หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 335 ปกครองเมืองเทียนเชวีย (4)
“เจ้า…นี่เจ้า…” เหมยอิ้งเสวี่ยโกรธจนตัวสั่นเทา ชี้นิ้วไปทางมู่ชิงอีอยู่นานแต่กลับคิดหาคำพูดใช้ก่นด่านางไม่ออก จากนั้นก็ได้ยินมู่ชิงอีเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าอนุญาตให้ผู้หญิงระบายอารมณ์ต่อหน้าข้าได้บางครั้งบางคราว แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าใช้คำหยาบคาย หากข้าให้คนฉีกปากของเจ้า เจ้าคิดว่าหรงจิ่นจะโทษข้าหรือไม่เล่า”
“เจ้า…เจ้า…”
“แม่นางมู่…” ครั้นเห็นเหมยอิ้งเสวี่ยโกรธจนหน้าแดงก่ำ เทียนเฉวียนก็มุ่นคิ้วเอ่ย “อิ้งเสวี่ยยังอายุน้อยเลยหยาบคายไปบ้าง แม่นางมู่โปรดให้อภัยด้วย”
“อายุน้อยหรือ” มู่ชิงอียิ้มเย้ย จากนั้นก็หันมามองเหมยอิ้งเสวี่ยครู่หนึ่งแล้วเลิกคิ้วเอ่ย “ดูท่าทางแม่นางเหมยจะอายุมากกว่าข้าเสียอีกกระมัง” เหมยอิ้งเสวี่ยอายุน้อยกว่าหรงจิ่นเพียงปีเดียว ปีนี้อายุก็ปาไปสิบแปดแล้วยังถือว่าอายุน้อยที่ไหนกัน
เทียนเฉวียนแววตาเฉียบคมขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงขรึม “แม่นางมู่โปรดอภัยให้ด้วย”
มู่ชิงอีโบกมือแล้วกล่าว “ช่างเถิด ข้าก็ไม่ได้ว่างมาหาเรื่องคุยเล่นกับพวกเจ้า”
ครั้นเห็นมู่ชิงอีไม่ถือสาเรื่องนี้ เทียนเฉวียนก็ลอบถอนหายใจ อิ้งเสวี่ยคลั่งท่านรักเจ้าเมือง ในเมื่อเป็นคนในเหตุการณ์ย่อมดูเรื่องราวไม่ออก แต่เขาดูจากด้านนอกเลยมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากกล่าวว่าอารมณ์นิสัยของเจ้าเมืองทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความเมตตายังไม่เท่าไร แต่กับแม่นางมู่ผู้นี้แล้วเจ้าเมืองให้ความสำคัญมากจริงๆ หากปล่อยให้อิ้งเสวี่ยล่วงเกินมู่ชิงอี เกรงว่าท่านเจ้าเมืองไม่มีทางปรานีเพราะเห็นแก่ความเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแน่นอน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ที่นี่เป็นห้องหนังสือสำคัญของเมืองเทียนเชวีย” เหมยอิ้งเสวี่ยเชิดหน้าเอ่ยถามอย่างเย่อหยิ่ง
มู่ชิงอีอมยิ้ม “นับจากวันนี้ไปข้าจะมาจัดการเรื่องในห้องหนังสือเอง คุณชายเทียนเฉวียนรู้หรือไม่”
เทียนเฉวียนพยักหน้า “เจ้าเมืองเคยบอกก่อนแล้ว ต่อจากนี้ไปแม่นางมู่จะเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างภายในเทียนเชวียน”
“อะไรนะ เหตุใดถึง…” เหมยอิ้งเสวี่ยสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่
“เอ๊ะ ข้ามาช้าไปหรือ” เทียนเสวียนที่อยู่นอกประตูรีบเดินเข้ามาด้านใน พอเห็นพวกเขาสามคนในห้องหนังสือก็เอ่ยถามขึ้นอย่างฉงน
เทียนเฉวียนเอ่ย “มาได้เวลาพอดี แม่นางมู่เองก็เพิ่งมา””
เทียนเสวียนมองเทียนเฉวียนด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ กับมู่ชิงอีว่า “คารวะนายหญิง” จากนั้นก็ถูกเหมยอิ้งเสวี่ยที่รู้สึกตกตะลึงข้างๆ จ้องตาเขม็ง
