หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 363 บุปผามั่วเยา (1)
เดิมทีซุนเจ๋อหลิงยังดูหมิ่นมู่ชิงอีอยู่บ้าง ในฐานะที่นางเป็นผู้หญิงก็ควรอยู่บ้านช่วยงานสามีดูแลลูกหลานถึงจะถูก หากมีความสามารถจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่หากเอาแต่ตอแยแง่งอนตามติดเว่ยอู๋จี้ไม่ห่างอย่างเชียนหลิงเช่นนี้ก็ออกจะน่ารำคาญไปสักหน่อย ก่อนหน้าที่มู่ชิงอีและหรงจิ่นยังมาไม่ถึง ซุนเจ๋อหลิงนั่งอยู่เพียงลำพัง เขาได้ยินแต่เสียงออดอ้อนของเชียนหลิงพูดกับเว่ยอู๋จี้จนเลี่ยนสะอิดสะเอียนไปหมดแล้ว ทำเอาบุรุษผู้หยาบกร้านที่ได้ยินแต่เสียงสงครามนองเลือดอย่างเขาขนลุกขนพองไปหมด
ครั้นเห็นหรงจิ่นพาสาวงามร่างบอบบางคนหนึ่งไม่แพ้เชียนหลิงมาด้วย ชั่วขณะนั้นเขาก็รู้สึกย่ำแย่ไปทั้งร่าง เขายอมเปลี่ยนที่นั่งไปทนการหยั่งเชิงต่างๆ ของจื้ออ๋องและจวงอ๋องเสียยังดีกว่า!
แต่หลังจากมู่ชิงอีเอ่ยคำพูดออกมา ซุนเจ๋อหลิงก็รู้ทันทีว่าตนเองคิดมากไป ถึงแม้จะพอมองออกว่าแม่นางผู้นี้ไร้ความสามารถเหมือนไก่อ่อนอย่างคนที่ชื่อเชียนหลิงนั่น แต่อากัปกิริยาบุคลิกกลับแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ถึงแม้น้ำเสียงที่แม่นางผู้นี้เปล่งออกมาจะนุ่มนวลแต่กลับแฝงความหนักแน่น ชวนให้คนที่ได้ยินจิตใจสงบลงแต่ไม่ใช่ชาวาบไปทั่วร่าง ครั้นได้ยินมู่ชิงอีชื่นชมคุณงามความดีของตน แถมดูไม่ได้จงใจเยินยอแต่กลับทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่า ฉับพลันความประทับใจที่เขามีต่อมู่ชิงอีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“แม่นางชมกันเกินไปแล้ว ล้วนเป็นหน้าที่ของข้าทั้งสิ้น ในเมื่อมีคู่ครองที่ดีเช่นนี้ คุณชายอวิ๋นอิ่นช่างมีบุญนัก” ถึงแม้พวกเขาสองคนจะหน้าตาหล่อเหลาทั้งคู่ แต่เห็นได้ชัดว่าสายตาของคุณชายอวิ๋นอิ่นกลับแหลมคมกว่าคุณชายเว่ยมาก ซุนเจ๋อหลิงลอบเอ่ยชื่นชมในใจ
มู่ชิงอีกระดากใจอยู่บ้าง คำพูดที่ว่าได้ยินชื่อเสียงมานานอะไรนั่นความจริงก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น นางก็เพิ่งได้ยินหรงจิ่นพูดถึงซุนเจ๋อหลิงก่อนจะขึ้นแท่นที่นั่งมาเมื่อครู่นี้เอง แต่ขอแค่พูดให้น้อยหน่อยความผิดพลาดก็จะน้อยตามลงไปด้วยเลยกลบเกลื่อนได้ง่าย
“ขอบคุณแม่ทัพซุนมาก การได้คู่ครองอย่างชิงชิงมา นับว่าเป็นบุญของข้ามากจริงๆ” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีพลางอมยิ้มกล่าว
ความตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับสร้างความรู้สึกดีๆ ให้ซุนเจ๋อหลิงไม่น้อย เขายิ้มกว้างเอ่ย “คุณชายอวิ๋นอิ่นช่างตรงไปตรงมานัก ข้าจะต้องไปร่วมดื่มสุรามงคลสักจอกในงานแต่งงานของพวกท่านแน่นอน”
“แน่นอน” หรงจิ่นยกจอกขึ้นชนกับซุนเจ๋อหลิงเบาๆ ก่อนยิ้มบางกล่าว
พอหรงจิ่นทำตัวเป็นปกติก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาไม่น้อย ครั้นได้เห็นฉากนี้ มู่ชิงอีก็อดลอบอุทานขึ้นในใจไม่ได้
ซุนเจ๋อหลิงเป็นแม่ทัพเลยไม่ได้เป็นคนอ้อมค้อมอย่างปัญญาชนทั่วไป เขารู้สึกว่าหรงจิ่นเป็นคนในยุทธภพที่ไม่ได้แฝงผลประโยชน์อะไรด้วย ประจวบกับถูกชะตากันเลยพูดคุยกับหรงจิ่นด้วยท่าทีสนใจ สุดท้ายกระทั่งย้ายเก้าอี้ของตนมานั่งโต๊ะเดียวกับหรงจิ่นและมู่ชิงอีด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรเขาก็นั่งคนเดียวแต่คนอื่นนั่งเป็นคู่ๆ นั้นช่างน่าเบื่อหน่ายอยู่แล้ว
