หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 316 ความลับในห้องศิลา (4)
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ขอบใจเจ้ามาก ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นใบหน้าแดงระเรื่อ ทำเพียงมองเขาหมุนตัวเดินจากไป
พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องของหรงจิ่นก็เห็นองครักษ์สองสามคนยืนรอรับใช้ตรงหน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว อู๋ฉิงเองก็ยืนกอดดาบพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลนัก ทว่าเห็นสีหน้าก็รู้เลยว่ากังวลใจเพียงใด
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้โปรดหยุดก่อน” มู่ชิงอียังไม่ทันเดินเข้าประตูไปก็ถูกคนขวางทางไว้แล้ว
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางจับจ้องสาวน้อยใบหน้าสะอาดสะอ้านในชุดสีเขียวตรงหน้า “นี่มันเรื่องอันใดกัน” มู่ชิงอีไม่ค่อยชอบมาเรือนของหรงจิ่นนัก และโดยปกติแล้ว ยามที่นางเพิ่งจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จหรงจิ่นก็จะโผล่มาที่เรือนชิงหนิงเองทุกวัน แต่มู่ชิงอียังพอจำได้ว่าสาวน้อยผู้นี้เป็นผู้ดูแลข้างกายของหรงจิ่นมีนามว่าชิงเอ๋อร์ เล่ากันว่าเติบโตมาพร้อมกับหรงจิ่น เพราะเหตุนี้เลยยังพอมีหน้ามีตาในจวนนี้อยู่บ้าง อย่างน้อยภายในระยะเวลาครึ่งเดือนบ่าวรับใช้ข้างกายของหรงจิ่นถูกเปลี่ยนตัวเกือบหมด ทว่านางกลับสามารถยืนหยัดอยู่มาได้หลายปี
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าบ่าวรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างนางจะมาท้าทายอำนาจของหัวหน้าผู้ดูแลได้
ชิงเอ๋อร์จับจ้องหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าพร้อมฉายแววอิจฉาพาดผ่านดวงตาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เชิดคางขึ้นด้วยท่าทีผยองกล่าว “ตอนนี้ท่านอ๋องไม่สะดวกพบใคร หัวหน้าผู้ดูแลกู้โปรดกลับไปก่อนเถิด รอท่านอ๋องอยากพบท่านเมื่อไรคงเรียกเข้าเฝ้าเอง”
นับตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้ากัน ชิงเอ๋อร์ก็เริ่มไม่ชอบกู้หลิวอวิ๋นแล้ว แต่นางไม่มีทางยอมรับว่าเป็นเพราะกู้หลิวอวิ๋นหน้าตางดงามมากเกินไปเด็ดขาด ถึงแม้เขาจะเป็นบุรุษ แต่ใบหน้าและท่วงท่ากลับดูดีกว่าหญิงสาวมากมายบนโลกใบนี้ไม่น้อย ทั่วทั้งเมืองหลวงมีเพียงท่านอ๋องที่พอจะทัดเทียมความหล่อเหลาได้ ทุกครั้งที่เห็นกู้หลิวอวิ๋นและท่านอ๋องอยู่ด้วยกัน นางก็มักจะเกิดความหวาดกลัวบางอย่างลึกๆ ราวกับพวกเขาสองคนต่างหากที่เป็นพวกเดียวกัน แต่คนอื่นๆ ข้างกายกลับเป็นดั่งเพียงตัวประกอบที่ไม่เตะตาใครเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่นับรวมอู๋ซินกับอู๋ฉิง นางถือว่าเป็นคนที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องมานานที่สุดแล้ว แต่ความโปรดปรานที่ท่านอ๋องมีต่อกู้หลิวอวิ๋นนั้นกลับล้นปรี่จนทำให้ความอิจฉาของนางราวกับเป็นเรื่องน่าขัน เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานท่านอ๋องก็ส่งตัวอู๋ซินคอยคุ้มกันความปลอดภัยให้เขาแล้ว กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้…ต้องเป็นตัวอันตรายแน่นอน!
มู่ชิงอีมองชิงเอ๋อร์ที่กำลังมองนางด้วยท่าทีลำพองใจตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ภายในใจกลับส่ายศีรษะอย่างหมดคำพูด นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าแววตาของบ่าวรับใช้ตรงหน้าผู้นี้ปรากฏความอิจฉาและท้าทายเช่นนี้กับ ‘บุรุษ’ อย่างเขาทำไมกัน
“อู๋ฉิง ท่านอ๋องเป็นอะไรไปหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
อู๋ฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “เรียนคุณชายกู้ ท่านอ๋องอาการป่วยกำเริบขอรับ”
“อู๋ฉิง!” ชิงเอ๋อร์ใช้เท้าเตะใส่อย่างโมโห “เจ้าเอาเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋องบอกคนอื่นได้เช่นไร”
อู๋ฉิงมองชิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าราบเรียบกล่าว “คุณชายกู้ไม่ใช่คนอื่น ท่านอ๋องบอกว่าหากในจวนมีเรื่องใดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ให้คุณชายกู้เป็นคนตัดสินใจทั้งสิ้น”
“ข้าเข้าไปเยี่ยมได้หรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ยถาม
อู๋ฉิงลังเลใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ครั้งนี้อาการของท่านอ๋อง…รุนแรงไม่น้อย” แต่พอขบคิดดูแล้วก็พยักหน้าเอ่ย “คุณชายต้องระวังหน่อยก็แล้วกัน”
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปทางประตู
“หยุดนะ!” ชิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างโมโห จากนั้นก็วิ่งมาขวางทางมู่ชิงอีไว้อีกครั้งแล้วเอ่ย “หากไม่มีคำอนุญาตของท่านอ๋องก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด”
“สามหาว” มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นพลางจับจ้องสาวน้อยที่เผยสีหน้าเดือดดาลตรงหน้าอย่างหงุดหงิด เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าจะทำอะไรต้องให้บ่าวรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเจ้ามาคัดค้านด้วยหรือ”
“เจ้า…เจ้า…ข้าเป็นสาวรับใช้ติดตามข้างกายของท่านอ๋อง!” ชิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
มู่ชิงอีเอ่ย “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นจงจำไว้ด้วยว่าหน้าที่ของสาวใช้อย่างเจ้าก็คืออย่าจุ้นจ้านเรื่องอื่นให้มากนัก เปิดประตู!”
องครักษ์ที่เฝ้าประตูมองไปทางอู๋ฉิง อู๋ฉิงพยักหน้าสื่อให้พวกเขาเปิดประตู จากนั้นองครักษ์ถึงเปิดประตูด้วยท่าทีนอบน้อม “คุณชายกู้ ระวังด้วย”
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วย่างกรายเดินเข้าห้องไป ทว่าเสียงสาปแช่งโกรธแค้นของชิงเอ๋อร์ดังแว่วมาจากด้านหลัง “ทางที่ดีเจ้าควรถูกท่านอ๋องฆ่าทิ้งเสีย!”
มู่ชิงอีปิดประตูพลางขมวดคิ้วมุ่น ห้องของหรงจิ่นใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้มาก ภายในนั้นถูกแบ่งเป็นสามห้อง ด้านในสุดถึงจะเป็นห้องนอนของหรงจิ่น
ภายในห้องมีเสียงแปลกๆ ดังแว่วมา เพราะมีคำเตือนของอู๋ฉิงมู่ชิงอีเลยไม่ได้รีบร้อนพุ่งพรวดเข้าไป ทว่ากลับเดินเข้าไปด้านในช้าๆ อย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็เปิดปากเอ่ยถาม “หรงจิ่น ท่านตื่นอยู่หรือไม่”
ความเคลื่อนไหวภายในห้องพลันชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคนด้านในตื่นอยู่แต่กลับไม่มีเสียงขานรับ
“องค์ชาย นี่หม่อมฉันเอง ท่านได้ยินหรือไม่เพคะ” มู่ชิงอีเปิดปากพูดอีกครั้ง ในเมื่ออู๋ฉิงถึงขั้นเปิดปากเตือนให้ระวังตัว เช่นนั้นก็หมายความว่าครั้งนี้หรงจิ่นต้องอารมณ์ดุร้ายแน่นอน นางเลยไม่อยากโชคร้ายกลายเป็นเป้าหมายโดนเขาทำร้าย
ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน ขณะที่มู่ชิงอีนึกว่าเขาคงหมดสติไปแล้วก็ค่อยๆ ได้ยินเสียงของหรงจิ่นดังแว่วมาจากด้านใน “ชิงชิง เข้ามา…”
เสียงที่ไร้เรี่ยวแรงทำเอามู่ชิงอีใจหายวาบ รีบสาวเท้าเดินเข้าไปทันที แต่ฉากในห้องทำเอามู่ชิงอีตกตะลึงเพราะหรงจิ่นไม่ได้อยู่ในห้องนอนของตัวเอง มู่ชิงอีมุ่นคิ้วสำรวจมองห้องนอนที่ว่างเปล่าอยู่นาน พอกวาดตามองรอบห้องทุกซอกทุกมุม ในที่สุดก็เห็นจุดที่มีการขยับเขยื้อนจนกระทั่งเหมือนหากลไกแปลกๆ อย่างหนึ่งเจอเข้าแล้ว
มู่ชิงอีจับจ้องเจ้าสิ่งนั้นอยู่นาน ก่อนจะล้วงหยิบป้ายหยกที่หรงจิ่นมอบให้ตนตอนอยู่แคว้นหวาซึ่งว่ากันว่าใช้โยกย้ายอิทธิพลของตระกูลเหมยได้วางลงบนจุดที่เว้านูนของกลไกนั้น ขนาดเล็กใหญ่ประสานพอดีตามที่คิดไว้ แค่กดลงไปเบาๆ ป้ายหยกก็หมุนขยับปล่อยเสียงดังหนักหน่วงออกมา จากนั้นตู้ที่เดิมทีพิงอยู่ตรงกำแพงก็ขยับไปอีกฝั่งเผยให้เห็นประตูศิลาหนาทึบบานหนึ่ง
มู่ชิงอีผลักเปิดประตูออกอย่างระมัดระวัง ทว่าฉากด้านในกลับทำเอานางตื่นตกใจ ขนาดห้องนั้นไม่ใหญ่นักแต่ผนังทั้งสี่ด้านกลับทำจากหินอ่อนที่แข็งแรงที่สุด ด้านในนอกจากมีเตียงหลังหนึ่งก็ไม่มีอะไรสักอย่าง หรงจิ่นนั่งพิงติดกำแพงพร้อมโซ่ตรวนเหล็กที่มัดสองแขนสองขาของเขาตรึงไว้ด้านบน ดังนั้นเลยทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แค่นั้น
“หรงจิ่น!”
“ชิง…ชิง…” สีหน้าของหรงจิ่นดูทุกข์ทรมานถึงขีดสุด แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ดูเหมือนโซ่ตรวนเหล็กที่ขนาดไม่ใหญ่นั้นทำมาจากอะไร ในเมื่อสามารถตรึงร่างคนที่เป็นวิทยายุทธอย่างเขาจนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้มู่ชิงอีตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือไม่รู้ว่าเหตุใดดวงตาดำขลับลึกล้ำในยามปกติของหรงจิ่นถึงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด พออยู่บนใบหน้าสีขาวซีดและผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงแล้วยิ่งขับให้เขาดูเหมือนปีศาจร้ายที่ไม่เลือกเขมือบกินใครทั้งสิ้นอย่างไรอย่างนั้น
“หรงจิ่น” ต่อให้พอจะเดาได้ว่าหรงจิ่นอาการกำเริบทีอาจจะผิดปกติไปบ้าง แต่มู่ชิงอีคิดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางอดรู้สึกปวดใจไม่ได้แล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปหาหรงจิ่นโดยไม่ทันคิดอะไรทั้งนั้น
“อย่านะ…อย่าเข้ามา…ชิงชิง” หรงจิ่นขยับร่างเข้าติดกำแพงยิ่งกว่าเดิม เสื้อผ้าทั่วร่างถูกเหงื่อไหลอาบจนเปียกแฉะ แม้แต่เส้นผมดำสนิทยุ่งเหยิงก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบติดบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามอดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอย่างสุดขีด
“อย่าเข้ามา ชิงชิง” หรงจิ่นส่ายศีรษะพลางเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก โซ่ตรวนเหล็กที่มัดแขนทั้งสองข้างของเขาถูกกระชากจนเกิดเสียงดังครืด เตียงศิลาที่อยู่ด้านล่างเต็มไปด้วยรอยเลือดและรอยขีดข่วน พอมองสองแขนที่เต็มไปด้วยรอยเลือดของหรงจิ่นก็เข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าร่องรอยพวกนี้มาจากไหนในทันใด