หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 439 กระบี่ล้ำค่ามอบแก่วีรบุรุษ(1)
“หรงจิ่น ขอบพระทัยท่าน หม่อมฉันชอบมากเพคะ” มู่ชิงอีเงยหน้ามองใครบางคนที่ท่าทางหงุดหงิดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หรงจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง มองดูหญิงสาวที่สวมชุดบุรุษสีขาวราวกับหิมะภายใต้แสงตะเกียง รูปร่างงดงามราวกับเด็กหนุ่มที่คอยปรนนิบัติเทพเซียนบนสวรรค์ก็ไม่ปาน และเจ้าตัวเล็กสีแดงเพลิงที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม รู้สึกเพียงว่าไม่มีอะไรเงียบสงบไปกว่าภาพที่เห็นตรงหน้า เลยอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ก้มหน้าพลางจูบที่หน้าผากนางเบาๆ “ชิงชิงชอบก็ดีแล้ว”
มู่ชิงอีเหม่อลอยเล็กน้อย จ้องไปที่ดวงตาอ่อนโยนและสงบนิ่งของหรงจิ่น พลันยิ้มอย่างโล่งใจ นางยังสับสนเล็กน้อยว่าความสัมพันธ์ของนางกับหรงจิ่นตอนนี้คืออะไรกันแน่ แต่ว่า…หากทั้งสองคนต่างก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว เช่นนั้นก็ให้เป็นเช่นนี้เถิด
“ชิงชิงมองอะไรอยู่หรือ” หรงจิ่นเอนกายพิงพนักเก้าอี้ มองเอกสารที่มู่ชิงอีกางอยู่บนโต๊ะ มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไรเพคะ ก็แค่เอกสารในช่วงหลายปีมานี้ของที่ว่าการเฟิ่งเทียน”
หรงจิ่นไม่เข้าใจ “สิ่งเหล่านี้จะดูตอนไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ ต้องให้เจ้าดูจนดึกดื่นไม่กลับไปพักผ่อนที่จวนเลยหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยตอบ “แน่นอนว่ายิ่งอ่านเอกสารเหล่านี้เสร็จเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น จะได้ไม่ต้องกังวล ผ่านไปอีกสองวันงานก็จะน้อยลงแล้ว”
หรงจิ่นถอนหายใจ ก้มหน้าพลางลูบเส้นผมของนาง “ลำบากชิงชิงแล้ว” อย่างไรเสียที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็อยู่ในเมืองหลวง จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เอกสารทั้งหมดยี่สิบปีชิงชิงต้องดูให้เสร็จภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยการทำงานอย่างหนัก และหรงจิ่นก็รู้ว่าชิงชิงไม่มีทางทำเรื่องที่ไร้ความหมาย ดังนั้นย่อมไม่ดูเอกสารเหล่านี้อย่างผ่านๆ แต่ต้องดูอย่างจริงจังและจดบันทึกไว้หลังอ่านจบแล้ว
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ในเมื่อเข้ารับตำแหน่งนี้แล้วก็ต้องทำหน้าที่ตามสมควร หากไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องราวในอดีตของเมืองหลวงและไม่เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร เช่นนั้นหม่อมฉันจะเป็นผู้ว่าการได้อย่างไร”
หรงจิ่นเล่นเส้นผมของนางด้วยความเอ็นดู “อย่างไรก็ตามชิงชิงไม่ควรเหนื่อยเกินไป หากมีเรื่องอันใดก็ให้ปู้อวี้ถังไปจัดการ หากยังไม่พอ ข้าจะให้เทียนซูมาช่วยเจ้าด้วย”
มู่ชิงอีตบมือเขาเบาๆ อย่างระอาใจ “หม่อมฉันกำลังช่วยท่านหรือเป็นภาระท่านกันแน่ พอเป็นผู้ว่าการ ท่านก็ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านที่สามารถใช้งานได้มาช่วยหม่อมฉันจัดการงานเสียแล้ว”
หรงจิ่นไม่สนใจ ยิ้มเอ่ย “ระหว่างข้ากับชิงชิงยังจะต้องกังวลเรื่องนี้อยู่อีกหรือ แต่ว่า…ชิงชิงลืมใครบางคนไปหรือไม่ ความจริงแล้วเขามีประโยชน์อย่างมาก”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว คนที่สามารถทำให้หรงจิ่นเห็นว่ามีประโยชน์ คาดว่าจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน หรงจิ่นเผยรอยยิ้มที่ดูอันตราย เอ่ยเสียเบาว่า “ไท่สื่อเหิง”
