หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 374 ความร่วมมือของจื้ออ๋อง (4)
“เช่นนั้นชิงชิงต้องระวังตัวด้วย อย่าลืมล่ะว่าหรงเหยี่ยนก็รู้จักเจ้าเช่นกัน หากเจ้าก่อเรื่องที่นี่เสียใหญ่โต วันหน้าเจ้ากลับเมืองหลวงไป ไม่แน่อาจเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเมื่อไรก็ได้” หรงจิ่นเอ่ยกำชับเสียงเบา
ครั้นเห็นความกระวนกระวายใจและร้อนรนผ่านแววตาของเขา มู่ชิงอีก็รู้ดีว่าเขาเป็นห่วงตนเลยคลี่ยิ้มบางพลางลูบมือเขากล่าว “วางใจเถิด หม่อมฉันรู้ขอบเขตดี ท่านก็รู้ว่าหม่อมฉันไม่ชอบเข่นฆ่าใคร” ด้วยชาติกำเนิด แต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงอีไม่ได้เป็นคนชอบปะทะกับศัตรูซึ่งๆ หน้าอยู่แล้ว นางแค่ชอบคอยวางอุบายปูทางอยู่เบื้องหลังแบบนั้นมากกว่า
หรงจิ่นพยักหน้ากล่าว “ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่งั้นข้าเรียกตัวเทียนซูกับไคหยางมาด้วยดีกว่า” หากมีสี่ยอดฝีมือแห่งเทียนเชวียอย่างเทียนซู ไคหยาง เทียนเฉวียนและฮั่วซูคอยคุ้มกัน ต่อให้เว่ยอู๋จี้ลงไม้ลงมือเองก็อย่าได้คิดจะแตะต้องชิงชิงแม้แต่ปลายขนเลย
“เหลวไหล! คนอื่นไม่ต้องทำงานทำการหรืออย่างไรเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างระอาใจ ใช่ว่าบนโลกนี้จะต้องใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการเข่นฆ่าอย่างเดียวเสียเมื่อไร และใช่ว่าทุกคนจะบ้าคลั่งเอาแต่ชักดาบยามเผชิญหน้ากันเสียทีเดียว
พอเห็นมู่ชิงอีเผยท่าทีเช่นนั้น หรงจิ่นก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่ขบคิดในใจว่าก่อนเดินทางควรจัดองครักษ์คุ้มกันข้างกายมู่ชิงอีใหม่อย่างไรให้เหมาะสมดี เขาไม่อยากห่างจากชิงชิง เพียงแค่ไม่ได้อยู่ข้างกายนาง เขาก็มักจะรู้สึกหงุดหงิดกระทั่งปะทุความโหดเหี้ยมออกมาเหมือนเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาต่างรู้แก่ใจดีว่าเหตุที่พวกเขาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันได้ไม่ใช่เพราะความรักตราบชั่วนิรันดร์ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เพื่ออำนาจ เพื่อความทะเยอทะยาน เพื่อการแก้แค้น เพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งพอจะปกป้องคนที่ตนอยากดูแลได้
ไม่มีใครทำตัวเหมือนเด็กยื้อยุดเห็นแต่ความรักสำคัญทั้งนั้น หลังจากได้รับตั๋วห้าหมื่นตำลึงทองจากคนที่หรงหวงส่งมาให้แล้วหรงจิ่นก็ออกเดินทางในคืนนั้นทันที เพราะยังไม่วางใจเรื่องมู่ชิงอีและเพื่อทำให้หรงหวงสบายใจ หรงจิ่นเลยเดินทางกลับไปเพียงลำพัง ส่วนเทียนเฉวียน ฮั่วซู รวมถึงทหารฝีมือดีที่นำมาจากเมืองเทียนเชวียหลายสิบคนล้วนทิ้งไว้ที่เมืองเผิงทั้งหมด
ครั้นส่งหรงจิ่นแล้ว มู่ชิงอีก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรมากนัก แต่นางกลับพลิกอ่านม้วนกระดาษในมืออย่างสงบในห้องหนังสืออีกครั้งพลางขบคิดเรื่องหลังจากนี้ในใจตามไปด้วย ในเมื่อนางรับปากกับหรงจิ่นแล้วว่าจะช่วยต่อกรกับหรงหวง เช่นนั้นครั้งนี้หรงหวงก็ห้ามมีชีวิตรอดกลับเมืองหลวงไปเด็ดขาด แต่หรงหวงเป็นถึงโอรสของฮองเฮาในวัง หากอยากให้เขาตายกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เทียนเฉวียนและฮั่วซูจับจ้องท่าทีสงบเยือกเย็นของมู่ชิงอีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ เจ้าเมืองไม่พูดอะไรสักอย่างนอกจากกำชับว่าหลังจากนี้ให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของแม่นางมู่แล้วก็สะบัดก้นจากไปเลย กระทั่งทำเอาพวกเขารู้สึกว้าวุ่นใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าพอเห็นท่าทีสงบแน่นิ่งเช่นนี้ของแม่นางมู่แล้วก็ชวนให้พวกเขาสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างอย่างไม่น่าเชื่อ
เทียนเฉวียนนึกประหลาดใจในท่าทีของว่าที่ฮูหยินผู้ที่เจ้าเมืองไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดยิ่งกว่าเดิม เรื่องในเมืองเผิงเพิ่งเริ่มต้นขึ้นแต่เจ้าเมืองกลับชิงเดินทางกลับไปก่อน แถมมอบหมายเรื่องทั้งหมดให้แม่นางมู่เป็นคนจัดการ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเมืองไม่ได้แค่ไว้ใจแม่นางมู่เท่านั้น แต่ยังเชื่อมั่นในความสามารถของนางมากด้วยอีกต่างหาก เทียนเฉวียนเจอผู้หญิงมาไม่มาก แต่ไม่ว่าจะคนขี้โวยวายอย่างเหมยอิ้งเสวี่ยหรือคนรู้ความและมากความสามารถอย่างฮั่วซูกลับแตกต่างจากแม่นางมู่อย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุนี้เทียนเฉวียนจึงยิ่งใคร่รู้ว่าขีดความสามารถของแม่นางมู่จะถึงขั้นไหน
มู่ชิงอีที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสือย่อมสังเกตเห็นสายตาที่กวาดมองนางเป็นระยะๆ ได้อยู่แล้ว จากนั้นก็วางม้วนกระดาษลงอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเงยหน้าเปิดปากถามว่า “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดอยากพูดหรือ”
เทียนเฉวียนและฮั่วซูต่างสบตากันก่อนฮั่วซูจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “แม่นางมู่ เหตุใดจู่ๆ เจ้าเมืองถึงไปแล้วหรือ” มู่ชิงอียิ้มน้อยๆ กล่าว “เขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ ที่นี่ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร หากเขาไม่ไปแล้วจะอยู่ต่อทำไมเล่า”
ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไรหรือ เรื่องทางนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเองไม่ใช่หรืออย่างไร
เทียนเฉวียนเอ่ยถามขึ้นว่า “หากจื้ออ๋องเอ่ยถามว่าเจ้าเมืองอยู่ที่ใด พวกเราควรตอบกลับเขาเช่นใดดีขอรับ”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นขบคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย “ก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่าไม่ต้องสนใจว่าเจ้าเมืองอยู่ที่ใด พวกเรารับประกันว่าจะได้หญ้าเซียนเก้าเมฆามาหลังจากสิบวันนี้อย่างแน่นอนก็พอแล้ว”
“เขาจะเชื่อหรือ” จื้ออ๋องทุ่มเงินตั้งแสนตำลึงทองไม่ใช่แสนตำลึงเงินเสียหน่อย
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ถ้าเขาไม่เชื่อแล้วจะทำอะไรได้เล่า”
เทียนเฉวียนลูบจมูกปอยๆ แล้วเงียบไปพักใหญ่ ก็จริง หากเขาไม่เชื่อแล้วจะทำอะไรได้เล่า ในเมื่อมีจวงอ๋องอยู่ จื้ออ๋องย่อมทำอะไรกระโตกกระตากมากไม่ได้อยู่แล้ว จากนั้นก็ได้ยินเพียงมู่ชิงอีเอ่ยเสียงเอื่อยๆ ว่า “อีกเดี๋ยวถ้าไม่มีเรื่องอันใดก็ส่งข่าวบอกจวงอ๋องด้วย พวกเขาล้วนเป็นอ๋อง พวกเราคงเพิกเฉยไม่ได้”