มู่ชิงอีเองก็ไม่สนใจ ระหว่างที่หรงจิ่นและซุนเจ๋อหลิงสนทนากัน นางก็แค่นั่งเงียบกริบฟังอยู่ด้านข้างคอยรินสุราให้พวกเขาทั้งสองและพูดเสริมบ้างสักประโยคสองประโยค ทว่านี่กลับชวนให้ซุนเจ๋อหลิงตกตะลึงนัก หากหญิงสาวทั่วไปคุยเรื่องบทกวีคงมีพรสวรรค์ปรากฏให้เห็นบ้าง แต่หากคุยเรื่องศึกสงครามปกครองกองกำลังทหารกลับจะเผยสีหน้ามึนงงและต่อบทสนทนาไม่ได้ ทว่ามู่ชิงอีเป็นกรณียกเว้นอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งเรื่องที่นางพูดออกมาดูรู้ลึกรู้จริงโดยที่ไม่ต้องทำทีโอ้อวดตนเองหรือแสดงท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดเลย แต่หากไม่รู้เรื่องใดก็จะไม่ซักไซ้ต่อ ซึ่งสตรีแบบนี้หาเห็นได้น้อยนัก
ครั้นเชียนหลิงที่นั่งด้านข้างเห็นรอยยิ้มนุ่มนวลประดับบนใบหน้านางก็ยิ่งเผยสีหน้าเรียบตึง เพราะเว่ยอู๋จี้พูดคุยกับหรงจิ่นไม่ได้เลยทำได้แค่หันไปสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับหรงเซวียนและหรงหวง แต่เชียนหลิงกลับไม่สามารถร่วมวงสนทนากับเหล่าบุรุษได้อย่างมู่ชิงอี ไม่เพียงแต่เพราะเชียนหลิงไม่มีความรู้และความสามารถมากมายอย่างมู่ชิงอี ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะองค์ชายอย่างหรงหวงและหรงเซวียนยิ่งดูแคลนผู้หญิงมากกว่าแม่ทัพอย่างซุนเจ๋อหลิงเสียอีก แล้วจะมีโอกาสให้เชียนหลิงแทรกบทสนทนาได้อย่างไร
เพราะเหตุนี้ทั้งสี่โต๊ะเจ็ดคน พวกเขาหกคนจึงพูดคุยอย่างออกรสออกชาติ แต่มีเพียงเชียนหลิงที่นั่งแน่นิ่งเพียงลำพังโดยไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี เช่นนี้จะไม่ทำให้นางอึดอัดและน้อยใจได้ที่ไหน
“อู๋…อู๋จี้” เชียนหลิงร้องเรียกเสียงเบา
เว่ยอู๋จี้ก้มหน้ามองเชียนหลิงที่น้ำตาเอ่อล้นขอบตาราวกับใกล้ร้องไห้เต็มที เอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นอะไรไปหรือ”
เชียนหลิงขบริมฝีปากเอ่ย “เจ้า…ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าว “งานชมดอกไม้ใกล้เริ่มแล้ว หากออกไปตอนนี้เกรงว่าคงไม่ดีนัก เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ ข้าสั่งให้คนพาเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่เล่า”
“ไม่…ไม่ต้องหรอก” เสียงของเชียนหลิงปนเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย หรงเซวียนที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วมุ่น เขาย่อมรู้ภูมิหลังสถานะของเชียนหลิงอยู่แล้ว นางเป็นแค่บ่าวที่ติดตามดูแลรับใช้เว่ยอู๋จี้มาตั้งแต่เด็ก คิดไม่ถึงว่าจะเอาชนะเหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่ตระกูลดังที่อยากแต่งงานกับเว่ยอู๋จี้จนกลายเป็นว่าที่เว่ยฮูหยินได้ หากเชียนหลิงมีความสามารถวางตัวดีบ้างยังพอว่า แต่ท่าทีเหมือนจะร้องไห้รอมร่อเช่นนี้กลับดูเหมือนแผนการของหญิงขับร้องในโรงน้ำชาชัดๆ
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจหันไปมองมู่ชิงอีด้านข้างแล้วเอ่ย “แม่นางมู่ ข้าขอรบกวนเจ้า…ช่วยดูแลเชียนหลิงสักหน่อยได้หรือไม่”
ความจริงคำพูดของเว่ยอู๋จี้ไม่ได้แฝงนัยยะใดทั้งสิ้น ที่นี่มีแค่มู่ชิงอีและเชียนหลิงที่เป็นผู้หญิงสองคนเท่านั้นจึงน่าจะคุยถูกคอกันมากกว่า แต่เว่ยอู๋จี้กลับไม่สังเกตท่าทีเก้ๆ กังๆ ของเชียนหลิงเลย
แต่หรงจิ่นกลับสีหน้าหม่นลง “เว่ยอู๋จี้ เจ้าคิดจะให้ชิงชิงของข้าดูแลบ่าวรับใช้ของเจ้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หากเจ้าไม่มีเวลาดูแล ข้าก็จะช่วยแก้ปัญหาแทนให้ ในเมื่อหากสิ้นลมหายใจแล้วคงไม่ต้องการให้ใครช่วยดูแลอีก!”
