หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 379 พระโพธิสัตว์อสุรา
ไม่นานก็มีบุรุษชุดขาวรูปงามคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนของเย่าหวังกู่อย่างช้าๆ เขาสวมชุดสีขาวทั้งร่างเฉกเช่นเดียวกับมั่วเวิ่นฉิง ทว่าพอสวมบนร่างเขากลับไม่ได้ดูแสบตาและเย็นชาดั่งเกล็ดหิมะอย่างมั่วเวิ่นฉิง แต่กลับเสริมบุคลิกให้ดูอ่อนโยนสง่างามน่าเกรงขาม ดูแล้วไม่เหมือนคนในยุทธภพ แต่เหมือนลูกหลานคุณชายตระกูลสูงส่งมากกว่า
หลิงซูเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านผู้นี้ก็คือเจ้าสำนักคนใหม่ของเย่าหวังกู่ หรือก็คือบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของอดีตเจ้าสำนัก…มีนามว่าจูอวี้ คุณชายจูนั่นเอง”
“เหตุใดบุตรชายของอดีตเจ้าสำนักถึงแซ่จูได้เล่า”
“เจ้าสำนักมั่วอาจจะยังไม่แต่งงาน หรืออาจจะแซ่เดียวกับมารดาก็ได้ใครจะรู้”
ทุกคนด้านล่างต่างถกประเด็นกันยกใหญ่ บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นพยักหน้าเอ่ย “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
หลิงซูเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านผู้เฒ่าบางส่วนคงเคยเจออดีตเจ้าสำนักมาก่อน ถึงแม้หน้าตาของเจ้าสำนักคนใหม่จะไม่ได้เหมือนอดีตเจ้าสำนักเสียทุกส่วน แต่ก็คงละม้ายคล้ายคลึงบางส่วนบ้างกระมังเจ้าคะ”
อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เพิ่งล่วงลับไปได้ไม่นาน คนที่เคยเจอเขาย่อมมีไม่น้อย หากสังเกตบุรุษชุดขาวผู้นั้นอย่างละเอียด ถึงแม้บุคลิกท่าทางจะไม่เหมือนคนในยุทธภพเลยสักนิด แต่หน้าตากลับละม้ายคล้ายอดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่บางส่วนอยู่บ้างจริงๆ อย่างน้อยหากเทียบกับมั่วเวิ่นฉิงที่หน้าตาไม่คล้ายคลึงกันเลยอย่างสิ้นเชิง ใครต่างก็เชื่อว่าบุรุษตรงหน้าต่างหากถึงจะเป็นบุตรชายของอดีตเจ้าสำนักจริงๆ
“ข้ามีนามว่าจูอวี้ วันหน้าโปรดทุกท่านชี้นำข้าด้วย” จูอวี้หรือก็คือมู่หรงอวี้ประสานมือพร้อมรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ขอถามเจ้าสำนักจูหน่อยเถิดว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆา…ยังอยู่ในเย่าหวังกู่หรือไม่” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยถาม
มู่หรงอวี้หันไปมองมั่วเวิ่นฉิงที่ยืนเงียบกริบไม่พูดอะไรอยู่อีกฝั่งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มประหลาดให้เห็น “เพราะก่อนหน้านี้หลิงซูเห็นแก่สายใยมิตรภาพ หญ้าเซียนเก้าเมฆา…ถูกมั่วเวิ่นฉิงเอาไปจริงๆ มั่วเวิ่นฉิง ในเมื่อเจ้าไม่ใช่คนของเย่าหวังกู่แล้ว โปรดคืนหญ้าเซียนเก้าเมฆาให้เย่าหวังกู่ด้วยเถิด”
เมื่อครู่มั่วเวิ่นฉิงเองก็ยอมรับแล้วว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่ในมือเขาจริงๆ เวลานี้ยังมีคำยืนยันจากเจ้าสำนักเย่าหวังกู่คนใหม่อีก ตอนนี้สายตาของทุกคนจึงจับจ้องร่างของมั่วเวิ่นฉิงอย่างพร้อมเพรียง
มั่วเวิ่นฉิงมองมู่หรงอวี้ด้วยแววตาสงบพร้อมสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ เช่นเคย ราวกับเขาพอจะเดาได้แล้วว่ามู่หรงอวี้ต้องทำเช่นนี้แน่นอน แต่ไม่ว่าเขาจะทำเช่นใดมั่วเวิ่นฉิงก็ไม่สนใจเลยสักนิด ครั้นเผชิญกับแววตาแน่นิ่งเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ มู่หรงอวี้ถึงรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาจนเซถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวเพื่อหลบสายตานั้นของมั่วเวิ่นฉิงโดยไม่หลุดพิรุธให้ใครเห็น
