หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 386 สาวงามดั่งบุปผาถูกขวางกั้นด้วยกลีบเมฆ (1)
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบา ในเมื่อเป็นคนที่ติดตามข้างกายตนมาเขาย่อมรู้การกระทำต่างๆ ของเจี่ยงปินดี ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้คนเฉลียวฉลาดมาสักคน รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด อะไรควรถามไม่ควรถาม
เจี่ยงปินลอบสั่นสะท้านในใจ ฝ่าบาทเกิดสงสัยในตัวจวงอ๋องขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจวงอ๋องจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของจื้ออ๋องหรือไม่ แต่ขอแค่ฝ่าบาททรงเคลือบแคลงใจขึ้นมา เกรงว่าวันหน้าจวงอ๋องคงใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุขแน่นอน สิ่งที่ฮ่องเต้ชิงชังมากที่สุดก็คือเหล่าองค์ชายเข่นฆ่ากันเอง หากวันนี้เหล่าองค์ชายกล้าฆ่าแม้แต่พี่น้อง พรุ่งนี้ก็คงฆ่าได้แม้กระทั่งบิดาของตนเช่นกัน
“จิ่นเอ๋อร์ไปที่ใดมานะ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสถาม
เจี่ยงปินสะดุ้งตกใจ คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะสงสัยในตัวองค์ชายเก้าเลยเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ทูลฝ่าบาท ไม่มีเหล่าองครักษ์ติดตามองค์ชายเก้าไป แต่…เหมือนองค์ชายเก้าจะกลับมาจากทางทิศเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้า จิ่นเอ๋อร์กลับมาได้หลายวันแล้ว อีกทั้งทิศทางที่กลับมาก็แปลกๆ ตอนที่เขากลับมาเมืองเผิงยังไม่เกิดเรื่องใดขึ้นเลยนี่นา ความจริงความคลางแคลงใจที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มีต่อหรงจิ่นก็เป็นเพียงความเคยชินที่คนในฐานะฮ่องเต้อย่างเขาจะเอาข้อสงสัยทุกจุดมาไตร่ตรองดูก็เท่านั้น
“เอาเถิด พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่เจ้านำราชโองการไปที่จวนจื้ออ๋อง แต่งตั้งจื้ออ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาทต้าวกง”
เจี่ยงปินผงะไปแล้วมองแผ่นหลังของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่กำลังเดินอย่างช้าๆ ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว พอจื้ออ๋องทรงสิ้นพระชนม์ก็เหมือนเป็นจุดจบของจวนจื้ออ๋องเช่นกัน แต่…ฝ่าบาททรงแต่งตั้งจื้ออ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาท การกระทำเช่นนี้…หลานชายคนโต…ฝ่าบาททรงทำเพื่อปลอบใจพระชายาจื้อกับซื่อจื่อหรือบีบให้จวนจื้ออ๋องต้องตายกันแน่นะ
ณ ห้องหนังสือในจวนอวี้อ๋อง หรงจิ่นนั่งอยู่หลังโต๊ะพลางก้มหน้าขบคิดบางอย่าง เก้าอี้ด้านล่างมีเทียนเสวียนและเฝิงจื่อสุ่ยนั่งขนาบข้างซ้ายขวาพร้อมจับจ้องหรงจิ่นนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดบางอย่าง
“ท่านเจ้า…ท่านอ๋อง ท่านกำลังคิดเรื่องใดอยู่หรือ” เทียนเสวียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หรงจิ่นขมวดคิ้วมุ่นมองเฝิงจื่อสุ่ยแล้วเอ่ย “เฟิ่งจังน่าจะเดาได้ว่าข้ากำลังคิดอันใดอยู่กระมัง” เฝิงจื่อสุ่ยลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เดิมทีเขาไม่อยากรวมหัวทำเรื่องไม่ดีเช่นนี้ด้วยเลย แต่ในเมื่อคุณหนูเข้ามาพัวพันด้วยแล้วเขาจะนิ่งดูดายได้เช่นไร โดยเฉพาะองค์ชายเก้าผู้นี้ ปกติดูเหมือนเหลาะแหละไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่พอทำอะไรขึ้นมาจริงๆ กลับไม่อ่อนข้อให้ใครเลยสักนิด
