หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 329 ในเขามีเมืองที่ชื่อว่าเทียนเชวีย (1)
น้ำเสียงโรยราอ่อนแรงดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงัดขาดๆ หายๆ ทว่าภาพวาดของหญิงงามบนผนังกลับอมยิ้มแกมเผยท่าทีกังวลใจจางๆ ทอดมองไปไกลแสนไกลเช่นนั้นตราบชั่วนิรันดร์
ข่าวที่องค์ชายเก้าจะเข้าไปฟังงานราชการในราชสำนักแพร่สะพัดไปทั่วทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีนั้นเหล่าองค์ชายท่านอ๋องในเมืองหลวงต่างเผยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ด้วยความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่ออวี้อ๋อง หากอวี้อ๋องเข้ามาในราชสำนัก แล้วราชสำนักแห่งนี้จะยังมีที่ยืนให้พวกเขาอยู่อีกหรือ
ทว่าตัวการเรื่องนี้กลับไม่ได้ใจร้อนอยากเข้าราชสำนักแทบแย่อย่างที่ใครๆ คิด ในทางกลับกันวันนั้นช่วงบ่ายเขาออกจากจวน พาหัวหน้าผู้ดูแลที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวงไปอย่างไม่ใส่ใจ
เพราะแคว้นเย่ว์ไม่ได้มีกฎว่าห้ามองค์ชายออกนอกเมืองหลวงโดยพลการ ดังนั้นพอหรงจิ่นออกเมืองไปจึงไม่ได้มีใครเข้ามาขวางเขาไว้ รอกระทั่งทุกคนได้สติแล้วรีบนำเรื่องไปกราบทูลฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ว่าอวี้อ๋องหายตัวไปนานแล้ว ชั่วขณะนั้นก็ทำเอาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงกริ้วจนก่นด่าองค์ชายแรงๆ ไปยกหนึ่ง กระทั่งองค์ชายไม่กี่คนที่โดนพระองค์ก่นด่าต่างลอบสบถด่าในใจพร้อมหน้านิ่วคิ้วขมวด
ย่อมโทษคนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่งมาไม่ได้ที่ตามหาหรงจิ่นและมู่ชิงอีไม่เจอ เพราะทันทีที่ออกจากเมืองหลวงมาหรงจิ่นก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลายเป็นคุณชายอวิ๋นอิ่นบุคคลลึกลับชื่อดังในแคว้นเย่ว์ ส่วนมู่ชิงอีก็ถอดชุดบุรุษออกแล้วสวมชุดคลุมสตรีผ้าเนื้อบางใบหน้างดงามสง่ายากจะหาใครเทียบได้ พอคู่หนุ่มสาวใบหน้างดงามดั่งสวรรค์จับคู่ให้เช่นนี้เดินอยู่ด้วยกัน ต่อให้คนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่งมาจะเดินผ่านพวกเขาไปก็คงไม่มีทางสงสัยว่านี่คือองค์ชายเก้าที่พวกเขากำลังตามหากันอยู่
ภายในโรงน้ำชาธรรมดาข้างทาง มู่ชิงอีจิบชาพลางขมวดคิ้วกล่าว “หนีออกมาเช่นนี้จะดีหรือเพคะ”
หรงจิ่นเอ่ยยิ้มเสียงเรียบ “มีอะไรไม่ดีกัน ชิงชิงไม่คิดว่าการหนีออกมาแบบนี้เหมาะกับนิสัยของข้ามากกว่าหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร หนีออกจากบ้านภายใต้อารมณ์เกรี้ยวโกรธเสด็จพ่อช่างสอดคล้องกับนิสัยดื้อรั้นขององค์ชายเก้าจริงๆ
“ยิ่งไปกว่านั้นชิงชิงอยากรู้ว่าข้าแอบทำเรื่องลับใดอยู่มิใช่หรือ หากไม่ออกมาจะรู้ได้อย่างไรกัน” ในเมื่อเขาแอบทำเรื่องลับอะไร ย่อมทำในเมืองหลวงใกล้สายตาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้นี่นา