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “ข้ากับหรงจิ่นยังไม่ได้แต่งงานกัน คุณชายเทียนเสวียนเรียกข้าว่าแม่นางมู่เถิด”
เทียนเสวียนยิ้มอย่างร่าเริงกล่าว “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้วมิใช่หรือ นาย…ไม่สิ แม่นางมู่เรียกข้าว่าเทียนเสวียนก็พอแล้ว ข้าเตรียมสมุดบัญชีของตัวเองเรียบร้อยแล้ว พร้อมรอให้แม่นางมู่ตรวจดูทุกเมื่อ”
“อะไรกัน พวกเจ้ารู้กันหมดเลยหรือ…ว่าพี่ชายให้นางเป็นผู้ดูแล เหตุใดถึงไม่มีใครบอกข้าเลย” เหมยอิ้งเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่พอใจ
เทียนเสวียนมองเหมยอิ้งเสวี่ยด้วยความเห็นใจแวบหนึ่ง พอเห็นเทียนเฉวียนด้านข้างเงียบกริบก็สื่อว่าเขาจะไม่คิดจะเป็นฝ่ายเปิดปากบอกเลยทำได้แค่กล่าว “เรื่องนี้…เป็นความต้องการของท่านเจ้าเมือง เมืองเทียนเฉิงไม่ต้องการเหยากวงแล้ว” ความจริงใช่ว่าจะไม่ต้องการเหยากวงแล้ว เพียงแต่ไม่ต้องการเหมยอิ้งเสวี่ยต่างหาก
และเป็นไปตามคาด เพราะเขายังไม่ทันพูดจบดี กระทั่งเหมยอิ้งเสวี่ยยังไม่ทันได้สติ มู่ชิงอีที่อยู่ด้านข้างก็ชิงเปิดปากเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการตำแหน่งเหยากวงแล้ว เพียงแต่…ตำแหน่งเหยากวงต้องเปลี่ยนคน”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้!” เหมยอิ้งเสวี่ยที่เดิมทีคิดจะระบายอารมณ์ใส่เทียนเสวียน ทว่ากลับระเบิดอารมณ์ใส่มู่ชิงอีเพียงคนเดียว
มู่ชิงอีมองนางแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ตำแหน่งทั้งเจ็ดของกลุ่มดาวหมีใหญ่ ไม่ทราบว่า…แม่นางเหมยรับผิดชอบหน้าที่ใดหรือ”
ใบหน้าเรียวยาวรูปไข่งดงามของเหมยอิ้งเสวี่ยพลันแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เหตุที่นางเข้ามาอยู่ในตำแหน่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดได้ก็เพราะทุกคนเห็นแก่ที่นางเป็นน้องสาวของหรงจิ่น บวกกับตอนที่เมืองเทียนเชวียอยากพัฒนาเมืองสู่โลกภายนอกในช่วงแรกๆ ตระกูลเหมยก็ให้ความช่วยเหลือไม่น้อย แต่ด้วยศักยภาพส่วนตัวของเหมยเสวี่ยอิ้งกลับห่างชั้นกับอีกหกคนที่เหลือ ดังนั้นคนที่เก่งกาจโดดเด่นที่สุดอย่างเทียนซูที่โดนหรงจิ่นมอบหมายภารกิจให้ ถึงแม้จะกำจัดเหมยอิ้งเสวี่ยออกได้ยาก ทว่ากลับแอบสื่อกับทุกคนเป็นนัยๆ ว่าบีบเหมยอิ้งเสวี่ยออกจากตำแหน่งเหยากวงแล้ว
แต่เหตุผลที่เหมยอิ้งเสวี่ยรั้นจะเข้ากลุ่มให้ได้ก็เพราะหรงจิ่น นางจึงไม่สนใจอยู่แล้วว่าตนจะมีงานในมือที่ต้องรับผิดชอบหรือไม่ หากยิ่งไม่มีเรื่องยิบย่อยที่นางเห็นแล้วรู้สึกปวดหัวเหล่านั้นก็ยิ่งดี แต่พอถูกมู่ชิงอีถามซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เลยรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย
“เจ้า…เจ้า…” ภายใต้แววตาช่วยไม่ได้ของเทียนเสวียนและเทียนเฉวียน เหมยอิ้งเสวี่ยจึงยิ่งรู้สึกอับอายมากกว่าเดิม กัดฟันเอ่ย “ข้าสามารถดูแลพี่ชายได้!”
