หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 332 ปกครองเมืองเทียนเชวีย (1)
มีเสียง สวบ ดังแหวกผ่านอากาศมาด้วยความเร็ว หญิงสาวชุดดำตกใจจนหน้าซีด แม้แต่กระโดดหลบยังไม่ทัน บุรุษชุดดำที่อยู่ข้างกายรีบดึงนางไว้ถึงหลบได้อย่างหวุดหวิด เพียงแต่ทิ้งรอยแผลเลือดซึมน่าสยดสยองไว้บนลำคอของนาง
หรงจิ่นกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา “เข้าใจหรือยัง”
“กระหม่อมเข้าใจแล้ว ขอคารวะนายหญิง!” พอคนอื่นๆ ได้สติก็รีบคุกเข่าทำความเคารพอย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันบุรุษชุดดำที่ขนาบข้างหญิงสาวที่เหมือนว่ายังไม่ได้สติทั้งซ้ายขวาก็ดึงนางลงนั่งคุกเข่าเช่นกัน
ครั้นเห็นว่าไม่มีใครจะพูดอะไรแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาขึงขังในเดิมทีของหรงจิ่นก็กลับมาฉีกยิ้มมีความสุขอีกครั้ง เขามองมู่ชิงอีแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิงชิง พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ดูแลของเมืองเทียนเชวีย วันหลังพวกเขาจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
ครั้นเห็นเขาพูดเช่นนั้น ทุกคนก็พากันชะงักไป หลังจากรู้สึกตัวอีกทีก็ได้รับสายตาเย็นยะเยือกส่งมา เวลานี้ถึงได้รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าทำความเคารพ “ข้าเทียนซูแห่งเมืองเทียนเชวียคารวะนายหญิง”
ทุกคนในเมืองเทียนเชวียต่างถือว่าบุรุษที่มีนามว่าเทียนซูเป็นหัวหน้า จึงทยอยเดินก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “ข้าเทียนเสวียน/เทียนเฉวียน/เหยากวง คารวะนายหญิง”
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างประหลาดใจ “ในเมื่อมีเทียนซู เทียนเสวียน เทียนเฉวียน เหยากวงแล้ว เช่นนั้นก็คงต้องมีอวี้เหิง ไคหยาง เทียนจีด้วยกระมัง” เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่เรียกหรงจิ่นว่าพี่ชายจะมีนามว่าเหยากวงซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเจ็ดดวงของกลุ่มดาวหมีใหญ่ด้วย คิดๆ ดูแล้วก็มีความสามารถเหมือนกัน เหยากวงผู้นำแสงสว่าง ข้าวสารอาหารและสรรพสิ่ง
เทียนซูยิ้มเอ่ย “นายหญิงพูดถูกแล้ว เพียงแต่เวลานี้อวี้เหิง ไคหยางและเทียนจีไม่ได้อยู่ในเมือง”
หรงจิ่นเอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วหันไปหามู่ชิงอีเอ่ย “ชิงชิง เทียนซูรับผิดชอบการป้องกันเมืองเทียนเชวียเป็นหลัก เทียนเฉวียนรับผิดชอบเรื่องงานภายในเมืองเทียนเชวีย เทียนเสวียนมีหน้าที่จัดการเรื่องภายนอกเมือง ส่วนเหยากวง…” หรงจิ่นขมวดคิ้วเอ่ย “หากมีธุระใดก็จะสั่งให้เหยากวงเป็นคนจัดการ”
มู่ชิงอีเข้าใจแล้ว หรงจิ่นกำลังบอกนางว่าภายในเมืองเทียนเชวีย เทียนซูมีวิทยายุทธที่เก่งกาจที่สุด เทียนเฉวียนน่าจะเป็นแนวที่ปรึกษา ส่วนเหยากวง…น่าจะไม่ได้มีอะไร แค่ครอบครองตำแหน่งนี้ไว้เฉยๆ ส่วนเหตุผลที่เก็บเหยากวงคนไร้ประโยชน์ไว้ในตำแหน่งนี้ทำไมนั้น เหตุผลน่าจะไม่ต่างจากที่ว่าเหตุใดหรงจิ่นต้องการภรรยาเจ้าเมืองสักคนนั่นแหละ
มู่ชิงอีพยักหน้าเบาๆ คลี่ยิ้มบางเอ่ย “ข้าเพิ่งมาครั้งแรก วันหน้าขอคำชี้แนะจากทุกคนด้วย”
เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเทียนซูดูร่าเริงและอ่อนโยนกว่ามาก เขายิ้มเอ่ย “พวกเราชื่นชมวิธีการของนายหญิงตอนอยู่แคว้นหวาเหลือเกิน วันหน้าหากมีเรื่องใดนายหญิงโปรดสั่งมาได้เลยขอรับ”
บุรุษอีกคนที่ปิดปากเงียบมาตลอด ทว่ากลับเห็นได้ชัดว่าอ่อนโยนสง่างามกว่ามาก เขาเองก็พยักหน้าตามพร้อมยิ้มเอ่ย “เทียนเสวียนพูดถูก เชิญนายหญิงสั่งมาได้เต็มที่เลย ข้ามีนามว่าเทียนเฉวียน” หากไม่ได้สวมชุดจิ้นจวง[1]สีดำทั้งร่าง มู่ชิงอีคงแอบนึกว่าเขาเป็นบัณฑิตที่สง่างามอ่อนโยนคนหนึ่งเสียอีก แต่มู่ชิงอีกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในสถานที่นี้ นอกจากเหยากวง เทียนเฉวียนผู้นี้ดูตั้งตนเป็นศัตรูกับนางมากที่สุดแล้ว
มู่ชิงอียกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอไม่เกรงใจแล้ว พอถึงตอนนั้นคงต้องลำบากเทียนเฉวียนด้วย”
ใบหน้างามสง่าของเทียนเฉวียนเรียบตึงขึ้นมาทันที จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
ครั้นหรงจิ่นเห็นว่าทุกคนรู้จักกันแล้วเลยลุกขึ้นลากมู่ชิงอีขึ้นมาตั้งท่าจะเดินออกไปด้วยท่าทีหงุดหงิด “ชิงชิง ข้าพาเจ้าไปดูที่พักของพวกเราดีกว่า”
“พี่ชาย ท่านจะอยู่กับนางหรือ” เหยากวงทั้งตกใจทั้งโมโห พูดเสียงสูง “ต่อให้นางจะเป็นว่าที่ภรรยาของเจ้าเมือง แต่พวกท่านยังไม่ได้แต่งงานกันแล้วจะอยู่ด้วยกันได้เช่นไร”
“หุบปาก!” หรงจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้ายังพอจำสถานะของตัวเองได้ก็ช่วยเรียกข้าว่าเจ้าเมืองด้วย! ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไปเสีย” ครั้นเห็นว่าเจ้าเมืองไม่ไว้หน้าน้องสาวเช่นนี้ เหล่าคนที่เดิมทีอยากพูดอะไรบางอย่างก็รีบหดคอแล้วกลืนสิ่งที่อยากพูดลงไป พวกเขาก็แค่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเมืองเทียนเชวียเท่านั้น ในเมื่อเจ้าเมืองเชื่อมั่นในตัวว่าที่ภรรยาคนนี้นัก เช่นนั้นคิดว่าก็คงไม่มีปัญหาใดแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดขัดใจเจ้าเมืองมิใช่หรือ
พอเหยากวงถูกหรงจิ่นขึ้นเสียงตำหนิใส่ก็ตกใจจนแน่นิ่ง ดวงตางดงามมีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาทันที นางอยู่ในเมืองเทียนเชวียมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หลังจากหรงจิ่นขึ้นเป็นเจ้าเมืองนางก็อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ราวกับเจ้าหญิง คนที่อยู่ในเมืองใครเห็นนางต่างก็ต้องหลบทางให้ แต่พอบัดนี้ถูกหรงจิ่นตำหนิกลางจวนท่านเจ้าเมืองอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ นางเลยรู้สึกแย่และน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มู่ชิงอียกมือขึ้นลูบแขนของหรงจิ่นเบาๆ เอ่ยว่า “เหยากวงพูดถูก ท่านจะขึ้นเสียงทำไมเล่า”
“ชิงชิง…” หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
ตัวเองเอาอกเอาใจสารพัดแต่กลับไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากพี่ชายเลย ทว่าเขากลับเชื่อใจสตรีอีกคน สำหรับเหยากวงแล้วการกระทำที่น่าสะเทือนใจเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวพลางจับจ้องมู่ชิงอีตาเขม็ง เอ่ยพร้อมน้ำตาว่า “ใครต้องการความหวังดีจอมปลอมกัน!” พูดจบนางก็มองหรงจิ่นด้วยท่าทีโกรธเคืองก่อนจะวิ่งออกไปทั้งน้ำตา