“ขอรับ” เทียนเฉวียนขานรับเสียงขรึม
ฮั่วซูเอ่ยถามต่อว่า “แม่นางมู่ แล้วตอนนี้เราควรทำอะไรต่อไปหรือ”
มู่ชิงอีก้มหน้าเล่นกำไลหยกสีมรกตงดงามเนื้อโปร่งแสงชั้นดีบนข้อมือแล้วเอ่ยว่า “หากต้องการหญ้าเซียนเก้าเมฆาก็ต้องหาตัวมั่วเวิ่นฉิงให้เจอก่อน”
มั่วเวิ่นฉิงหาตัวยากไหม แน่นอว่าหายากอยู่แล้ว พื้นที่นอกและในเมืองเผิงไม่ได้กว้างขวางมากนัก ทว่าหลายวันมานี้คนในสำนักยุทธภพแทบพลิกแผ่นดินหาแต่ก็ยังหาตัวมั่วเวิ่นฉิงไม่เจอ แม้แต่คนที่เข้าใจมั่วเวิ่นฉิงดีมากที่สุดอย่างเย่าหวังกู่ก็ยังหาไม่เจอ แล้วจะนับประสาอะไรกับคนอื่นเล่า
ความเชื่อมั่นเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ทุกคนยังไม่ยอมแพ้และไปจากเมืองนี้เพราะว่ากันว่ามั่วเวิ่นฉิงยังอยู่เมืองเผิง ถึงแม้มีคนไม่น้อยแอบสงสัยว่าข่าวนี้จะเชื่อถือได้หรือเปล่าบ้างก็ตาม มู่ชิงอีไม่มีทางตามหาเขาทั้งนอกและในเมืองเผิงอย่างเหล่าคนในยุทธภพเช่นนั้นแน่นอน นางไม่มีกำลังคนและความอดทนมากมายขนาดนั้น เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ถนัดวิชาปลอมแปลงตัว เขาสามารถปลอมแปลงเป็นใครสักคนแล้วหายตัวไปอย่างไร้วี่แววได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว แน่นอนมู่ชิงอีคิดว่าด้วยความเย่อหยิ่งของมั่วเวิ่นฉิงแล้วย่อมคิดว่าทำเช่นนี้คงไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก
มู่ชิงอีเหมาชั้นสูงสุดของร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองเผิงไว้แล้วนั่งในนั้นพร้อมเปิดหน้าต่างกว้างรอบทิศจนเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งเมืองเผิงได้ทั้งหมด แต่คนนอกอย่าหวังจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่นี่เลย เพราะเดิมทีร้านแห่งนี้ตั้งอยู่จุดที่สูงที่สุดในภูมิศาสตร์เมืองเผิง อาคารสูงสามชั้น ทั่วทั้งเมืองเผิงไม่มีสถานที่ใดสูงมากกว่าที่แห่งนี้แล้ว
คนพลุกพล่านละแวกนั้นในยามปกติกลับเงียบสงบเหลือเกิน มู่ชิงอีนั่งริมหน้าต่างพลางทอดสายตามองลงไปข้างล่าง มองจากที่สูงนั้นทำให้เห็นทิวทัศน์โดยรวมของเมืองเผิงได้ดีจริงๆ
“หากฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ทิวทัศน์ที่นี่คงงดงามกว่าเป็นร้อยเท่า” มู่ชิงอีอุทานเสียงเบา
ฮั่วซูที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงอียิ้มกล่าวอย่างนอบน้อม “หากแม่นางมู่ชอบ พอถึงเวลานั้นค่อยมาก็ได้นี่”
มู่ชิงอียิ้มขมขื่นกล่าว “เกรงว่าพอถึงเวลานั้นคงไม่มีเวลาว่างอย่างวันนี้แล้วสิ เจ้ามัวแต่ยืนอยู่ทำไมเล่า มานั่งนี่เร็วเข้า” ฮั่วซูส่ายศีรษะ “ข้าต้องคอยคุ้มกันความปลอดภัยของแม่นาง”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ที่นี่มีเรื่องอันตรายใดกันเล่า” ทั่วทั้งร้านถูกคนของพวกเขาล้อมไว้หมดแล้ว หากคนทั่วไปอยากเข้ามาใกล้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เช้ามาไม่รู้ใครแพร่งพรายว่ามั่วเวิ่นฉิงปรากฏตัวอยู่นอกเมืองเผิง คนในยุทธภพเหล่านั้นเลยแห่ออกไปนอกเมืองกันหมด
ฮั่วซูชั่งใจครู่หนึ่งก่อนถามว่า “แม่นางคิดว่าเจ้าสำนักมั่วจะมาหรือไม่เจ้าคะ” เช้าวันนี้พอได้ยินข่าวคราวของมั่วเวิ่นฉิง เดิมทีพวกเขาควรออกนอกเมือง แต่ใครจะรู้ว่าแม่นางมู่กลับพามารอเขาที่นี่แทนเสียได้