เฝิงจื่อสุ่ยเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “ท่านอ๋องกำลังเดาความคิดที่ฝ่าบาทมีต่อจื้ออ๋องกระนั้นหรือ”
หรงจิ่นพยักหน้ารับน้อยๆ โดยไม่พูดอะไร เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยยิ้มๆ “ความจริงท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องคิดมากเลย ท่าทีที่ฝ่าบาทมีต่อจวนจื้ออ๋องมีเพียงสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือไม่สนใจใยดีเรื่องนี้ อย่างที่สองแต่งตั้งตำแหน่งเพื่อปลอบใจก็เท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ไม่มีผลเสียต่อท่านอ๋องอยู่แล้วมิใช่หรือ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มบางกล่าว “ใช่ อิทธิพลของจวนจื้ออ๋องไม่เป็นรองตวนอ๋อง กระทั่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจวงอ๋องเลย หากเสด็จพ่อไม่สนใจเรื่องนี้คงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่ ดังนั้น…ข้าเดาว่าเสด็จพ่อถึงต้องแต่งตั้งเพิ่มให้”
เฝิงจื่อสุ่ยกล่าว “บัดนี้จื้ออ๋องเป็นถึงโอรสของพระชายาเอก อีกทั้งมีตำแหน่งสูงศักดิ์อย่างชินอ๋องด้วย ต่อให้แต่งตั้งหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน หากฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งอีก…คงทำได้แค่แต่งตั้งขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแล้ว” แบบนี้ก็ไม่ถือว่าทำเกินกว่าเหตุ มารดาแท้ๆ ของจื้ออ๋องเป็นถึงฮองเฮา เขาเป็นโอรสเพียงคนเดียวของพระชายาเอก ในราชสำนักเมื่อหลายปีก่อนเรียกร้องให้แต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เพราะหลายปีนี้ถูกวิธีการอันเลือดเย็นของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ข่มไว้ก็เท่านั้น หากเวลานี้จะแต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทไล่ตามหลังให้กลับไม่ได้ส่งผลใดเลย
“หากเป็นเช่นนั้น ในฐานะหลานคนโตคงลำบากน่าดู” เฝิงจื่อสุ่ยมุ่นคิ้วเอ่ย บุตรชายขององค์รัชทายาท…หากว่ากันตามหลักก็คือหลานผู้สืบทอดตำแหน่งองค์รัชทายาท ด้วยสมญานามนี้หากจื้ออ๋องซื่อจื่อมีใจทะเยอทะยานก็คงดึงดูดคนได้ไม่น้อย แต่ซื่อจื่อที่ไม่เคยเข้าฟังงานในราชสำนักมาก่อนจะเอาชนะอาทั้งสองอย่างจวงอ๋องกับตวนอ๋องได้หรือไม่คงพูดยาก
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาแล้วเอ่ย “ก็ลำบากจริงๆ นั่นแหละ” นี่คือข้อเสียของการฆ่าหรงหวงก่อน หากไม่ใช่เพราะไม่อยากหาเรื่องล่วงเกินหนานกงเจวี๋ย หรงจิ่นคงไม่เลือกลงมือฆ่าหรงหวงก่อน
เฝิงจื่อสุ่ยขบคิดแล้วเอ่ย “จากที่กระหม่อมเห็นเกรงว่าซื่อจื่อจะไม่ใช่ศัตรูที่จะเทียบชั้นกับตวงอ๋องและจวงอ๋องได้เลย หากท่านอ๋องออกแรงช่วยในเวลาที่เหมาะสมคงรวบอำนาจของจื้ออ๋องมาเป็นของตนเองได้”
หรงจิ่นไตร่ตรองก่อนส่ายศีรษะเอ่ย “ยังไม่ต้องคิดเรื่องอำนาจของจื้ออ๋อง เจ้าหรงไหวนั่นจิตใจทะเยอทะยานไม่ด้อยไปกว่าพ่อของเขา เกรงว่าหากไม่เลือดตกยางออกคงไม่ถอยออกไปง่ายๆ แน่นอน”
เฝิงจื่อสุ่ยไม่รู้ว่าการตายของจื้ออ๋องเป็นฝีมือของหรงจิ่นและมู่ชิงอีเลยเสนอความคิดเห็นไปเช่นนั้น แต่หรงจิ่นรู้ดีว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสิ่งใดเป็นความลับได้ชั่วนิรันดร์กาล ในเมื่อเขากล้าฆ่าหรงหวงก็ย่อมเตรียมการไว้แล้วว่าสักวันคงถูกใครรู้เข้า ดังนั้นเดิมทีเขากับหรงไหวจึงไม่ใช่คนที่จะเดินเส้นทางเดียวกันได้ อย่างน้อยต่อให้มอบอิทธิพลของตระกูลฮองเฮาและพระชายาจื้อให้ เขาก็ไม่มีวันใช้มันแน่นอน หาโอกาสที่ชัดเจนบริสุทธิ์ต่างหากถึงจะสมเหตุสมผลมากกว่า