พอเห็นเงาแผ่นหลังที่วิ่งจากไปพร้อมน้ำตาของนาง พวกเทียนซูก็ลอบผ่อนลมหายใจ โชคดีที่นางวิ่งออกไปแล้ว หากอยู่ที่นี่ต่อ ไม่แน่อาจโดนท่านเจ้าเมืองโบยก็ได้ พอถึงเวลานั้นพวกเขาเองก็คงยากจะรั้งท่านเจ้าเมืองได้เช่นกัน
หรงจิ่นมองทุกคนด้านล่างด้วยสีหน้าเย็นเฉียบ แค่นเสียงเย็นชา “เทียนซู เทียนเฉวียน ครั้งก่อนตอนที่ข้าออกจากเมืองไปเคยบอกพวกเจ้าว่าให้จัดแจงเรื่องงานในเมือง ตอนนี้เจ้าบอกข้าทีว่าเหตุใดเหยากวงถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ทั้งๆ ที่ไม่มีหน้าที่อะไร”
เทียนซูลอบยิ้มขมขื่นในใจอย่างจนปัญญา จัดแจงเรื่องงานอะไรกัน ทั้งๆ ที่อยากจัดการเหยากวงคนเดียวชัดๆ ในบรรดาดวงดาวทั้งเจ็ดพวกเขาหกคนล้วนมีหน้าที่เป็นของตนเอง เว้นแต่เหยากวงที่อยู่ในตำแหน่งดาวเจ็ดดวงของเมืองเทียนเชวียแต่ความจริงกลับทำอะไรไม่ได้เลย ทว่าเพราะสถานะพิเศษของตระกูลเหมยในเมืองเทียนเชวีย อีกทั้งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเมืองอีกต่างหาก ดังนั้นถึงเก็บนางไว้ตำแหน่งนี้มาโดยตลอด สองปีมานี้เหยากวงเริ่มไม่รู้จักขอบเขตและไม่เห็นหัวท่านเจ้าเมืองรวมถึงพวกเขาทั้งหกคนมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถปล่อยนางมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
“กระหม่อมทำงานพลาด โปรดเจ้าเมืองลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เทียนซูไม่คิดหาข้ออ้างใดแล้วเอ่ยขอบทลงโทษไปเลยอย่างซึ่งๆ หน้า
หรงจิ่นเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้เหตุผลเสียทีเดียวจึงรู้ความลำบากใจของเทียนซูเป็นธรรมดา โบกมือเอ่ย “เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะไปคุยกับท่านตาและท่านน้าเอง เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว”
เทียนซูลอบถอนหายใจ รีบเอ่ย “ขอบพระทัยท่านเจ้าเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“จิ่นเอ๋อร์มีเรื่องใดอยากคุยกับข้าหรือ” เทียนซูยังไม่ทันลุกขึ้นก็มีเสียงกลั้วหัวเราะของบุรุษวัยกลางคนดังมาจากนอกประตู จากนั้นก็ปรากฏบุรุษวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรสีน้ำตาลลวดลายประณีตเดินเข้ามา
มองดูแล้วผู้มาเยือนคนนี้อายุราวสี่สิบต้นๆ ร่างผอม ดูภูมิฐาน พอสวมชุดผ้าแพรสีน้ำตาลก็ยิ่งขับให้เหมือนบัณฑิตจากตระกูลผู้มีความรู้สูงส่งขึ้นไปอีก
หรงจิ่นให้ความเคารพเขาอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นเขาเข้ามา สีหน้าบูดบึ้งก่อนหน้านี้ก็อ่อนลงไม่น้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นเอ่ย “ท่านน้า”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วสวย เป็นคนของตระกูลเหมยจริงๆ ด้วย ตระกูลเหมยทำมาค้าขายมาหลายรุ่น แต่คิดไม่ถึงว่าน้าของหรงจิ่นจะบุคลิกดูมีความรู้อ่อนโยนอบอุ่นถึงเพียงนี้ กระทั่งแทบมองไม่เห็นเงาของพ่อค้าในร่างของเขาเลย แต่พอนึกถึงเหมยกุ้ยเฟยมารดาแท้ๆ ของหรงจิ่นแล้ว นางกลับเข้าใจอย่างถ่องแท้ในทันที
[1]ชุดจิ้นจวง เป็นชุดจีนโบราณที่มักพบในเรื่องกำลังภายใน ซึ่งเน้นความคล่องตัว