หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 461 หนานกงหย่ามาเยี่ยมเยือน (3)
ณ จวนอวี้อ๋อง หลังจากส่งบรรดาคนที่มาเยี่ยมเยือนออกไปแล้ว มู่ชิงอีและหรงจิ่นก็นั่งเล่นหมากรุกในศาลากลางทะเลสาบด้วยความสบายใจ
ขณะที่วางหมากรุก หรงจิ่นก็ไม่ลืมที่จะสนใจเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงในช่วงสองสามวันนี้ ถึงแม้เรื่องที่อวี้อ๋องไม่สบายจะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ทุกคนบนโลกต้องหมุนรอบตัวเขาเพียงคนเดียว ดังนั้น สองวันที่เขาไม่สบาย ในเมืองหลวงก็เกิดเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ขึ้นมากมาย เรื่องที่ใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่ขุนนางในราชสำนักของจวงอ๋องกล่าวโทษว่าอัครเสนาบดีโจวแห่งตระกูลโจว ตระกูลเดิมของฮองเฮาลักลอบสร้างพวกของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เรื่องโกงกินราชสำนักเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าที่หรงจิ่นไม่สบายโดยไร้เหตุผลเสียอีก
อัครเสนาบดีโจวคือใคร คืออัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้เป็นน้องชายของฮองเฮา มีศักดิ์เป็นท่านปู่ของฉินอ๋อง บอกว่าเขาสร้างพวกของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวก็เท่ากับกล่าวหาฉินอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นจื้ออ๋องเมื่อก่อนหรือว่าฉินอ๋องในตอนนี้ พวกเขาล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับตระกูลโจว ทันใดนั้นคนของฉินอ๋องจึงต่อสู้กลับอย่างดุเดือด ฉินอ๋องและจวงอ๋องมีความแค้นที่คลุมเครือเพราะการตายของรัชทายาทอยู่แล้ว และขุนนางนักปราชญ์ของตระกูลโจวกับแม่ทัพของตระกูลหนานกงก็ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทำให้คนของทั้งสองฝ่ายโจมตีกันอย่างบ้าคลั่ง พลอยทำให้ราชสำนักวุ่นวายไม่น้อย
หรงจิ่นอดไม่ได้ที่จะดีใจ “โชคดีที่ชิงชิงไม่เป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะรำคาญพวกเขาจนตาย” ถึงแม้ที่ว่าการเฟิ่งเทียนจะมีสิทธิ์ในราชสำนัก แต่พวกเขาไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก แต่เป็นขุนนางของฮ่องเต้ เมื่อพิจารณาถึงจุดจบอันน่าเศร้าของอดีตหัวหน้าที่ว่าการเฟิ่งเทียน และความสัมพันธ์ของกู้หลิวอวิ๋นและอวี้อ๋อง จึงไม่มีใครกล้ามาตีสนิทหรือทำให้มู่ชิงอีลำบากใจ
มู่ชิงอีเล่นหมากรุกในมือ นางครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจวงอ๋องและตวนอ๋องจะโจมตีฉินอ๋องแล้ว แต่ว่า…ตวนอ๋อง…” ในทางสว่าง ดูเหมือนว่าจะมีแต่จวงอ๋องที่ออกแรง ตวนอ๋องดูเหมือนจะอยู่เฉยๆ อย่างไรอย่างนั้น
หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ย “หรงเหยี่ยนมักจะซ่อนความสามารถตัวเอง เล่นเกมเฒ่าประมงตกปลา แต่ว่า ครั้งนี้จะโทษหรงเซวียนไม่ได้ หรงไหวไม่เป็นมิตรกับหรงเซวียนมาตลอด กดดันเขามาตลอด หรงเหยี่ยนสามารถค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่หรงเซวียนกลับอยากจะกำจัดหรงไหวให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น หรงไหวจะสร้างปัญหาให้เขาตลอด เมื่อพวกเขาทั้งสองคนพ้ายแพ้ หรงเหยี่ยนก็จะได้รับชัยชนะ แล้วอีกอย่าง…เกรงว่าหรงจังก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไม่เช่นนั้น เรื่องนี้ไม่มีทางกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้”
มู่ชิงอีถอนหายใจ มองไปที่หรงจิ่น “ท่านพูดถูกเพคะ อย่าเข้าใกล้สวินอ๋องมากเกินไป” ตอนนี้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เป็นคนครองราชย์ หากหรงจิ่นสนิทสนมกับองค์ชายคนอื่นไม่เป็นไร แต่หากเขาสนิทสนมกับองค์ชายสาม รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่ทำให้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ไม่พอพระทัย
หรงจิ่นหัวเราะเยาะ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์หรือหรงจัง เขาล้วนแต่ไม่อยากเข้าไปใกล้ เขาแค่อยากครอบครองตำแหน่งที่สูงส่งตำแหน่งนั้น และเหยียบพวกเขาอยู่ใต้เท้าตัวเอง
“กราบเรียนท่านอ๋อง คุณชายกู้ คุณหนูหนานกงหย่าแห่งจวนหนานกงมาเยี่ยมขอรับ” ข้างนอก บ่าวรับใช้รายงานด้วยความเคารพ
“หนานกงหย่า?” มู่ชิงอีหยุดชะงักมือที่กำลังจะวางหมากรุก จากนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า ช่วงนี้เอาแต่ยุ่งเรื่องของหรงจิ่นจนลืมเรื่องใหญ่เรื่องนี้ไปเลย แต่ว่า…ตนกับหนานกงอี้ยังไม่ได้คุยกันถึงขั้นนี้ไม่ใช่หรือ ทำไมหนานกงหย่าถึงได้มาที่จวนอวี้อ๋อง
“มีแค่คุณหนูหนานกงคนเดียวหรือ” มู่ชิงอีถาม
บ่าวรับใช้มองดูอวี้อ๋องที่จู่ๆ ก็ดูเย็นชาอย่างไร้เหตุผล เอ่ยตอบ “ไม่ใช่ขอรับ…ยังมีแม่นางอีกสองคน บอกว่าพามาดูอาการอวี้อ๋องขอรับ”
หรงจิ่นยืนขึ้นพลางเหลือบมอง “เช่นนั้นก็หมายความว่า หนานกงหย่ามาเยี่ยมข้าเช่นนั้นหรือ” บ่าวรับใช้แอบร้องคร่ำครวญในใจว่าทำไมต้องเป็นตัวเองที่มารายงานเรื่องนี้ด้วย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูหนานกงบอกว่ามาเยี่ยมคุณชายกู้ ส่วนแม่นางสองคนที่ชื่อหลิงซูและซู่เวิ่นมาเยี่ยมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
อยากแยกชิงชิงออกจากเขา แล้วหลอกล่อชิงชิงเช่นนั้นหรือ องค์ชายเก้าหัวเราะเยาะใจใน เอ่ยขึ้น “ในเมื่อมาด้วยกัน เช่นนั้นก็เข้ามาด้วยกันเถิด จื่อชิง เราไปกันเถิด”
มู่ชิงอีพลันเหนื่อยใจ จากนั้นก็ปล่อยให้เขาจับมือตัวเองเดินออกไปยังห้องโถงข้างหน้า
“หรงจิ่น หึงสตรีไม่อายบ้างหรือ” เห็นใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของหรงจิ่น มู่ชิงอีก็เลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม หรงจิ่นเลิกคิ้วถาม “น่าอายตรงไหน ใครบอกให้ชิงชิงของข้าคือชายหนุ่มรูปงามที่สุดในเมืองหลวงเล่า ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีก็ไสหัวออกไปให้พ้น”
มู่ชิงอีจับมือเขาเอ่ย “ท่านเก็บอาการหน่อยเถิด อย่าทำให้คุณหนูหนานกงตกใจ เรายังต้องร่วมมือกับจวงอ๋อง”
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ “หนานกงหย่าเป็นคนในตระกูลแม่ทัพ แค่ชื่อมีคำว่า ‘หย่า’ เจ้าก็คิดว่านางเป็นเหมือนคุณหนูของแคว้นหวาที่ไม่เคยออกไปไหนเช่นนั้นหรือ คุณหนูทั่วไปจะกล้ามาหาเจ้าทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หมั้นกันเช่นนี้หรือ”
“ถึงจะหมั้นก็ไม่ทันแล้วไม่ใช่หรือเพคะ” มู่ชิงอีหัวเราะ
พวกเขาสองคนเดินเข้ามาในห้องโถง ก็เห็นสตรีที่หน้าตาสวยงามสามคนนั่งดื่มชาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป หลิงซูและซู่เวิ่นรู้จักกันอยู่แล้ว มีแค่สตรีที่สวมชุดสีฟ้าคนนั้นที่มู่ชิงอีเพิ่งจะเคยเจอนางเป็นครั้งแรก หน้าตาของนางคล้ายหนานกงอวี้และหนานกงอี้ แต่กลับไม่ค่อยเหมือนหนานกงเจวี๋ย แม่ทัพใหญ่หนานกงสักเท่าไร เกรงว่าสามพี่น้องนี้คงจะเหมือนมารดามากกว่า
“อวี้อ๋อง คุณชายกู้” เมื่อเห็นพวกเขาสองคนเดินเข้ามา หลิงซูก็เดินเข้ามาคำนับ
หรงจิ่นเหลือบมองพวกนางทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว เลิกคิ้วเอ่ย “พวกเจ้ามาทำอะไรกัน”
พวกนางสามคนพลันตกใจ ไร้มารยาทยิ่งนัก!
แต่น่าเสียดาย…ที่อีกฝ่ายเป็นโอรสอันเป็นที่รักของฮ่องเต้ เป็นอวี้อ๋องที่สูงส่ง ถึงแม้เขาจะไร้มารยาทแต่พวกนางก็ต้องอดทนอดกลั้น หลิงซูเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบพร้อมรอบยิ้ม “หลิงซูมาจับชีพจรให้อวี้อ๋องเพคะ พอดีเจอกับเเม่นางหนานกงที่กำลังจะมาจวนอวี้อ๋องพอดี จึงมาด้วยกัน”
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ เขามองหลิงซูแล้วเอ่ย “ในเมื่อไม่มีความสามารถก็อย่าเสียเวลาเลย เสียเวลาของข้า” ขนาดเขามีวิทยายุทธนางยังดูไม่ออก ยังกล้าเรียกตัวเองว่าท่านหมอ รู้สึกอับอายแทนสำนักเย่าหวังกู่เสียจริง
“ท่าทีอะไรกัน พี่หญิงยอมจับชีพจรให้ท่านนับว่าเป็นเกียรติของท่านแล้ว!” ซู่เวิ่นที่อยู่ข้างๆ กลับทนไม่ไหว
หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอีนั่งลง เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วเหลือบมองนางอย่างเกียจคร้าน “ข้าขอร้องนางเช่นนั้นหรือ ไม่มีอะไรทำก็เอาแต่โอ้อวดทักษะการรักษาโรคของสำนักเย่าหวังกู่ พวกเจ้าคิดว่าในเคว้นเย่ว์ ไม่มีหมอคนอื่นแล้วถึงได้ช่วยมู่หรงอวี้ตีสนิทกับคนไปทั่วเช่นนี้? น่าเสียดาย…ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยสำเร็จกระมัง”
ถูกหรงจิ่นเอ่ยวาจาเย้ยหยันเช่นนี้ หลิงซูก็ยังไม่โมโห นางยื่นมือออกไปจับซู่เวิ่นที่กำลังเดือดดาล ถอนหายใจเอ่ย “หลิงซูไร้ความสามารถ ไม่แปลกที่อวี้อ๋องไม่ให้ความสำคัญ แต่ว่าหลิงซูจะทำตามคำร้องขอ ในเมื่ออวี้อ๋องไม่อยากให้หลิงซูจับชีพจร เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรเพคะ”
หรงจิ่นพยักหน้าด้วยความพอใจ มองนางด้วยสายตาที่บอกว่านางรู้ความ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ดีมาก ส่งแขก!”