มู่ชิงอีชะงักไปครู่หนึ่ง เงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจเอ่ย “อย่าพูดเหลวไหล ไท่สื่อเหิงเป็นคนในยุทธภพ ยิ่งไปกว่านั้น…แม้ว่าจะเป็นเมืองหลวงแต่คนที่รู้จักเขาก็ไม่น้อยเลย” หรงจิ่นเองก็รู้สึกอึดอัด การมีสองตัวตนย่อมทำให้จัดการเรื่องได้สะดวกมากกว่า บางสิ่งที่ไม่สามารถทำได้อย่างเปิดเผยก็สามารถทำอย่างเงียบๆ ได้แต่ในทางกลับกันเพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองตัวตน คนบางคนที่ต้องไปมาหาสู่กันกลับต้องหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย อย่างเช่นตอนนี้ที่ต้องการตัวไท่สื่อเหิงแต่กลับทำไม่ได้ ทำให้หรงจิ่นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
“อีกไม่นาน…ชิงชิงก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้แล้ว” หรงจิ่นโอบตัวมู่ชิงอีเข้ามากอดพลางกระซิบอย่างอ่อนโยน
มู่ชิงอีมองไปที่เขาด้วยความสงสัย หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “อีกไม่นานชิงชิงก็จะรู้เอง หลายวันมานี้ข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ในเมืองหลวงมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นหรือไม่”
มู่ชิงอีคิดอยู่ครู่หนึ่ง เลิกคิ้วเอ่ย “มู่หรงอวี้กำลังจะสู่ขอผิงหูจวิ้นจู่ นับว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่”
“หืม?” หรงจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย “หรงซินเย่ว์ไม่ใช่ว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่แต่งกับมู่หรงอวี้หรอกหรือ” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “นั่นเป็นเรื่องในเมื่อก่อน ตอนนี้จื้ออ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว มีฉินอ๋องเป็นหัวหน้าจวนจื้ออ๋อง ไหนเลยนางจะมีสิทธิ์ออกเสียงว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง”
แม้ว่าหรงซินเย่ว์จะได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ แล้วก็เป็นหลานสาวคนโตของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกันกับหรงไหว ย่อมไม่มีอิสระเหมือนก่อนหน้านี้ที่หรงหวงยังมีชีวิตอยู่
“เช่นนั้นมู่หรงอวี้ยินดีจะแต่งกับนางหรือไม่” ด้วยนิสัยของมู่หรงอวี้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์หากเขาเต็มใจแต่งงานกับคนที่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ตัวเองอย่างหรงซินเย่ว์ หรงจิ่นใจเต้นพลางกล่าวว่า “มู่หรงอวี้กำลังวางแผนที่จะพึ่งพาหรงไหวอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีส่ายหน้าเอ่ย “อาจจะไม่ใช่เช่นนั้น เกรงว่า…มู่หรงอวี้จะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างหนึ่งของหรงไหว” แม้ว่าคนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ประทานให้แต่งงานกับมู่หรงอวี้คือผิงหูจวิ้นจู่ แต่มู่หรงอวี้ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา ตอนนี้นอกจากมีศักดิ์เป็นหลานแล้วหรงไหวก็ไม่ได้ครอบครองตำแหน่งในราชสำนักอะไรอีก เป็นไปไม่ได้ที่มู่หรงอวี้จะผูกตัวเองไว้กับหรงไหว