“หรงจิ่นแขนหักหรือขาพิการที่ใด ถึงต้องการให้คนในตำแหน่งเหยากวงดูแลเขาด้วยตัวเอง” มู่ชิงอีตอบโต้กลับอย่างไม่ปรานี “หากเจ้าอยากเป็นแค่บ่าวรับใช้ก็อย่าทำให้กลุ่มดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดต้องขายหน้า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหรงจิ่นคือคนของข้า เจ้าถอยให้ห่างเขาด้วย”
“เจ้าพูดเหลวไหล พี่ชายไม่ใช่คนของเจ้าสักหน่อย! ผู้หญิงอย่างเจ้าช่าง…ช่างน่าไม่อาย!” เหมยอิ้งเสวี่ยโมโหสุดขีด แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนปากคอเราะร้ายขนาดนั้น หากคนที่ปะทะฝีปากกับมู่ชิงอีในตอนนี้คือหย่งจยาจวิ้นจู่แห่งเป่ยฮั่น เกรงว่าคงโดนโต้กลับแล้วว่า ‘พี่ชายเป็นคนของเจ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีชื่อเจ้าสลักอยู่บนหน้าเขาเลยเล่า’
“ข้าจะไปฟ้องท่านย่า!” เหมยอิ้งเสวี่ยกระทืบเท้าด้วยความโมโหก่อนหมุนตัวเดินจากไป
เทียนเสวียนมองสาวน้อยรูปงามในชุดสีขาวราวหิมะตรงหน้าด้วยความชื่นชม จากนั้นก็อดยกนิ้วโป้งขึ้นแล้วเอ่ยปากชมไม่ได้ว่า “แม่นางมู่วาทศิลป์ช่างดีนัก วางตัวก็ดี แถมดูน่ายำเกรงมากอีกด้วย”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เทียนเสวียนชมกันเกินไปแล้ว”
เทียนเสวียนลอบชื่นชมในใจว่าท่านเจ้าเมืองช่างสายตาหลักแหลมนัก หญิงสาวเช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็นบุคคลที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ความงามเหนือสตรีคนอื่นคงไม่ต้องเอ่ยถึง บุคลิกอ่อนช้อยควบคุมอารมณ์ได้ดีแบบนี้กลับชวนให้บุรุษยำเกรงและเคารพมากกว่า ทั้งเย่อหยิ่ง ใจกว้างและดุดัน แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนหวาน สำรวมและนุ่มนวล หากเทียบกันแล้วเหมยอิ้งเสวี่ยเทียบกับแม่นางมู่ไม่ติดเลย
ถึงแม้ท่าทีของเทียนเสวียนและเทียนเฉวียนที่มีต่อมู่ชิงอีจะต่างกัน แต่เพราะคำสั่งของหรงจิ่น พวกเขาจึงให้ความเคารพนางเต็มร้อยอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นตอนที่มู่ชิงอีเริ่มพลิกเปิดม้วนกระดาษและสมุดบัญชีของเมืองเทียนเชวียถึงค้นพบว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างชัดเจน หากเปรียบเทียบกับกองสมุดบัญชีมากมายของกิจการร้านค้าตระกูลกู้และผู้ดูแลของจวนอวี้อ๋องคราวที่มู่ชิงอีเพิ่งมาถึงแคว้นเย่ว์แล้ว สมุดบัญชีของเทียนเชวียเป็นระเบียบกว่ายิ่งนัก
จู่ๆ เจ้าเมืองให้สาวน้อยที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกมาดูแลจัดการเรื่องในเมืองเทียนเชวีย ถึงแม้จะเป็นว่าที่ภรรยาของเจ้าเมืองแต่ก็อาจจะไม่ได้ทำให้คนยอมรับเลยเสียทีเดียว ดังนั้นเทียนเสวียนและเทียนเฉวียนให้ความร่วมมือเช่นนี้ อีกแง่หนึ่งก็ถือว่าเป็นการลองเชิงว่าที่ภรรยาท่านเจ้าเมือง ซึ่งมู่ชิงอีนั้นทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาเห็นเพียงกองม้วนกระดาษและสมุดบัญชีบนโต๊ะผ่านมือของมู่ชิงอีอย่างรวดเร็วซึ่งเรียกได้ว่ากวาดตามองแวบเดียวก็อ่านไปแล้วสิบบรรทัด เดิมทีพวกเขาสองคนนึกว่านางไม่เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเข้าใจ ทว่าเวลาที่พวกเขาถามอะไรนางไป ขอแค่เป็นเรื่องที่มีอยู่ในม้วนกระดาษกับสมุดบัญชีนั้น มู่ชิงอีล้วนตอบได้อย่างฉะฉาน กระทั่งเสนอความคิดเห็นที่ต่างออกไป พอเป็นเช่นนี้พวกเขาทั้งสองถึงเข้าใจในทันทีว่านางที่กล้าตามเจ้าเมืองมาเพื่อรับงานมากมายมหาศาลเช่นนี้ได้โดยไม่คิดลังเลใจสักนิด แล้วจะไม่มีความสามารถเลยได้อย่างไร
เพราะเหตุนี้ท่าทีของเทียนเสวียนที่มีต่อมู่ชิงอีจึงยิ่งให้ความเคารพและเป็นกันเองมากขึ้น ทว่าท่าทีของเทียนเฉวียนกลับยังคงซับซ้อนอยู่บ้าง