนั้นเสียเมื่อไร” หากตายขึ้นมาจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน!
เมื่อสังเกตเห็นความไม่ชอบใจของเจ้านาย บุรุษชุดสีเทาก็สะดุ้งในใจ รีบเอ่ย “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเถิด” หรงเหยี่ยนเอ่ย
หลังจากนั้นภายในศาลาอันเงียบสงบก็เหลือเพียงหรงเหยี่ยนคนเดียว เขากวาดตาสำรวจแก้วหยกที่ประณีตงดงามในมือ จากนั้นก็ผุดรอยยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก “พี่ใหญ่ ลูกชายของท่าน…ทำให้น้องต้องมองเขาใหม่เสียแล้ว”
“หรงไหวคิดจะฆ่าหรงเซวียนหรือ”
ภายในจวนอวี้อ๋อง นานๆ ทีใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นจะเผยท่าทีตกใจเช่นนี้ มู่ชิงอีที่นั่งอยู่อีกฝั่งก้มหน้าอ่านข้อความที่เพิ่งได้รับเมื่อครู่ในมือ เอ่ยอย่างเอือมระอา “เรื่องนี้น่าแปลกใจที่ไหนกัน เหล่าคนในราชวงศ์ก็เข่นฆ่ากันเองไปมาเช่นนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ”
หรงจิ่นกุมขมับ เอ่ยเสียงเกียจคร้าน “หรงไหวบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ตั้งแต่อดีตมามีองค์ชายถูกคนฆ่าตายด้วยพิษกี่คนกัน” หากยาพิษใช้ได้ผลจริงๆ ทุกคนคงพากันวางยาพิษแล้ว เหตุใดต้องมาคอยแอบวางอุบายเช่นนี้ด้วย
ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้ข้างกายของเหล่าองค์ชายท่านอ๋องมีตั้งเท่าไร นอกจากหรงจิ่นที่ใจกล้าเพราะมีวิทยายุทธขั้นสูงแล้ว ส่วนใหญ่ก่อนที่จะทานอะไรมักมีคนคอยชิมอาหารก่อนโดยเฉพาะ ส่วนสถานที่ในการทำอาหารก็จะคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากคิดจะฉวยโอกาสเข้ามากลับเป็นเรื่องยากอย่างมาก หากไม่ทำเช่นนั้นเหล่าเชื้อพระวงศ์คงตายกันหมดแล้ว
อีกอย่างหรงเซวียนยิ่งไม่เหมือนคนอื่น น้าของหรงเซวียนคือหนานกงเจวี๋ย ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของใต้หล้า และอาจจะเป็นคนที่มีวิทยายุทธขั้นสูงสุดเหนือใครในตอนนี้เลยก็ว่าได้ ข้างกายหรงเซวียนย่อมมียอดฝีมือหรือคนในยุทธภพอยู่ด้วยไม่น้อย หรงไหวไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าตนจะสามารถปลิดชีวิตหรงเซวียนได้ในครั้งเดียวกันแน่
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…ขนาดยังไม่ทันลงมือ ข่าวก็แพร่สะพัดมาถึงเขาแล้ว หรงจิ่นเชื่อว่าคนที่รู้เรื่องครั้งนี้คงมีไม่น้อยเลยทีเดียว หรงไหว…เมื่อเทียบกับหรงหวงบิดาของเขา เกรงว่าฝีมือยังห่างชั้นอยู่มาก ย่อมไม่มีทางสังเกตเห็นคนใกล้ตัวที่คอยสอดแนมอยู่แล้ว