หรงจิ่นลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่พูดมาก็ถูก อีกอย่าง…คนงี่เง่าอย่างหรงซินเย่ว์เกรงว่าจะไม่สามารถอยู่เหนือมู่หรงอวี้ได้ หลังจากงานแต่งแล้วก็คงถูกมู่หรงอวี้จูงจมูก” ดูเหมือนว่ามู่หรงอวี้กำลังพึ่งพาหรงไหวอย่างเปิดเผย แต่กลับแอบสนใจหรงเหยี่ยนอย่างลับๆ เหยียบเรือสองแคมเช่นนี้เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าเรือจะล่มแล้ว
มู่ชิงอีพยักหน้าพลางกล่าวอย่างเห็นด้วย “ไม่ว่าสุดท้ายแล้วหรงไหวจะชนะหรือหรงเหยี่ยนชนะ สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรต้องสูญเสีย กงอ๋องแคว้นหวา…ตอนนี้เป็นนักเก็งกำไรที่ฉลาดหลักแหลมไปแล้ว” มู่หรงอวี้ในตอนนี้ไม่ได้เป็นกงอ๋องที่สง่างามในเมืองหลวงแคว้นหวาอีกต่อไป หรือบางทีอาจจะไม่เคยเป็นมาก่อนด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าคนในใต้หล้ามองผิดไปเท่านั้น
“ไม่อนุญาตให้คิดถึงเขา!” หรงจิ่นก้มหน้าลงพลางขบหูนางเบาๆ กระซิบอย่างไม่พอใจ
“เหลวไหล!” มู่ชิงอีขยับตัวออกห่างจากเขาอย่างช่วยไม่ได้ ยกมือลูบใบหูของตัวเอง แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นว่าภายใต้แสงเทียนใบหน้ารูปงามนั้นได้ถูกย้อมด้วยสีแดงแล้ว มองดูใครบางคนหายใจติดขัด เขาจึงโน้มตัวไปดึงนางมากอด…
“หรงจิ่น...เลิกเล่นได้แล้ว…”
“ชิงชิง…ข้าชอบชิงชิง…” ชายหนุ่มชุดดำกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแนบแน่น แล้วก้มหน้าลงจูบริมฝีปากสีแดงนั้น…
ในจวนตระกูลกู้มีจิ้งจอกเพลิงตัวน้อยที่สว่างไสวราวกับเปลวเพลิงและตัวอ้วนกลมเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว เจ้าตัวเล็กที่ดูเหมือนสุนัขจิ้งจอกแต่ก็ไม่เหมือนสุนัขจิ้งจอกได้รับความเอ็นดูจากบรรดาเด็กสาวในจวนตระกูลกู้ทันที โดยเฉพาะอิ๋งเอ๋อร์กับฮั่วซู ซึ่งดูแลเจ้าตัวน้อยนี้ราวกับเจ้านายน้อยอีกคนก็ไม่ปาน
เจ้าตัวน้อยที่หรงจิ่นนำกลับมาจากชิงโจวซึ่งอยู่ไกลหลายพันลี้ก็มีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ บางทีอาจเป็นเพราะมันรู้ว่ามู่ชิงอีเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยมันให้พ้นอันตรายจากมือราชาปีศาจอย่างหรงจิ่นได้ ดังนั้นมันจึงแสดงความใกล้ชิดและประจบมู่ชิงอีเป็นพิเศษ ทุกวันที่มู่ชิงอีกลับมาที่จวน เจ้าตัวน้อยก็จะรีบวิ่งออกไปทันทีราวกับลูกธนูพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของนางแล้วทำท่าทางออดอ้อน หากมู่ชิงอีก็สวมชุดทางการสีแดงพอดี เจ้าตัวน้อยก็จะดีใจยิ่งกว่าเดิม หางปุยใหญ่แกว่งไปมาอย่างภาคภูมิใจ พลางปีนขึ้นไปบนไหล่ของมู่ชิงอีราวกับว่ามู่ชิงอีเป็นพวกเดียวกันกับมัน
“หั่วเอ๋อร์ เป็นอะไรไป” ทันทีที่มู่ชิงอีก้าวขาเข้าประตูใหญ่มา แสงสีแดงก็พุ่งเข้ามา เจ้าจิ้งจอกน้อยได้ปีนขึ้นไปอยู่บนไหล่ของนางเรียบร้อย กรงเล็บขนาดเล็กทั้งสองข้างเกาะผ้าขาวราวหิมะบนไหล่ของมู่ชิงอีไว้แน่น ดวงตาเล็กๆ มองนางด้วยท่าทางน้อยใจ มู่ชิงอีลูบขนนุ่มๆ ของมันอย่างเอือมระอาพลางถามเสียงเบา
อิ๋งเอ๋อร์กับฮั่วซูรีบวิ่งตามมา เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดปิดปากหัวเราะไม่ได้ กล่าวว่า “นายน้อยคงไม่รู้ว่าตอนกลางวันอวี้อ๋องมาที่นี่ หลังจากที่อวี้อ๋องกลับไปหั่วเอ๋อร์ก็ท่าทางเซื่องซึมจนถึงตอนนี้เจ้าค่ะ” ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวน้อยถูกอวี้อ๋องกลั่นแกล้งอย่างไรนั้น ไม่พูดถึงจะดีกว่า…
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง