หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 290 ครั้งแรก ณ เมืองหลวงแคว้นเย่ว์ (1)
แต่อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันแล้วว่าจูซื่อมีความเกี่ยวข้องกับเย่าหวังกู่ เหตุที่มั่วเวิ่นฉิงออกแรงช่วยมู่หรงอวี้ เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและเย่าหวังกู่จะกลายเป็นศัตรูกันมากกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องการรักษาของพี่ชายในวันหน้าคงต้องไตร่ตรองให้รอบคอบเสียแล้ว
แต่เวลานี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือหาตัวพี่ใหญ่กับพี่ชายให้เจอ
“คุณชายใหญ่กับองค์ชายมู่หรงซีฉลาดเหนือใคร ในเมื่อรู้สาเหตุแล้วย่อมคิดหาวิธีรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน คุณหนูอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลยขอรับ” อู๋ซินเอ่ยเกลี้ยกล่อม
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนใจแล้วเอ่ย “หากพี่ใหญ่และพี่ชายไม่ติดต่อพวกเรา การที่เราเองจะตามหาพวกเขาก็เป็นเรื่องยาก เช่นนั้นก็ยึดตามแผนการเดิมแล้วกัน ระหว่างทางก็ทิ้งเครื่องหมายไว้หน่อย พวกเราออกเดินทางไปแคว้นเย่ว์กันเถิด”
“ขอรับ” อู๋ซินขานรับเสียงขรึม ลังเลใจอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยถาม “เหตุใดคุณหนูถึงไม่เดินทางไปพร้อมกับองค์ชายเก้าเล่า” อู๋ฉิงเคยหลุดปากเปรยออกมากลายๆ ว่าองค์ชายไม่ค่อยชอบใจที่คุณหนูตัดสินใจเดินทางไปแคว้นเย่ว์เองเพียงลำพัง
มู่ชิงอีส่ายศีรษะกล่าว “ไม่ล่ะ เดินทางไปกับเขาไม่ค่อยสะดวก ตอนนี้ข้ายังไม่อยากปรากฏตัวต่อหน้าหรงเหยี่ยนและมู่หรงอวี้ พวกเราไปกันเองเถิด”
“ขอรับ” อู๋ซินขานรับ
มู่ชิงอีหันไปมองกำแพงเมืองที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ชั่วชีวิตนี้…สองชาติภพ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเตรียมเดินทางออกจากแคว้นนี้ไปไกลแสนไกล บางทีคงอีกหลายปีหรือกระทั่งชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้กลับมาแล้ว นางเกิดและเติบโตที่นี่ ความทุกข์ความสุข ความเจ็บปวดความยินดีทั้งหมดล้วนตราตรึงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นับตั้งแต่วันนี้ไป…ที่นี่จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับนางอีก ที่แห่งนี้ไม่มีญาติและมิตรสหายของนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีบ้านที่เป็นของนางแล้วด้วย
“คุณหนู?”
“ไม่เป็นไร ไปกันเถิด” มู่ชิงอีถอนหายใจแล้วมองกำแพงเมืองด้านหลังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินจากไป
“ไอ๊หยา ขอโทษด้วยนะแม่นาง…” ขณะที่หมุนตัว มู่ชิงอีกลับชนเข้ากับแผ่นอกของบุรุษที่พุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน อู๋ซินที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบลากตัวมู่ชิงอีออกมาอย่างว่องไว
“แม่นาง ขอโทษด้วยจริงๆ ข้า…แม่นางผู้นี้ พวกเรา…เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่” บุรุษหนุ่มแต่งกายด้วยชุดบัณฑิตสีเขียวมองมู่ชิงอีพลางเอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจ
มู่ชิงอีส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่เคยเจอคุณชายมาก่อน”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นกวาดตามองนางอยู่นานถึงส่ายหน้ากล่าว “ข้ามองผิดไปเอง ขอโทษด้วยๆ แม่นางหน้าตาละม้ายคล้ายสหายคนหนึ่งของข้า เพียงแต่น่าเสียดาย เพราะนาง…ข้าขอตัวล่ะ” บุรุษหนุ่มผู้นั้นถอนหายใจแล้วประสานมืออำลามู่ชิงอีก่อนหมุนตัวเดินมุ่งหน้าเข้าเมืองไป
อู๋ซินจับจ้องแผ่นหลังที่ลับตาไปของบุรุษผู้นั้นแล้วเอ่ย “เหมือนเขาจะมีวิทยายุทธติดตัวด้วย คุณหนูรู้จักเขาด้วยหรือ”
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ผู้รอบรู้ในยุทธภพ คุณชายเหวินหวาไท่สื่อเหิง เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ”
“เคยขอรับ องค์ชายเก้าบอกว่าหากมีโอกาสอยากฆ่าเขาเสีย” อู๋ซินพลันนึกขึ้นได้ในทันที
ได้ฟังดังนั้นมู่ชิงอีก็หมดคำพูด จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มบางออกมาไม่ได้ “ไปกันเถิด”
นางมุ่งเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองอีก ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นนางยังไม่ลืมแต่แค่ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ให้เมืองหลวงแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำของนาง เส้นทางในวันข้างหน้านางต้องเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้าเองมิใช่หรือ
“แล้วชาวบ้านในตำบลนั้นเล่า” มู่ชิงอีหันกลับไปมองตำบลเล็กๆ ที่ถูกควันสีชมพูปกคลุมพลางขมวดคิ้วงามมุ่น ฤทธิ์ของพิษที่แม้แต่มั่วเวิ่นฉิงเองยังนึกหวาดกลัวจะรุนแรงขนาดไหน แค่มองตำบลเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางควันนั้นในเวลานี้นางก็รู้แล้ว
อู๋ซินเองก็สีหน้าเปลี่ยน หากพิษนี้ร้ายแรงดั่งที่มั่วเวิ่นฉิงกล่าวจริงๆ ฉะนั้นคนของตำบลแห่งนี้ก็ต้องตายกันหมดมิใช่หรือ เจ้าสำนักเย่าหวังกู่นั้นฝีมือเลื่องลือสมชื่อจริงๆ
มั่วเวิ่นฉิงมองมู่ชิงอีด้วยสายตาเรียบนิ่งแวบหนึ่งเอ่ย “ในระยะสิบจั้ง คนปกติทั่วไปไม่มีใครรอดไปได้ ส่วนคนที่โดนไอควันในบริเวณหนึ่งลี้จะแค่สลบไปสองวัน หลังจากฟื้นขึ้นมาก็จะปวดหัวไปสักสองสามวันเท่านั้น”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ มั่วเวิ่นฉิงลงมือได้อำมหิตเสียจริง แต่นางเองก็ไม่ใช่คนจิตใจดีมีเมตตาอะไร อาวุธลับแหวนหยกที่หรงจิ่นให้นางมายังไม่ทันได้ใช้ก็ดันเขวี้ยงแตกไปเสียก่อน อย่างน้อยลำพังแค่นั้นก็ทำเอาคนโดนพิษตายไปเจ็ดแปดคนแล้ว หากพวกเขาไม่ตาย คนที่ตายก็ต้องเป็นนางนี่นา บนโลกนี้…ทุกคนล้วนยอมเห็นคนอื่นตายแต่จะไม่ยอมให้ตัวเองตายเหมือนกันมิใช่หรือ
“เจ้าสำนักเย่าหวังกู่ไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าขอนับถือ” มู่ชิงอียิ้มบางพลางประสานมือแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
มั่วเวิ่นฉิงมองสาวน้อยตรงหน้าประสานมือแสดงความเคารพอย่างจริงใจโดยไร้ซึ่งความขัดเขินและตื่นตกใจต่างจากหญิงสาวทั่วไปทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดมา ทว่าท่าทีกลับยังคงใจเย็นสงบดังเดิม ภายใต้แสงจันทร์อ่อนๆ ขับให้รอยยิ้มจางๆ ของสาวน้อยดูอบอุ่นจนน่าแปลก กระทั่งทำให้ใบหน้าเย็นชาของเขาอ่อนลงมาบ้าง
“ข้าทำให้พวกท่านทั้งสองต้องพลอยลำบากไปด้วย โชคดีที่แม่นางไหวพริบดี” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ต้องขอบคุณความร่วมมือของเจ้าสำนักมั่วด้วยเช่นกัน” หากไม่ใช่เพราะว่ามั่วเวิ่นฉิงมองแผนการของพวกเขาออกก่อนก็คงไม่ง่ายขนาดนี้ ถ้าแม้แต่คนชุดดำผู้นั้นยังไม่กล้าผลีผลามเข้าไปจับตัวมั่วเวิ่นฉิง หากมั่วเวิ่นฉิงไม่ให้ความร่วมมือเกรงว่าพวกเขาเองก็คงกำราบพวกชายชุดดำได้ยากเช่นกัน
มั่วเวิ่นฉิงมองพวกเขาสองคนแล้วเอ่ย “พวกเจ้าสองคนจะไปแคว้นเย่ว์หรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว”
มั่วเวิ่นฉิงเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็สู้เดินทางไปด้วยกันเลย เป็นอย่างไรเล่า” มู่ชิงอีตกใจอยู่บ้าง หากว่ากันตามจริงมั่วเวิ่นฉิงพกสิ่งของล้ำค่าติดตัว ลำพังแค่ไม่คลางแคลงใจคิดว่าพวกเขาวางกลอุบายใดไว้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะชวนพวกเขาเดินทางไปพร้อมกันด้วย หรืออีกแง่เพราะมั่วเวิ่นฉิงนึกสงสัยในตัวพวกเขาเลยชวนพวกเขาเดินทางไปด้วยกันจะได้ลงมือได้ทุกเมื่อกันแน่นะ
จากตำบลนี้มุ่งหน้าไปแคว้นเย่ว์มีเพียงเส้นทางเดียว นอกเสียจากเดินกลับทางเดิม ฉะนั้นหากไม่เดินทางไปด้วยกันก็คงไม่ได้ มู่ชิงอีมองอู๋ซินแล้วพยักหน้าตอบรับ “เช่นนั้นต้องรบกวนเจ้าสำนักมั่วแล้ว”
เพราะกังวลว่าคนชุดดำพวกนั้นจะมียังหลงเหลือพรรคพวกอีก พวกเขาสามคนจึงรีบเดินทางมุ่งหน้าไปยังแคว้นเย่ว์ในค่ำคืนนี้เลย ถึงแม้ของสำคัญจะพกติดตัวมาหมดแล้วแต่กลับเอาม้าออกมาไม่ทัน พวกเขาสามคนเลยทำได้แค่ค่อยๆ เดินไปท่ามกลางความมืดมิดนี้
กระทั่งเดินมาได้เกือบๆ หนึ่งชั่วยาม ครั้นเห็นว่าไม่มีใครตามมา มั่วเวิ่นฉิงถึงชะงักฝีเท้าแล้วมองใบหน้าอ่อนล้าของมู่ชิงอีเอ่ย “พักผ่อนสักหน่อยเถิด รอฟ้าสว่างแล้วค่อยเดินทางต่อ”
มู่ชิงอีพยักหน้า นางเองก็เหนื่อยมากแล้วจริงๆ หญิงสาวที่ไม่มีวิทยายุทธติดตัวเดินตามบุรุษสองคนท่ามกลางความมืดราวๆ หนึ่งชั่วยามนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
อู๋ซินประคองตัวมู่ชิงอีนั่งเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่บนทางราบ จากนั้นก็หันไปเก็บฟืนมาก่อไฟ มั่วเวิ่นฉิงเอาของมากมายที่ไม่รู้จักชื่อสาดไปยังรอบบริเวณที่พวกเขาอยู่อย่างเปิดเผย จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามมู่ชิงอี
สักพักอู๋ซินก็กลับมาก่อไฟเรียบร้อย กระทั่งเอากระต่ายป่าที่เพิ่งล่าได้เมื่อครู่ตัวหนึ่งมาย่างบนกองไฟ พวกเขาทั้งสามเหน็ดเหนื่อยมาค่อนคืนย่อมรู้สึกหิวอยู่บ้าง
มู่ชิงอีนั่งอยู่หน้ากองไฟโดยไม่คิดถอยหลบพลางกวาดตาสำรวจบุรุษชุดขาวตรงหน้าอย่างเปิดเผย พลันลอบนึกสงสัยมากกว่าเดิม ถึงแม้มั่วเวิ่นฉิงจะใจดำอำมหิตแต่หว่างคิ้วกลับขมวดมุ่นดูจริงจัง แววตาเองก็เย็นชาดั่งน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนเจ้าวางแผนและชอบในอำนาจ แต่เหตุใดคนแบบนี้ถึงกลับช่วยเหลือมู่หรงอวี้ได้เล่า