มู่ชิงอีพยักหน้า “ข้าจะตั้งตารอแล้วกันเพคะ” นางเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วหรงจิ่นเอาเงินจำนวนมหาศาลสิบล้านตำลึงนั้นไปทำอะไรกันแน่
หรงจิ่นเท้าคางบนโต๊ะด้วยท่าทีผ่อนคลาย จากนั้นก็มองมู่ชิงอีพลางยิ้มตาหยี “อีกอย่างก็ถือโอกาสทำเรื่องอื่นไปด้วยเลย”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “หญ้าเซียนเก้าเมฆา”
มือที่ถือถ้วยชาของมู่ชิงอีชะงักไปครู่หนึ่ง หรงจิ่นเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ดูท่าทางชิงชิงเองคงได้ยินเจ้านี่มาเหมือนกันกระมัง ก็ใช่…ชิงชิงมาแคว้นเย่ว์พร้อมมั่วเวิ่นฉิงมิใช่หรือ หากเคยได้ยินมาบ้างคงไม่น่าแปลกอะไร”
มู่ชิงอีเอ่ยถามโดยไม่สนใจคำพูดประชดประชันของเขาเลยสักนิด “หญ้าเซียนเก้าเมฆามีสรรพคุณดั่งในตำนานที่ว่าไว้จริงหรือเพคะ”
หรงจิ่นถอนหายใจอย่างจนใจเอ่ย “ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้อย่างนั้นหรือเพคะ” มู่ชิงอีเผยท่าทีตกใจ หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีจนใจอีกครั้ง “ครั้งก่อนตอนที่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาปรากฏก็เมื่อร้อยปีก่อนแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่ใครจะรู้เล่า”
มู่ชิงอีขบคิดแล้วเอ่ย “เจ้าสำนักมั่วบอกว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาไม่ได้อยู่ในเย่าหวังกู่”
หรงจิ่นยกยิ้มเอ่ยเสียงเย็นชา “หากเขาพกติดตัว ในเย่าหวังกู่ย่อมไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากวางของล้ำค่าอย่างหญ้าเซียนเก้าเมฆาไว้ในเย่าหวังกู่ เขาจะวางใจได้น่ะหรือ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “ท่านมั่นใจหรือไม่ว่ามั่วเวิ่นฉิงมีเจ้านี่อยู่?”
หรงจิ่นอมยิ้มกล่าว “ชิงชิง หากไม่มีข่าวที่แน่ชัด ข้าจะตั้งใจมาเช่นนี้หรือ คนที่ต้องการครอบครองสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่ข้าเพียงคนเดียว เจ้ารอดูเถิด ไม่นานแคว้นเย่ว์ก็จะเกิดเรื่องอลหม่านขึ้นแล้ว”
ครั้นมู่ชิงอีนึกถึงกลุ่มคนชุดดำที่คิดสังหารมั่วเวิ่นฉิงในตำบลเล็กๆ นั้นก็อดพยักหน้าเห็นด้วยว่าหรงจิ่นพูดถูก ก่อนจะขมวดคิ้วงามเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “กลุ่มคนที่คิดสังหารมั่วเวิ่นฉิงที่หม่อมฉันเจอเมื่อคราวก่อนเป็นใครกันเพคะ”
หรงจิ่นขบคิดแล้วเอ่ย “คงหนีไม่พ้นคนที่สัญจรไปมาแถวนั้น คนของหันเสวี่ยโหลว คนขององค์ชายไม่กี่คนในเมืองหลวง หรือ…คนของเสด็จพ่อ ส่วนคนของแคว้นหวากับเป่ยฮั่นคงไม่ได้รับข่าวคราวเร็วขนาดนั้น” ในเมื่อเย่าหวังกู่อยู่ในแคว้นเย่ว์ ดังนั้นข่าวคราวที่เชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์ได้รับย่อมเร็วกว่าแคว้นหวาและเป่ยฮั่น
“ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์?”
