หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 330 ในเขามีเมืองที่ชื่อว่าเทียนเชวีย (2)
ขณะที่พูดหลิงเทียนหาวก็ยื่นมือหมายจะดึงแขนบางของสาวงามเพื่อฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวด้วย
ดวงตาของหรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างถมึงทึง จากนั้นก็ยกมือขึ้นใช้พัดในมือเคาะไปที่แขนของหลิงเทียนหาวดัง พลั่ก หลิงเทียนหาวรู้สึกเจ็บปวดโดยฉับเพลัน จากนั้นสาวงามก็ถูกหนุ่มเจ้าสำอางชุดดำผู้นั้นดึงไปไว้ข้างกายแล้ว
“อ๊าก!!!” เขาไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่สาวงามถูกดึงตัวไปอีก หลิงเทียนหาวยกแขนขวาขึ้นพร้อมใบหน้าบิดเบี้ยว จากนั้นก็ถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว “เจ้าทำอะไรข้า” แค่กระบวนท่าเบาๆ ครู่เดียวก็ทำเอากระดูกแขนของเขาปวดระบมราวกับหักไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ทั้งแขนขวาขยับไม่ได้เลยสักนิด
ทุกคนที่หวังดูเรื่องสนุกๆ อยู่ด้านหลังรีบแห่เข้ามามุงแล้วล้อมพวกเขาสองคนไว้ทันที “เจ้าหนุ่มสำอาง เจ้าทำอะไรนายน้อยของข้า”
หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีเข้ามาด้วยมือเดียว จากนั้นก็เลิกคิ้วยิ้มตาหยีพลางโบกพัดในมือด้วยท่าทีสบายๆ “สำนักคุ้มกันหลิงเวยหรือ ท่านพ่อของเจ้าไม่เคยบอกเจ้าหรืออย่างไรว่าเวลาออกมาทำภารกิจ…อย่าหาเรื่องใส่ตัว”
หลิงเทียนหาวสีหน้าย่ำแย่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาทำภารกิจด้วยตัวเอง เพราะระหว่างทางราบรื่นและเห็นว่าใกล้ถึงแล้ว เขาเลยอดคึกคะนองได้ใจไม่ได้ อีกทั้งยังได้เจอะเจอสาวงามล่มเมืองคนหนึ่งอีกต่างหากเลยอดเข้ามาทักทายไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะดันมาเจอคนที่ไม่สมควรหาเรื่องด้วย
เมื่อครู่พัดของหรงจิ่นเคาะบนแขนเขาเบาๆ เพียงครู่เดียวเท่านั้น หากเป็นคนทั่วไปต่อให้ใช้แรงมากแค่ไหนก็ไม่มีทางทำให้เขาบาดเจ็บได้ ยกเว้นคนที่มีกำลังภายในแกร่งกล้าลอบใช้กำลังภายในทำให้แขนของเขาบาดเจ็บเท่านั้น
ถึงแม้หลิงเทียนหาวจะเป็นคนที่ยโสโอหังแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้หนักรู้เบา ครั้นรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ควรหาเรื่องด้วยเลยทำได้แค่มองสาวน้อยชุดขาวข้างกายอย่างนึกเสียดายแวบหนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันเอ่ย “ข้าก็แค่อยากผูกมิตรด้วยเท่านั้น หากล่วงเกินพวกเจ้าทั้งสองไปก็ขออภัยด้วย”
มู่ชิงอียังคงมองไปทางหรงจิ่นพลางกะพริบตาปริบๆ ผู้นำหลักทุกอย่างในเวลานี้ก็คือหรงจิ่น มู่ชิงอีเองก็พอใจจะแสร้งทำเป็นสาวน้อยว่าง่ายเงียบๆ เช่นกัน
คิ้วทรงดาบของหรงจิ่นเลิกขึ้นเล็กน้อย “คุณชายหลิงมาครั้งนี้ทำภารกิจใดหรือ”
หลิงเทียนหาวผงะไป ฉับพลันแววตาที่ใช้จับจ้องหรงจิ่นก็เต็มไปด้วยความระแวงและเตรียมรับมือ ทว่าพอเห็นสาวน้อยชุดขาวข้างกายที่ไม่เป็นวิทยายุทธเลยอย่างเห็นได้ชัดก็พลันคิดว่าคงไม่มีใครพาสาวงามที่ไม่เป็นวิทยายุทธเลยมาปล้นสะดมกระมัง จากนั้นก็ค่อยๆ คลายความระแวงลง เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สินค้ามูลค่าไม่เท่าไร”
“สินค้ามูลค่าไม่เท่าไรหรือ” หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “หากแม้แต่สมบัติล้ำค่าที่ตระกูลเว่ยซื้อมาจากซีหลิงยังเป็นเพียงสินค้ามูลค่าไม่เท่าไร เช่นนั้นใต้หล้านี้จะมีสิ่งใดที่มีมูลค่าบ้างเล่า”
หลิงเทียนหาวพลันท่าทางกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที กัดฟันเอ่ย “คุณชายผู้นี้ช่างข่าวสารไวดีจริงๆ!”
ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นว่าเริ่มไม่ชอบมาพากลจึงทยอยชักอาวุธมาไว้ในมือ
เดิมทีภายในโรงเตี๊ยมไม่มีใครอยู่แล้ว ยิ่งพอตอนนี้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นเลยทำเอากระทั่งเถ้าแก่และพนักงานหนีหลบออกห่างไปไกลอย่างระแวดระวัง
หรงจิ่นเหลือบมองทุกคนด้วยสายตาแน่นิ่งแวบหนึ่งกล่าว “ทิ้งของไว้แล้วข้าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า”
หลิงเทียนหาวตวาดขึ้นมา “ในเมื่อคุณชายรู้แล้วว่านี่เป็นสินค้าของคุณชายเว่ย เหตุใดยังกล้า…”
“เว่ยอู๋จี้แล้วทำไมหรือ ข้าจะแย่งของเว่ยอู๋จี้นี่แหละ” หรงจิ่นยิ้มเอ่ยพลางยักคิ้ว ถึงแม้จะปกปิดใบหน้าอยู่บ้าง แต่ใบหน้าอันหล่อเหลากลับเผยความผยองและท้าทายอย่างเด่นชัด
“เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!” เวลานี้หลิงเทียนหาวไม่สนใจสาวงามอีกต่อไป ทันทีที่เขาโบกมือ ผู้คุ้มกันทุกคนก็ทยอยกวัดแกว่งอาวุธในมือพุ่งเข้าใส่
สำนักคุ้มกันหลิงเวยถือว่าเป็นสำนักคุ้มกันที่ไม่เลวในแคว้นเย่ว์เหมือนกัน มิเช่นนั้นสินค้าของเว่ยอู๋จี้คงไม่ตกมาถึงมือของพวกเขา แต่ด้วยฝีมือของผู้คุ้มกันเหล่านี้หากต่อกรกับคนในยุทธภพทั่วไปคงไม่มีปัญหาใด ทว่าหากต่อกรกับยอดฝีมืออย่างหรงจิ่นต้องแพ้ยับเยินอย่างไม่ต้องสงสัย
หรงจิ่นใช้มือโอบเอวบางของมู่ชิงอีข้างหนึ่ง จากนั้นก็ถีบตัวกระโดดหนีหายออกมาจากโรงเตี๊ยม หลังจากเท้าแตะพื้นอย่างปลอดภัยแล้ว เขาก็ฉีกยิ้มเอ่ยกับมู่ชิงอีที่เผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายว่า “ชิงชิงคอยดูข้าสั่งสอนพวกนั้นอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่เขาเงียบๆ ท่านอยากสั่งสอนพวกเขาอย่างนั้นน่ะหรือ คิดจะปล้นทรัพย์สินของเขามากกว่ากระมัง
ลำพังหรงจิ่นใช้แค่มือเดียวก็เพียงพอทำให้พวกเขาสะเทือนแล้ว แต่หากสินค้าหายไปในขณะที่อยู่ในมือพวกเขา เกรงว่าสำนักคุ้มกันคงชดใช้ค่าเสียหายให้ไม่ไหว ดังนั้นต่อให้รู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ทุกคนก็ต้องพุ่งเข้าไปปะทะกับหรงจิ่นอยู่ดี
หรงจิ่นคร้านกระทั่งหยิบมีดซิวหลัวออกมาด้วยซ้ำ เขาขยับพัดในมือด้วยท่วงท่าสง่างาม เพราะเดิมทีพัดกระดาษแผ่นบางในมือของเขาก็แหลมคมดั่งใบมีดอยู่แล้ว จากนั้นก็เห็นเขาแวบหายตัวไปมาราวกับเงาลวงตาสีดำขนาดใหญ่ท่ามกลางกลุ่มคน แค่ระยะเวลาสั้นๆ ผู้คุ้มกันทุกคนรวมถึงหลิงเทียนหาวก็ล้มนอนบนพื้นราบเป็นหน้ากลอง
เดิมทีแขนขวาของหลิงเทียนหาวบาดเจ็บ เวลานี้เลยยิ่งนอนแน่นิ่งขยับไม่ได้พลางจับจ้องหรงจิ่นที่ยังคงวางท่าทีผ่อนคลายตาเขม็ง เอ่ยเสียงเกลียดชังว่า “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”
หรงจิ่นยิ้มบางกล่าว “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร เจ้าแค่กลับไปบอกเว่ยอู๋จี้ เขาก็รู้แล้ว”