มั่วเวิ่นฉิงคลายห่อผ้าหนึ่งที่อยู่บนแผ่นหลังเขาอย่างช้าๆ ท่ามกลางเสียงก่นด่าโหวกเหวก เวลานี้ทุกคนถึงสังเกตเห็นว่ามั่วเวิ่นฉิงในชุดสีขาวราวหิมะสะพายห่อผ้าสีเดียวกันไว้ที่แผ่นหลัง บางทีอาจเพราะสีใกล้เคียงกันมากเลยขับให้ร่างกายของมั่วเวิ่นฉิงดูโคร่งใหญ่กว่าปกติ ทว่าก่อนหน้านี้กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน
มือหนึ่งค่อยๆ คลายปมเงื่อนบนห่อผ้าออก จากนั้นก็มีกลิ่นประหลาดอ่อนๆ แผ่กระจายอบอวลอย่างช้าๆ ต่อมาทุกคนก็เห็นกล่องหยกวิจิตรงามตาในห่อผ้านั้น ภายในกล่องหยกมีบางอย่างลักษณะคล้ายเห็ดหลินจือสีแดง ถึงแม้จะเป็นสีแดงแต่กลับไม่เหมือนหลินจือสีแดงเลือดทั่วไปเสียทีเดียว เพราะหลินจือสีแดงเลือดคงไม่แผ่กลิ่นหอมอ่อนสบายๆ ให้ทุกคนได้กลิ่นเช่นนี้ อีกทั้งสีก็ไม่ได้แดงเพลิงงดงามสะกดตาขนาดนี้เช่นกัน
ครั้นเห็นในกล่องหยกสีขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิปรากฏสิ่งที่คล้ายเห็ดหลินจือสีแดงงดงามน่าหลงใหลราวกับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงพร้อมส่งกลิ่นหอมจางๆ แผ่อบอวลไปทั่วทุกทิศ คนที่อยู่ใกล้ก็พลอยรู้สึกว่ากำลังวังชาภายในของตนเริ่มเดือดพล่านตามไปด้วย หากขยับเข้ามาใกล้อีกสักนิดคงมีผลต่อกำลังภายใน เช่นนั้นคำเล่าลือที่ว่าพอหันเวิ่นเทียนทานมันเข้าไปก็กลายเป็นยอดฝีมือแกร่งกล้าแห่งยุคคงไม่ใช่เรื่องโกหก หรือกล่าวได้ว่า…นี่คือหญ้าเซียนเก้าเมฆาจริงๆ
มั่วเวิ่นฉิงมองสายตาหิวกระหายของคนเหล่านั้นพร้อมผุดรอยยิ้มเย็นชาออกมา
“หญ้าเซียนเก้าเมฆามีเพียงอันเดียว พวกเจ้า…ใครอยากได้เล่า” เสียงเย็นยะเยือกดึงทุกคนกลับสู่โลกความเป็นจริง ใช่แล้ว หญ้าเซียนเก้าเมฆามีเพียงอันเดียว เช่นนั้นจะตกเป็นของใครเล่า
เมื่อเห็นท่าทีความโลภครอบงำของทุกคน มั่วเวิ่นฉิงจึงเอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นก็ให้เบื้องบนเป็นคนตัดสินแล้วกัน” จากนั้นเขาก็โยนกล่องหยกพร้อมหญ้าเซียนเก้าเมฆาออกไปพร้อมกันในครั้งเดียว
“เฮ้ย!” ไม่รู้ว่าใครอุทานเสียงตกใจนี้ขึ้น เหมือนทุกคนตรงนั้นต่างกระโจนเข้าไปยื้อแย่งกล่องหยกขาวกลางอากาศกันยกใหญ่ เพียงแต่คนที่วิทยายุทธไม่ได้เรื่องย่อมถูกคนที่เก่งกว่าเหยียบย่ำอยู่ปลายเท้า หากมีวิทยายุทธที่ดีกว่าย่อมดีอยู่แล้ว กระทั่งบางคนพอเห็นคนตรงหน้าเกือบยื้อแย่งมาได้ก็ใช้ดาบแทงทะลุหัวใจโดยฝีมือของเหล่าสหายรักข้างกายตนเอง
หลังจากแสงสีขาวหิมะวาบปรากฏ การชุมนุมนี้ก็ยิ่งตกอยู่ในความอลหม่านทันที สมบัติล้ำค่าหายากและแรงกระตุ้นจากเลือดสีสดชวนให้คนตรงนั้นต่างคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม กล่องหยกสีขาวนั้นถูกส่งผ่านมือใครต่อใครหลายคน จนสุดท้ายกล่องสีขาวดั่งหิมะก็ถูกย้อมไปด้วยเลือด
เวลานี้มั่วเวิ่นฉิงใช้มือไพล่หลังยืนอยู่บนแท่นเวทีที่สร้างขึ้นอย่างลวกๆ พลางมองความโกลาหลจากมุมที่สูงกว่า จากนั้นมุมปากก็ผุดรอยยิ้มเย้ยหยันเย็นชาก่อนหันไปมองหลิงซูด้วยสายตาเรียบนิ่งเอ่ย “นี่คือผู้มากความสามารถในยุทธภพที่เจ้าบอกอย่างนั้นหรือ”
“ท่าน…” หลิงซูเองก็ตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเช่นกัน นางคิดไม่ถึงว่ามั่วเวิ่นฉิงจะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตมากขนาดนี้ บางที…แต่ไหนแต่ไรมานางอาจไม่เคยเข้าใจมั่วเวิ่นฉิงจริงๆ เลยก็ได้