ครั้นเห็นหรงจิ่นหมายจะกระโจนเข้าใส่อย่างเกรี้ยวโกรธ เชียนหลิงก็ตกใจกลัวรีบมุดเข้าไปในอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้ไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ หรงจิ่นกวาดตามองเชียนหลิงโดยไม่คิดลังเลใจสักนิดเอ่ย “ตายยากเสียจริง”
เชียนหลิงตกใจจนร่างสั่นสะท้าน “อู๋…อู๋จี้…”
เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้วยิ้มเจื่อนอย่างเหนื่อยหน่าย มองไปทางมู่ชิงอีแล้วกล่าว “แม่นางมู่ ข้าคิดไม่รอบคอบเองโปรดอภัยให้ด้วย” มู่ชิงอีเม้มปากยิ้มบางกล่าว “คุณชายเว่ยไม่ต้องเกรงใจไปหรอก เพียงแต่ข้ากับแม่นางเชียนหลิงความคิดเห็นไม่ตรงกันจริงๆ โปรดอภัยให้ด้วยเถิด”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจ ก้มหน้าลูบหลังเชียนหลิงเบาๆ เชิงปลอบโยน ซุนเจ๋อหลิงที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทีอ่อนโยนดั่งสายธารเช่นนั้นของเขาก็อดเบะปากไม่ได้ จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นเอ่ยยิ้มๆ “คุณชายอวิ๋นอิ่น ข้าขอดื่มให้ท่านอีกจอก”
หรงจิ่นหลุบตาก่อนจะนั่งลงอีกครั้งภายใต้ท่าทีเชิงตักเตือนของมู่ชิงอี จากนั้นเขาก็นั่งดื่มสุรากับซุนเจ๋อหลิงอย่างมีความสุขราวกับลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เสียสนิท แต่จากสายตาที่เหลือบมองใครบางคนอย่างไม่พอใจ มู่ชิงอีก็รู้แล้วว่าหรงจิ่นไม่มีทางใจกว้างปล่อยไปอย่างง่ายดายแน่นอน
ในที่สุดผู้ว่าเมืองเผิงที่อยู่ด้านล่างก็กล่าวเปิดงานชมดอกเบญจมาศอย่างเป็นทางการ งานชมดอกไม้เช่นนี้น่าเบื่ออย่างที่หรงจิ่นว่าไว้จริงๆ โดยเฉพาะยามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแขกรับเชิญ เพราะทำได้แค่รอคนอื่นๆ วิพากษ์วิจารณ์เลือกดอกไม้ออกมาก่อนถึงจะส่งมาให้ตนออกความคิดเห็น สู้เดินชมดอกไม้อย่างผ่อนคลายท่ามกลางฝูงชนตามอัธยาศัยเสียยังดีกว่า
ถึงแม้คนในยุทธภพจะกินพื้นที่ไปครึ่งงานแล้ว แต่ก็มีเหล่าบัณฑิตนักปราชญ์ไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหล่าศิษย์สำนักดังๆ ในยุทธภพที่เก่งรอบด้าน เวลานี้เริ่มมีคนขับร้องแต่งบทกวีชมดอกเบญจมาศด้านล่างเวทีกันแล้ว
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ชิงชิงชอบดอกเบญจมาศแบบไหนหรือ”