หลิงเทียนหาวขบคิดในใจ ฉับพลันสีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง “เจ้าคือคุณชายอวิ๋นอิ่น!” สวมชุดดำทั้งร่าง วิทยายุทธเหนือชั้น แถมยังเป็นปฏิปักษ์กับคุณชายเว่ยด้วย ทั่วทั้งแคว้นเย่ว์นอกจากคุณชายอวิ๋นอิ่นก็ไม่มีใครแล้ว
หรงจิ่นเองก็ไม่สนใจที่เจ้าหมอนี่มองตัวตนของเขาออก เอ่ยเสียงสบายๆ “ข้าเอาของไปแล้วกัน บอกเว่ยอู๋จี้ว่าหากอยากได้นักก็มาหาข้าเอง”
“สำนักคุ้มกันหลิงเวยไม่มีทางลืมเหตุการณ์วันนี้!” หลิงเทียนหาวกัดฟันเอ่ย
หรงจิ่นหันไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชากล่าว “ทางที่ดีเจ้ารีบภาวนาให้พวกเจ้าลืมเรื่องวันนี้โดยเร็วจะดีกว่า” พอพูดจบ เขาก็ไม่สนใจคนที่นอนกองอยู่บนพื้นอีก หรงจิ่นเดินเข้าไปตรงหน้ามู่ชิงอีพร้อมรอยยิ้ม “ชิงชิง พวกเราไปกันเถิด”
มู่ชิงอีลังเลใจครู่หนึ่งก่อนชี้สินค้าบนรถม้าหลายคันเอ่ยถาม “แล้วของพวกนี้จะทำเช่นไร”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “เดี๋ยวมีคนมาเก็บของพวกนี้กลับเอง ที่นี่มีคนที่ข้าเกลียดมากเกินไป พวกเราเปลี่ยนที่พักผ่อนกันดีกว่า”
เพราะหรงจิ่นเปลี่ยนสถานที่เลยทำเอาพวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินทางครึ่งวันเต็มๆ จนในที่สุดก็มาถึงปลายทาง ที่นี่เป็นเมืองปราการลับแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ส่วนลึกในเขาซึ่งระยะทางห่างจากเมืองหลวงแคว้นหวาโดยการเดินทางเพียงแค่สองวันเท่านั้น
นางถูกหรงจิ่นพาตัวเดินทางผ่านหุบเขาและธรรมชาติที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย พอจู่ๆ เห็นเมืองปราการแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเลยอดตกตะลึงไม่ได้ นางไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อยเพราะที่นี่คือเมืองปราการแห่งหนึ่งจริงๆ ถึงแม้จะเทียบกับเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ไม่ได้ แต่กลับไม่ด้อยไปกว่าเมืองปราการอื่นๆ เลยสักนิด สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมืองปราการแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยอันตราย ยังไม่ต้องพูดถึงความทุ่มเทเหน็ดเหนื่อย แต่เมืองปราการเช่นนี้ต้องใช้เวลากว่ายุคสมัยถึงจะสร้างขึ้นมาได้
“ที่นี่คือ” มู่ชิงอีมองหรงจิ่นด้วยท่าทีตกใจ
หรงจิ่นอมยิ้มกล่าว “นี่ก็คือความลับที่ข้าบอกชิงชิงไง นอกจากอู๋ฉิงกับอู๋ซินแล้ว ชิงชิงเป็นคนแรกที่รู้จักที่นี่”
“ที่นี่คือที่ใดหรือเพคะ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
“ที่นี่คือเมืองเทียนเชวีย” หรงจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมืองเทียนเชวียอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีพูดไม่ออก นางติดนิสัยอ่านตำราประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แม้แต่ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้รับการยอมรับและถูกพวกคนมีความรู้ดูแคลนก็เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ดังนั้นนางย่อมรู้ถึงการมีอยู่ของเมืองเทียนเชวีย