“สกปรกเสียจริง” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งที่ข้าควรทำ ข้าก็ทำไปหมดแล้ว วันหน้า…ข้ากับเย่าหวังกู่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีก ส่วนเจ้า…” มั่วเวิ่นฉิงจับจ้องมู่หรงอวี้ด้วยดวงตาเรียบนิ่งเอ่ย “อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”
มู่หรงอวี้ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหทันที ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขามีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่าแต่ก็ยังไม่กล้าทำอะไรมั่วเวิ่นฉิงเฉกเช่นเคย บางทีฝีมือวิทยายุทธของเขาอาจไม่เป็นรองมั่วเวิ่นฉิงเลย ทว่าแม้แต่คนที่เก่งกาจเรื่องพิษและมีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมอย่างหลิงซูยังยอมรับว่าห่างชั้นกับมั่วเวิ่นฉิงมาก กระทั่งมีเพียงมั่วเวิ่นฉิงคนเดียวที่สืบทอดความรู้ของอดีตเจ้าสำนักได้อย่างแท้จริงอีกต่างหาก
“ศิษย์พี่ต้องไร้เยื่อใยขนาดนี้เชียวหรือ” หลิงซูเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก
“พี่ใหญ่มั่ว ข้าไม่ดีเอง พี่ใหญ่อย่าไปเลย…” ซู่เวิ่นร้องเรียกด้วยดวงตาแดงก่ำ นางไม่คิดจะทำร้ายมั่วเวิ่นฉิงเลยจริงๆ นางหลงรักเขามาตั้งแต่อายุสิบสองสิบสามปี แล้วนางจะทำร้ายเขาได้เช่นไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลย นางก็แค่อยากให้เขาสนใจนางบ้างก็เท่านั้น
ท่าทีเศร้าสร้อยของซู่เวิ่นไม่สามารถส่งผลใดต่อหัวใจเย็นชาของเขาได้เลย ส่วนคำตอบของมั่วเวิ่นฉิงก็คือหมุนตัวเดินจากไป
“หลิงซู หญ้าเซียนเก้าเมฆา…พวกเรา” มู่หรงอวี้มุ่นคิ้วเอ่ยพลางมองเจ้าสำนักชื่อดังในยุทธภพคนหนึ่งคว้ากล่องหยกอาบเลือดวิ่งแน่บเข้าไปในป่า
หลิงซูส่ายศีรษะเอ่ย “เดิมทีเย่าหวังกู่ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาอะไรนั่นหรอก”
มู่หรงอวี้สีหน้าหม่นลงเอ่ย “เจ้าจะบอกว่านั่นเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ”
หลิงซูไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดของเราตอนนี้ก็คือรีบให้เจ้าขึ้นรับตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่”
มู่หรงอวี้หรี่ตาส่องประกายความไม่พอใจพาดผ่าน แต่ใบหน้ายังคงอ่อนโยนเช่นเคยเอ่ยว่า “เจ้าพูดถูก หลิงซู หากไม่มีเจ้า ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรดี”
หลิงซูเอ่ยเสียงเรียบ “ตระกูลเฉินจงรักภักดีต่อตระกูลมั่วมาหลายชั่วคน นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ เจ้าสำนักไม่ต้องเกรงใจไป” หลิงซูเอ่ยด้วยท่าทีเย็นชาไร้ความสุภาพ หากเป็นกงอ๋องผู้สูงส่งในอดีตคงระเบิดอารมณ์ไปแล้ว แต่หลังจากมาถึงแคว้นเย่ว์ มู่หรงอวี้ถึงเข้าใจความยากลำบากของตนเองดี ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นจวิ้นอ๋อง แต่กลับเลี้ยงดูเขาราวกับคนว่างงานคนหนึ่ง อีกทั้งไม่ให้เขาเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องใดทั้งสิ้น กระทั่งตวนอ๋องที่ไปมาหาสู่เขาบ่อยๆ ยังถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตำหนิไปยกหนึ่ง พอเป็นเช่นนี้คนทั่วทั้งราชสำนักจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าฮ่องเต้ปฏิบัติต่อจวิ้นอ๋องที่มาจากแคว้นหวาผู้นี้อย่างไร