“มีอะไรน่าแปลกใจกัน ยิ่งเป็นคนที่มีอำนาจสถานะสูงส่งต่างหากถึงยิ่งกลัวตาย” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
มู่ชิงอีเงียบไปพักใหญ่ ถอนหายใจเอ่ย “ท่านพูดถูก” ทุกคนออกแรงเพื่อแย่งของสิ่งเดียว หากนางคิดจะเก็บหญ้าเซียนเก้าเมฆาเข้ากระเป๋า เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน
หรงจิ่นมองนางพลางอมยิ้มเอ่ย “หากชิงชิงอยากได้ล่ะก็ ข้าแย่งเอามาให้เจ้าได้นะ”
“ท่านเองก็ต้องการเหมือนกันมิใช่หรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย หากหญ้าเซียนเก้าเมฆาสามารถชุบชีวิตเถ้ากระดูกคนตายให้กลับมามีชีวิตได้ดั่งที่ตำนานว่าไว้จริงๆ เช่นนั้นอาการป่วยของหรงจิ่นย่อมหายไปด้วย นางหลงคิดว่าที่หรงจิ่นกระตือรือร้นวางอุบายขนาดนี้ก็เพื่อเรื่องนี้
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าแค่ไม่อยากให้คนอื่นได้ไปก็เท่านั้น หากชิงชิงอยากได้ล่ะก็ย่อมไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องอาการป่วยของข้า…ไม่ถึงขั้นตายหรอก”
“ท่าน…”
“เจ้าหนุ่ม รีบเอาสุราชั้นดีมาให้สักสองสามไหเร็วเข้า” ทันใดนั้นเสียงแข็งกร้าวของบุรุษคนหนึ่งก็ดังเข้ามาในจุดพักดื่มชา มู่ชิงอีหันไปมองก็เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา อีกทั้งด้านนอกยังมีเสียงม้าและรถม้าบรรทุกของมากมายหยุดจอดพร้อมกัน
“ไอ๊หยา คิดไม่ถึงว่าจะมีสาวงามในสถานที่แบบนี้ด้วย” คนที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษหนุ่มสวมชุดผ้าแพรสีฟ้า พอเห็นมู่ชิงอีก็อดเผยสีหน้าตกตะลึงไม่ได้ จากนั้นนัยน์ตาก็แฝงไปด้วยความหิวกระหาย
พอทุกคนได้ยินคำพูดของบุรุษผู้นั้นก็รีบมองตามทันที จากนั้นก็เห็นหญิงสาวรูปงามในชุดสีขาวนั่งอยู่ด้านในโรงน้ำชา คิ้วโค้งมนดั่งใบหลิว ริมฝีปากแดงเรียวเล็ก ดวงตาสุกใส ช่างเป็นสาวงามที่หาเห็นได้ยากนัก จากนั้นพอเลื่อนสายตาไปจับจ้องบุรุษชุดดำร่างผอมบางราวกับพร้อมปลิวไปตามแรงลมได้ทุกเมื่อซึ่งนั่งอยู่ข้างกายสาวน้อยชุดขาวผู้นั้น พวกเขาก็อดหัวเราะหึๆ ขึ้นมาไม่ได้
“แม่นาง ข้าหลิงเทียนหาวนายน้อยของสำนักคุ้มกันหลิงเวย ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอันใดหรือ” บุรุษหนุ่มผู้นั้นสาวเท้าเดินขึ้นมาหลายก้าวก่อนหยุดอยู่ตรงหน้ามู่ชิงอีแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีมองคนกลุ่มนี้ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็หันมามองหรงจิ่นที่นั่งอยู่อีกฝั่ง สิบกว่าปีก่อนมาแคว้นเย่ว์นางออกจากเมืองหลวงแคว้นหวาน้อยครั้งนัก นางจึงไม่เคยเห็นคนของสำนักคุ้มกันมาก่อน พอเวลานี้เห็นพวกเขาย่อมเกิดความใคร่รู้อยู่แล้ว
“แม่นางออกมาด้านนอกเช่นนี้ พวกเรามาผูกมิตรกันเป็นอย่างไรเล่า” ครั้นหลิงเทียนหาวเห็นว่าสาวงามเบื้องหน้าไม่สนใจตน เขาก็มองบุรุษชุดดำที่อยู่อีกฝั่งพร้อมลอบสบถอย่างไม่ชอบใจและแผ่ไอคุกคามมากกว่าเดิม
มู่ชิงอีกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าไม่รู้จักเจ้าเสียหน่อย”
หลิงเทียนหาวยิ้มเอ่ย “แค่แม่นางบอกนามข้ามา เราก็กลายเป็นคนรู้จักกันแล้วมิใช่หรือ แม่นางจะไปที่ใดเล่า ไม่เช่นนั้นให้ข้าไปส่งแม่นาง เวลานี้สถานการณ์น่ากลัว แม่นางรูปโฉมงดงามปานนี้ หากระหว่างทางเจอเรื่องไม่ดีเข้าแล้วไม่มีใครคอยปกป้องแม่นาง แบบนั้นคงไม่ได้เด็ดขาดกระมัง” ขณะที่พูดก็ไม่ลืมเหลือบมองหรงจิ่นทีหนึ่ง แต่แววตานั้นราวกับสื่อว่า หนุ่มเจ้าสำอางนี่ปกป้องตัวเองยังไม่รอด แล้วเขาจะปกป้องสาวงามได้อย่างไร