ถึงแม้เฝิงจื่อสุ่ยจะไม่รู้ว่าเหตุใดหรงจิ่นถึงปฏิเสธแต่เขาไม่สนใจเลยสักนิด เวลานี้เขาไม่ใช่คนของจวนอวี้อ๋อง ทว่าเห็นแก่หน้าคุณหนูเลยเสนอความคิดที่ตนคิดว่าเหมาะสมให้ไปก็เท่านั้น ส่วนถ้าองค์ชายเก้าไม่อยากนำไปใช้ เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเช่นกัน
“ท่านอ๋อง หัวหน้าผู้ดูแลกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวนอกประตูเอ่ยรายงานเสียงนอบน้อม
“ชิงชิงกลับมาแล้วหรือ!” หรงจิ่นดีอกดีใจ ถึงแม้เฝิงจื่อสุ่ยจะทำงานแทนชิงชิงได้หลายอย่าง แต่พอเวลาไม่มีชิงชิงข้างกายกลับชวนให้เขารู้สึกไม่สบายตัวนัก หากไม่ถึงขีดสุด เกรงว่าเขาคงระเบิดอารมณ์ได้ทุกที่ทุกเวลา
หรงจิ่นเพิ่งลุกขึ้นไม่นาน มู่ชิงอีก็ปรากฏกายตรงหน้าประตูพร้อมใบหน้าสะอาดหมดจดภายใต้ชุดสีขาวทั้งร่าง หลายวันมานี้เผชิญเรื่องมากมายแต่กลับยังคงงดงามอ่อนวัยเช่นเคย ริมฝีปากแฝงรอยยิ้มจางๆ ขับให้งดงามสดใสมากกว่าเดิม
“ชิงชิง!”
เพราะเหตุนี้เทียนเสวียนถึงเห็นเจ้าเมืองผู้หลักแหลมเหนือใครของเขากระโจนเข้าไปหาหนุ่มน้อยชุดขาวที่เพิ่งปรากฏกายเต็มสองตา จากนั้นก็เห็นลากตัวเข้ามานั่งเก้าอี้ด้านบนอย่างสุขใจ บวกกับได้ยินเจ้าเมืองเรียกว่าชิงชิงเมื่อครู่ เทียนเสวียนจึงเบิกตากว้าง สุดท้ายก็มองเห็นความคล้ายคลึงระหว่างหนุ่มน้อยชุดขาวผู้นี้กับว่าที่นายหญิงของพวกเขา
“มู่…แม่นางมู่หรือ”
มู่ชิงอีหันไปมองสายตาตกตะลึงของเทียนเสวียนด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ย “ผู้ดูแลเทียนเสวียน เป็นเกียรตินัก ข้าคือกู้หลิวอวิ๋น เป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวนอวี้อ๋อง”
เทียนเสวียนกะพริบตาปริบๆ พลันรู้สึกหน้ามืดเข้าไปใหญ่ เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าตกลงหนุ่มน้อยตรงหน้าคือแม่นางมู่หรือไม่ ถึงแม้จะหน้าตาละม้ายคล้ายกันมากแต่ดูแล้วก็เหมือนหนุ่มน้อยใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นคนหนึ่งนี่นา แถมไม่ได้คล้ายคลึงกันจนถึงขั้นเหมือนเป็นคนๆ เดียวกันเสียทีเดียว แต่หากไม่ใช่ เจ้าเมืองจะ…แล้วอีกอย่างจะรู้สถานะของเขาได้อย่างไรกัน
หรงจิ่นมองสายตางุนงงฉงนของเทียนเสวียนพร้อมยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ชิงชิง เจ้าอย่าหยอกเทียนเสวียนเล่นเชียว เขาบื้อจริงๆ อย่าทำเขาโง่ขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”
พอหรงจิ่นพูดขึ้นเช่นนี้ ถึงแม้เทียนเสวียนจะระอาใจอยู่บ้างแต่เขากลับเข้าใจทันทีว่าหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าก็คือแม่นางมู่ ว่าที่นายหญิงของพวกเขาหรือก็คือสาวน้อยชุดขาวในเมืองเทียนเชวียจริงๆ
ถึงแม้เทียนเชวียจะปลีกตัวอยู่โลกภายนอกมาหลายร้อยปี แต่กฎระเบียบในเมืองกลับไม่ได้แตกต่างจากโลกภายนอกมากนัก ผู้หญิงที่เก่งกาจทั้งด้านศิลป์และการต่อสู้อย่างฮั่วซูก็นับว่าหายากแล้ว เขาจะเคยเจอคนอย่างมู่ชิงอีได้เช่นไร หลังจากสำรวจมู่ชิงอีที่นั่งอยู่ข้างกายเจ้าเมืองด้วยท่าทีสงบพร้อมกิริยามารยาทสง่างาม เขาก็อดอุทานขึ้นในใจไม่ได้ว่า มิน่าเล่า…เจ้าเมืองถึงเมินเหมยอิ้งเสวี่ย